บทวิเคราะห์ที่เฉียบคมและแยบคาย ตอน Butterfry effect

การเมืองไทย มีลักษณะพิเศษ คือ การประนีประนอม ตั้งแต่อดีตกาลมา ทั้งการปฎิวัติ ทั้งผู้แพ้การปฎิวัติ ล้วนแล้วแต่ ไม่ถูกกำจัดอย่างเบ็ดเสร็จ เพราะสังคมไทย ความเป็นไทย และผลประโยชน์ที่เกี่ยวพันกันจนแทบจะแยกไม่ออก ว่าที่ทะเลาะกัน หรือปฎิวัติกัน อยู่ขั้วตรงข้ามกันจริงหรือไม่

สถานการณ์ปัจจุบัน เราจะเห็นสัญญาณจากหลายๆฝ่าย ว่าให้เกิดการเจรจา ทั้งจากผบ.ทบ. ซึ่งได้เกริ่นไว้ตั้งแต่พรรคประชาธิปัตย์ต่อต้านพรบ.นิรโทษกรรม ที่สามเสนและล่าสุด เป็นสัญญาณแปลกๆ ที่ดูเหมือนจะไม่เด็ดขาดอย่างที่ควรจะเป็น ของศาลรัฐธรรมนูญ และศาลอาญา ที่เริ่มมีทิศทางมาในทางเดียวกัน คือ ยังไม่ย่อยสลายพรรคเพื่อไทย และยังทำงานเป็นคุณกับพรรคเพื่อไทย ด้วยนั่นเอง

เกิดสงครามเย็นอยู่ทั่วทุกประเทศในโลก มีความตึงเครียดอย่างหนัก ระหว่าง 3 มหาอำนาจ คือ อเมริกา รัสเซีย และจีน ในการแก่งแย่งประเทศต่างๆให้เป็นอาณานิคมของตัวเอง พร้อมทั้ง กลุ่มประเทศใหม่ ที่พยายามท้าทาย " อเมริกา " นั่นคือ ญี่ปุ่น , เยอรมัน และตุรกี และใช่ ทั้งสองประเทศนี้ ยังถูกควบคุมไม่ให้เคลื่อนไหวมากกว่าที่เคย เช่นเดิม

จากพลังอำนาจที่อเมริกา ส่งและสร้างไว้เป็น สายลับ ในสหภาพยุโรป นั่นคือ " ฝรั่งเศส " และวันนี้ ฟองซัว โอลอง ประธานาธิปดีฝรั่งเศสได้เยือนอเมริกา และเข้าพบโอบาม่า อย่างเป็นทางการ เป็นการผูกพันธมิตรกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

มีความขัดแย้งและการเจรจา เกิดขึ้นที่ใดบ้างในโลกตอนนี้

- สงครามกลางเมืองในซีเรีย

- ม๊อปไล่รัฐบาลในยูเครน

- การเจรจาลดแร่ยูเรเนี่ยมในอิหร่าน อันเป็นผลสืบเนื่องมาจาก การเจรจาสันติภาพ ของซีเรีย ในการประชุม เจนีวา 2 แม้ว่าจะยังไม่ได้ข้อยุติ

- โครงการวันพบญาติระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้

- การปล่อยนักโทษการเมือง ในรัสเซีย

ในการเจรจาหนึ่งๆ แท้จริงแล้ว มันจะเกิดผู้แพ้ และผู้ชนะเกิดขึ้น สงครามกลางเมือง หรือม๊อปต่างๆ เป็นตัวส่งทั้งสองฝากฝั่งขั้วตรงข้ามกัน ให้ขึ้นโต๊ะเจรจาเท่านั้น

และผลการเจรจา อเมริกา มักได้เปรียบเสมอ

สายทางอำนาจของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ยังสืบโยงถึง พรรคสังคมนิยม ของนายฟรอง ซัวโอลอง ด้วย

การพบปะกันระหว่าง พรรคฝ่ายซ้ายของฝรั่งเศส กับพรรคฝ่ายซ้ายของอเมริกา มีนัยสำคัญ ต่อพรรคฝ่ายซ้ายต่างๆ ของกลุ่มประเทศโลกที่ 3

นั่นหมายถึง หากรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ยังยืนหยัดต่อไปได้ หรือรัฐบาลสามารถที่จะล๊อบบี้ องค์กรอิสระต่างๆ หรือล๊อบบี้ขั้วตรงข้ามทางการเมืองได้หลังจากนี้ไป ก็หมายความว่า เอกภาพของพรรคเพื่อไทย ต้องถูกทำลายไปด้วย มันอาจไม่ใช่การมาของรัฐบาลแห่งชาติ หรือนายกคนกลางอะไรใดๆทั้งสิ้น หากแต่ มันคือ การ " ปฎิวัติ " นโยบายทั้งหมดของพรรคเพื่อไทย ให้เป็นหมันไป และให้พรรคเพื่อไทย มีท่าทีที่อ่อนแอลง ต่อพรรคประชาธิปัตย์ หรือต่อการเมืองแบบไทยๆ ดั่งที่นายกพยายามทำอยู่ โดย สิ่งที่นายกทำลงไป มันไม่ใช่กลยุทธ หรือพิชัยยุทธอะไรใดๆ แต่มันคือ " การถูกควบคุมจากคณะปฎิวัติ " ต่างหาก

ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่า โครงการรถไฟความเร็วสูง จะยังถูกสานต่อหรือไม่หลังวิกฤติการณ์ครั้งนี้ เพราะมันคือ หัวใจ และคือ อภิมหาโปรเจค ที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยต้องทำให้ได้ มาตั้งแต่ต้น หากรัฐบาลยอมเสียทุกอย่างไป เพื่อแลกกับโครงการรถไฟความเร็วสูง ก็เป็นไปได้ แต่หากว่า รัฐบาลยอมเสียโครงการรถไฟความเร็วสูง และทุกอย่างไป โดยเหลือเพียง รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่มีหน้าที่ปฎิรูปการเมือง หลังจากได้เสียงข้างมากในการจัดตั้งรัฐบาล มันก็เท่ากับ พรรคประชาธิปัตย์ หรือ ม๊อป กปปส. ชนะ " อย่างแนบเนียน " ไปเท่านั้นเอง.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่