มหาวิทยาลัยนาลันทา มหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งแรกของโลก สร้างขึ้นครั้งแรกในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช แห่งราชวงศ์โมริยะ ประมาณปีพุทธศตวรรษที่ ๓ และมีการสร้างติดต่อกันเรื่อยมาอีกหลายยุคหลายสมัย โดยมีจุดประสงค์ให้เป็นสถานศึกษาของพระภิกษุในพระพุทธศาสนา
ต่อมาก็มีการก่อสร้างส่วนอื่นๆ เพิ่มเติมขึ้นมาอีกมากมาย ตลอดระยะเวลาอันยาวไกล นับตั้งแต่ พระเจ้าแผ่นดินในราชวงศ์คุปตะ ราชวงศ์ปาละ และพระเจ้าแผ่นดินแห่งชวาสุมาตรา อินโดนีเซีย เป็นต้น
ราวปีพุทธศตวรรษที่ ๗-๘ ท่านนาคารชุน คณาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งลัทธินิกายมหายาน ได้เดินทางไปยังปูชนียสถานสำคัญๆ หลายแห่ง พร้อมกับ ท่านอารยเทวะ ผู้เป็นศิษย์ แล้วท่านก็ได้เดินทางมาถึงนาลันทา ภายในระยะเวลาเพียง ๑-๒ ศตวรรษ จากเวลาที่ท่านนาคารชุนเดินทางมาถึงนาลันทา ต่อจากนั้น นาลันทาก็ได้กลายเป็นศูนย์กลางแห่งพระพุทธศาสนานิกายมหายานที่สำคัญยิ่ง ขณะนั้นมหาวิทยาลัยนาลันทากำลังเจริญรุ่งเรืองเต็มที่
ต่อมาในราวปีพุทธศตวรรษที่ ๙ ได้เกิดคณาจารย์ที่สำคัญของนิกายมหายานขึ้นอีกท่านหนึ่ง นามว่า “ภิกษุอสังคะ” ท่านผู้นี้เป็นผู้ประกาศหลักธรรม ลัทธิโยคาจาร ท่านได้ใช้ช่วงเวลา ๑๒ ปีสุดท้ายแห่งชีวิตของท่านที่นาลันทาแห่งนี้ เมื่อภิกษุอสังคะได้มรณภาพลง น้องชายของท่านมีนามว่า “ภิกษุวสุพันธ์” ผู้เป็นนักปราชญ์คนสำคัญแห่งลัทธิโยคาจาร ได้เป็นประธานสงฆ์ บริหารมหาวิทยาลัยนาลันทาสืบต่อมา
ในสมัยคุปตะ ซึ่งจัดเป็นยุคทองแห่งประวัติศาสตร์ของอินเดีย ในยุคนี้มีพัฒนาการในด้านต่างๆ เกี่ยวกับชีวิต วัฒนธรรม และแนวความคิดทางศาสนาของอินเดีย ได้เป็นไปอย่างกว้างขวาง
หลักฐานจากศิลาจารึก ตลอดจนหลักฐานทางโบราณคดี ได้เปิดเผยให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองสูงสุดของพระพุทธศาสนาในยุคนี้ แม้ว่าพระพุทธศาสนาจะไม่ได้เป็นศาสนาทางราชการตลอดทั่วทุกแคว้น ในมัชฌิมประเทศ
ในสมัยของ หลวงจีนเฮียงจัง (พระถังซัมจั๋ง) ราวปีพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๓ นั้น พระเจ้าหรรษวรรธนะ กษัตริย์ปกครองชมพูทวีปตอนกลาง ทรงเป็นองค์อุปถัมภกที่สำคัญยิ่งของพระพุทธศาสนา พระองค์ได้ทรงทำนุบำรุงมหาวิทยาลัยนาลันทาด้วยพระศรัทธาอันแก่กล้า ทรงอุทิศส่วยจากหมู่บ้าน ๑๐๐ หมู่บ้านให้เป็นปัจจัยบำรุงมหาวิทยาลัย และมีบัญชาให้หัวหน้าครอบครัว ๒๐๐ ครอบครัวบำรุงพระภิกษุที่อยู่ในมหาวิทยาลัยด้วยภัตตาหาร เช่น ข้าว เนย และนม เป็นประจำ โดยพระภิกษุเหล่านั้นไม่ต้องออกไปบิณฑบาตข้างนอก
พระนักศึกษาแห่งนาลันทาไม่ต้องมีความกังวลเกี่ยวกับเรื่องปัจจัยสี่นี้เลย ฉะนั้น จึงสามารถอุทิศเวลาทั้งหมดให้แก่การศึกษาได้เต็มที่ พระเจ้าหรรษวรรธนะ ทรงเคารพยกย่องพระภิกษุแห่งมหาวิทยาลัยนาลันทาเป็นอย่างยิ่ง พระองค์ทรงโปรดให้พระนักศึกษาแห่งนาลันทา ประมาณ ๑,๐๐๐ รูป เข้าร่วมรัชสภาที่กะเนาซ์ด้วย
หลวงจีนเฮียงจัง ได้กล่าวถึงมหาวิทยาลัยนาลันทาไว้อย่างชัดเจน โดยแสดงถึงความยิ่งใหญ่ และมาตรฐานการศึกษาที่สูงกว่าสถาบันการศึกษาอื่นๆ ที่มีอยู่ในตะวันออกโบราณ ในสมัยนั้น มหาวิทยาลัยนาลันทา เจริญรุ่งเรืองมาก เป็นมหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุด เก่าแก่ที่สุด มีชื่อเสียงที่สุด มีห้องประชุมขนาดใหญ่ซึ่งบรรจุผู้ฟังได้มากกว่า ๑,๐๐๐ คนขึ้นไป มีถึง ๘ ห้อง, มีห้องเรียนกว่า ๓๐๐ ห้อง, มีห้องพระคัมภีร์ขนาดใหญ่ และมีหอพักนักศึกษาในมหาวิทยาลัยพร้อม โดยมีโรงครัว ยุ้งฉางสำหรับการหุงหาอาหารเลี้ยงพระนักศึกษาเหล่านั้นด้วย
ในมหาวิทยาลัยนาลันทาทั้งหมด มีที่พักสำหรับนักศึกษาถึง ๑๐,๐๐๐ คน พร้อมด้วยอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญอีกประมาณ ๑,๕๐๐ คน มีกฎเกณฑ์เข้มงวดมาก พระนักศึกษาผู้เข้าใหม่กว่าจะถูกรับเข้าสถาบันได้ จะต้องผ่านการทดสอบมากมาย พระนักศึกษาแห่งนาลันทาได้รับการยกย่องอย่างสูงจากทั่วทุกแห่ง พระภิกษุที่ศึกษาอยู่ที่นี้ มีพระเจ้าแผ่นดินเป็นองค์อุปถัมภ์ การเป็นอยู่ทุกอย่างให้เปล่าหมด ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้ เพื่อให้สืบทอดพระพุทธศาสนา ให้มีหลักธรรมที่ลึกซึ้งและถูกต้องอย่างเต็มที่ ทั้งภายในและภายนอกประเทศ ซึ่งก็ปรากฏว่ามีพระภิกษุจากต่างแดนได้เดินทางเข้ามาศึกษาที่นี่เช่นกัน เช่น หลวงจีนเฮียงจัง (พระถังซัมจั๋ง) เป็นต้น
ในระยะก่อนที่หลวงจีนเฮียงจัง (พระถังซัมจั๋ง) จะได้เข้ามาศึกษาในมหาวิทยาลัยนาลันทาเล็กน้อย ท่านอาจาริยะ ธัมมปาละ ได้เป็นประมุขสงฆ์ หลังจากท่านองค์นี้แล้ว ศิษย์ของท่านชื่อ ท่านอาจาริยะ ศีลภัทระ ผู้เป็นโอรสของกษัตริย์แห่งสมตาฎ (แคว้นเบงกอลทางใต้) เป็นอธิบดีสงฆ์ต่อมา ซึ่งท่านองค์นี้เป็นอาจารย์สอนพุทธปรัชญาให้แก่หลวงจีนเฮียงจัง เป็นเวลา ๕ ปี สำหรับวิชาที่หลวงจีนเฮียงจังได้ศึกษาในมหาวิทยาลัยนาลันทา ได้แก่ คัมภีร์พระพุทธศาสนาทั้งหินยาน (เถรวาท) และมหายาน, เหตุวิทยา (Logic), ศัพท์วิทยา (Gramma), จิกิตสาวิทยา (Medical Sciences), พระเวทย์ทั้งหลาย และสางขยศาสตร์ เป็นต้น
ด้านการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยนาลันทานั้น มีการสอนวิชาต่างๆ มากมาย เช่น พุทธปรัชญา ไวยากรณ์ วรรณคดี แพทยศาสตร์ และมีวิชาบังคับคือ พระไตรปิฎก เป็นต้น
หลังจากสิ้นรัชสมัยของ พระเจ้าหรรษวรรธนะ แล้ว พระพุทธศาสนาในมัชฌิมประเทศเริ่มเสื่อมลงๆ หลวงจีนเฮียงจังได้เล่าว่า ท่านได้เห็นศูนย์กลางทางพระพุทธศาสนาหลายแห่งตกอยู่ในสภาพเสื่อมโทรม แม้ในนครสาวัตถี เมืองปยาคะ และที่อื่นๆ วัดในทางพระพุทธศาสนาได้ลดจำนวนน้อยลง แต่ในขณะเดียวกัน เทวาลัยและสถานบูชาของพวกต่างศาสนากลับมีจำนวนเพิ่มขึ้น มีแต่ในแคว้นมคธ ภายใต้การอุปถัมภ์บำรุงของกษัตริย์ราชวงศ์ปาละ แห่งเบงกอล และพิหารเท่านั้น ที่พระพุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรืองต่อมาอีก ๒-๓ ศตวรรษ
พระสงฆ์ในระยะหลังละเลยพระธรรมวินัยถึงขนาดมีนิกายตันตระที่ให้พระเสพกามได้ อุบาสก อุบาสิกาเองก็ไม่สนใจใยดีพระศาสนา ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายสงฆ์ฝ่ายเดียว พุทธบริษัทที่พระพุทธองค์ทรงหวังจะให้ผดุง และ ค้ำจุนพุทธศาสนาอ่อนแอกันเสียหมด วันแห่งความสิ้นหวังก็มาพร้อมกับกองทัพต่างชาติ
กองทัพต่างชาติพร้อมทหาร บุกเข้ามายังมหาวิทยาลัยนาลันทาด้วยเข้าใจว่าเป็นป้อมปราการขนาดใหญ่ มีบันทึกเขียนไว้ว่า
“ป้อมปราการที่นี่ช่างน่าแปลก นักรบทุกคนล้วนแต่นุ่งห่มสีเหลือง โกนหัวโล้นไม่มีอาวุธในมือ นั่งกันอยู่เป็นแถวๆ เมื่อเราไปถึงก็ไม่ลุกหนี ไม่ต่อสู้ เมื่อเราเอาดาบฟันคอขาด คนแล้วคนเล่า ก็ยังนั่งกันเฉยอยู่ ไม่ร้องของชีวิต ไม่โอดครวญ”
ว่ากันว่า ที่นาลันทามีหอสมุดที่ใหญ่มาก ถูกเผาอยู่ถึง 3 เดือน คัมภีร์ต่าง ๆ ที่เก็บไว้จึงหมด พระบางองค์ที่หนีรอดมาได้ก็เก็บเอาคัมภีร์บางส่วนออกมาด้วย แต่เป็นส่วนน้อย
ด้วยเหตุนี้ มหาวิทยาลัยนาลันทา อันเป็นศูนย์กลาง แห่งพระพุทธศาสนา อันเจริญรุ่งเรือง มานานแสนนาน ก็ถึงจุดจบ
ที่มา : หนังสือสู่แดนพระพุทธองค์ อินเดีย-เนปาล โดย พระราชรัตนรังษี (ว.ป. วีรยุทฺโธ)
www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=39415
www.pendulumthai.com/article_nitantham07.html
www.surasiha.com/nalanta/index2.asp
กระทู้อื่นๆที่น่าสนใจ
มหาสถูปแห่งเกสเรีย สถูปพุทธที่ใหญ่ที่สุดในโลก
http://pantip.com/topic/30492010
สัตตมหาสถาน สถานที่เสวยวิมุติสุขที่ยิ่งใหญ่ 7 แห่ง
http://pantip.com/topic/31385563
นาลันทา มหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งแรกของโลก
มหาวิทยาลัยนาลันทา มหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งแรกของโลก สร้างขึ้นครั้งแรกในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช แห่งราชวงศ์โมริยะ ประมาณปีพุทธศตวรรษที่ ๓ และมีการสร้างติดต่อกันเรื่อยมาอีกหลายยุคหลายสมัย โดยมีจุดประสงค์ให้เป็นสถานศึกษาของพระภิกษุในพระพุทธศาสนา
ต่อมาก็มีการก่อสร้างส่วนอื่นๆ เพิ่มเติมขึ้นมาอีกมากมาย ตลอดระยะเวลาอันยาวไกล นับตั้งแต่ พระเจ้าแผ่นดินในราชวงศ์คุปตะ ราชวงศ์ปาละ และพระเจ้าแผ่นดินแห่งชวาสุมาตรา อินโดนีเซีย เป็นต้น
ราวปีพุทธศตวรรษที่ ๗-๘ ท่านนาคารชุน คณาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งลัทธินิกายมหายาน ได้เดินทางไปยังปูชนียสถานสำคัญๆ หลายแห่ง พร้อมกับ ท่านอารยเทวะ ผู้เป็นศิษย์ แล้วท่านก็ได้เดินทางมาถึงนาลันทา ภายในระยะเวลาเพียง ๑-๒ ศตวรรษ จากเวลาที่ท่านนาคารชุนเดินทางมาถึงนาลันทา ต่อจากนั้น นาลันทาก็ได้กลายเป็นศูนย์กลางแห่งพระพุทธศาสนานิกายมหายานที่สำคัญยิ่ง ขณะนั้นมหาวิทยาลัยนาลันทากำลังเจริญรุ่งเรืองเต็มที่
ต่อมาในราวปีพุทธศตวรรษที่ ๙ ได้เกิดคณาจารย์ที่สำคัญของนิกายมหายานขึ้นอีกท่านหนึ่ง นามว่า “ภิกษุอสังคะ” ท่านผู้นี้เป็นผู้ประกาศหลักธรรม ลัทธิโยคาจาร ท่านได้ใช้ช่วงเวลา ๑๒ ปีสุดท้ายแห่งชีวิตของท่านที่นาลันทาแห่งนี้ เมื่อภิกษุอสังคะได้มรณภาพลง น้องชายของท่านมีนามว่า “ภิกษุวสุพันธ์” ผู้เป็นนักปราชญ์คนสำคัญแห่งลัทธิโยคาจาร ได้เป็นประธานสงฆ์ บริหารมหาวิทยาลัยนาลันทาสืบต่อมา
ในสมัยคุปตะ ซึ่งจัดเป็นยุคทองแห่งประวัติศาสตร์ของอินเดีย ในยุคนี้มีพัฒนาการในด้านต่างๆ เกี่ยวกับชีวิต วัฒนธรรม และแนวความคิดทางศาสนาของอินเดีย ได้เป็นไปอย่างกว้างขวาง
หลักฐานจากศิลาจารึก ตลอดจนหลักฐานทางโบราณคดี ได้เปิดเผยให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองสูงสุดของพระพุทธศาสนาในยุคนี้ แม้ว่าพระพุทธศาสนาจะไม่ได้เป็นศาสนาทางราชการตลอดทั่วทุกแคว้น ในมัชฌิมประเทศ
ในสมัยของ หลวงจีนเฮียงจัง (พระถังซัมจั๋ง) ราวปีพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๓ นั้น พระเจ้าหรรษวรรธนะ กษัตริย์ปกครองชมพูทวีปตอนกลาง ทรงเป็นองค์อุปถัมภกที่สำคัญยิ่งของพระพุทธศาสนา พระองค์ได้ทรงทำนุบำรุงมหาวิทยาลัยนาลันทาด้วยพระศรัทธาอันแก่กล้า ทรงอุทิศส่วยจากหมู่บ้าน ๑๐๐ หมู่บ้านให้เป็นปัจจัยบำรุงมหาวิทยาลัย และมีบัญชาให้หัวหน้าครอบครัว ๒๐๐ ครอบครัวบำรุงพระภิกษุที่อยู่ในมหาวิทยาลัยด้วยภัตตาหาร เช่น ข้าว เนย และนม เป็นประจำ โดยพระภิกษุเหล่านั้นไม่ต้องออกไปบิณฑบาตข้างนอก
พระนักศึกษาแห่งนาลันทาไม่ต้องมีความกังวลเกี่ยวกับเรื่องปัจจัยสี่นี้เลย ฉะนั้น จึงสามารถอุทิศเวลาทั้งหมดให้แก่การศึกษาได้เต็มที่ พระเจ้าหรรษวรรธนะ ทรงเคารพยกย่องพระภิกษุแห่งมหาวิทยาลัยนาลันทาเป็นอย่างยิ่ง พระองค์ทรงโปรดให้พระนักศึกษาแห่งนาลันทา ประมาณ ๑,๐๐๐ รูป เข้าร่วมรัชสภาที่กะเนาซ์ด้วย
หลวงจีนเฮียงจัง ได้กล่าวถึงมหาวิทยาลัยนาลันทาไว้อย่างชัดเจน โดยแสดงถึงความยิ่งใหญ่ และมาตรฐานการศึกษาที่สูงกว่าสถาบันการศึกษาอื่นๆ ที่มีอยู่ในตะวันออกโบราณ ในสมัยนั้น มหาวิทยาลัยนาลันทา เจริญรุ่งเรืองมาก เป็นมหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุด เก่าแก่ที่สุด มีชื่อเสียงที่สุด มีห้องประชุมขนาดใหญ่ซึ่งบรรจุผู้ฟังได้มากกว่า ๑,๐๐๐ คนขึ้นไป มีถึง ๘ ห้อง, มีห้องเรียนกว่า ๓๐๐ ห้อง, มีห้องพระคัมภีร์ขนาดใหญ่ และมีหอพักนักศึกษาในมหาวิทยาลัยพร้อม โดยมีโรงครัว ยุ้งฉางสำหรับการหุงหาอาหารเลี้ยงพระนักศึกษาเหล่านั้นด้วย
ในมหาวิทยาลัยนาลันทาทั้งหมด มีที่พักสำหรับนักศึกษาถึง ๑๐,๐๐๐ คน พร้อมด้วยอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญอีกประมาณ ๑,๕๐๐ คน มีกฎเกณฑ์เข้มงวดมาก พระนักศึกษาผู้เข้าใหม่กว่าจะถูกรับเข้าสถาบันได้ จะต้องผ่านการทดสอบมากมาย พระนักศึกษาแห่งนาลันทาได้รับการยกย่องอย่างสูงจากทั่วทุกแห่ง พระภิกษุที่ศึกษาอยู่ที่นี้ มีพระเจ้าแผ่นดินเป็นองค์อุปถัมภ์ การเป็นอยู่ทุกอย่างให้เปล่าหมด ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้ เพื่อให้สืบทอดพระพุทธศาสนา ให้มีหลักธรรมที่ลึกซึ้งและถูกต้องอย่างเต็มที่ ทั้งภายในและภายนอกประเทศ ซึ่งก็ปรากฏว่ามีพระภิกษุจากต่างแดนได้เดินทางเข้ามาศึกษาที่นี่เช่นกัน เช่น หลวงจีนเฮียงจัง (พระถังซัมจั๋ง) เป็นต้น
ในระยะก่อนที่หลวงจีนเฮียงจัง (พระถังซัมจั๋ง) จะได้เข้ามาศึกษาในมหาวิทยาลัยนาลันทาเล็กน้อย ท่านอาจาริยะ ธัมมปาละ ได้เป็นประมุขสงฆ์ หลังจากท่านองค์นี้แล้ว ศิษย์ของท่านชื่อ ท่านอาจาริยะ ศีลภัทระ ผู้เป็นโอรสของกษัตริย์แห่งสมตาฎ (แคว้นเบงกอลทางใต้) เป็นอธิบดีสงฆ์ต่อมา ซึ่งท่านองค์นี้เป็นอาจารย์สอนพุทธปรัชญาให้แก่หลวงจีนเฮียงจัง เป็นเวลา ๕ ปี สำหรับวิชาที่หลวงจีนเฮียงจังได้ศึกษาในมหาวิทยาลัยนาลันทา ได้แก่ คัมภีร์พระพุทธศาสนาทั้งหินยาน (เถรวาท) และมหายาน, เหตุวิทยา (Logic), ศัพท์วิทยา (Gramma), จิกิตสาวิทยา (Medical Sciences), พระเวทย์ทั้งหลาย และสางขยศาสตร์ เป็นต้น
ด้านการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยนาลันทานั้น มีการสอนวิชาต่างๆ มากมาย เช่น พุทธปรัชญา ไวยากรณ์ วรรณคดี แพทยศาสตร์ และมีวิชาบังคับคือ พระไตรปิฎก เป็นต้น
หลังจากสิ้นรัชสมัยของ พระเจ้าหรรษวรรธนะ แล้ว พระพุทธศาสนาในมัชฌิมประเทศเริ่มเสื่อมลงๆ หลวงจีนเฮียงจังได้เล่าว่า ท่านได้เห็นศูนย์กลางทางพระพุทธศาสนาหลายแห่งตกอยู่ในสภาพเสื่อมโทรม แม้ในนครสาวัตถี เมืองปยาคะ และที่อื่นๆ วัดในทางพระพุทธศาสนาได้ลดจำนวนน้อยลง แต่ในขณะเดียวกัน เทวาลัยและสถานบูชาของพวกต่างศาสนากลับมีจำนวนเพิ่มขึ้น มีแต่ในแคว้นมคธ ภายใต้การอุปถัมภ์บำรุงของกษัตริย์ราชวงศ์ปาละ แห่งเบงกอล และพิหารเท่านั้น ที่พระพุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรืองต่อมาอีก ๒-๓ ศตวรรษ
พระสงฆ์ในระยะหลังละเลยพระธรรมวินัยถึงขนาดมีนิกายตันตระที่ให้พระเสพกามได้ อุบาสก อุบาสิกาเองก็ไม่สนใจใยดีพระศาสนา ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายสงฆ์ฝ่ายเดียว พุทธบริษัทที่พระพุทธองค์ทรงหวังจะให้ผดุง และ ค้ำจุนพุทธศาสนาอ่อนแอกันเสียหมด วันแห่งความสิ้นหวังก็มาพร้อมกับกองทัพต่างชาติ
กองทัพต่างชาติพร้อมทหาร บุกเข้ามายังมหาวิทยาลัยนาลันทาด้วยเข้าใจว่าเป็นป้อมปราการขนาดใหญ่ มีบันทึกเขียนไว้ว่า
“ป้อมปราการที่นี่ช่างน่าแปลก นักรบทุกคนล้วนแต่นุ่งห่มสีเหลือง โกนหัวโล้นไม่มีอาวุธในมือ นั่งกันอยู่เป็นแถวๆ เมื่อเราไปถึงก็ไม่ลุกหนี ไม่ต่อสู้ เมื่อเราเอาดาบฟันคอขาด คนแล้วคนเล่า ก็ยังนั่งกันเฉยอยู่ ไม่ร้องของชีวิต ไม่โอดครวญ”
ว่ากันว่า ที่นาลันทามีหอสมุดที่ใหญ่มาก ถูกเผาอยู่ถึง 3 เดือน คัมภีร์ต่าง ๆ ที่เก็บไว้จึงหมด พระบางองค์ที่หนีรอดมาได้ก็เก็บเอาคัมภีร์บางส่วนออกมาด้วย แต่เป็นส่วนน้อย
ด้วยเหตุนี้ มหาวิทยาลัยนาลันทา อันเป็นศูนย์กลาง แห่งพระพุทธศาสนา อันเจริญรุ่งเรือง มานานแสนนาน ก็ถึงจุดจบ
ที่มา : หนังสือสู่แดนพระพุทธองค์ อินเดีย-เนปาล โดย พระราชรัตนรังษี (ว.ป. วีรยุทฺโธ)
www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=39415
www.pendulumthai.com/article_nitantham07.html
www.surasiha.com/nalanta/index2.asp
กระทู้อื่นๆที่น่าสนใจ
มหาสถูปแห่งเกสเรีย สถูปพุทธที่ใหญ่ที่สุดในโลก
http://pantip.com/topic/30492010
สัตตมหาสถาน สถานที่เสวยวิมุติสุขที่ยิ่งใหญ่ 7 แห่ง
http://pantip.com/topic/31385563