อ่านข่าวนี้แล้วสงสัยขึ้นมา มีท่านใดพอมีข้อมูลบ้างครับ
One tablet pc per child" หรือ โครงการจัดซื้อแท็บเล็ตแจกนักเรียน ของกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ถึงนาทีนี้ จาตุรนต์ ฉายแสง เจ้ากระทรวง อาศัยมติที่ประชุมคณะกรรมการบริหารแท็บเล็ต ประกาศเดินหน้าจัดซื้อจัดจ้างในโซน 3 ส่วนโซน 1 และ 2 จัดประมูลตามสเปกเดิม เพื่อให้แท็บเล็ตส่งถึงมือเด็กภายในเดือนมิถุนายน 2557 ขณะเดียวกันก็มอบอำนาจให้อัยการดำเนินการฟ้องร้องบริษัทเสิ่นเจิ้น อิงถัง บริษัทแม่ที่จีน
ปฏิเสธไม่ได้ว่า "นโยบายแท็บเล็ต" แนวคิดดีได้พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาของเด็กไทย แต่ความไม่ปกติของโครงการแท็บเล็ตเริ่มมีคำถามตั้งแต่รัฐบาล "เพื่อไทย" ชนะการเลือกตั้งเมื่อปี 2554
เพราะจากถ้อยคำอภิปรายไม่ไว้วางใจของ "ณัฏฐ์ บรรทัดฐาน" ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ต่อนโยบายแท็บเล็ต เมื่อปี 2555 ระบุชัดเจนว่า "ตอนหาเสียงบอกไว้ว่า นักเรียน นักศึกษา จะได้รับแท็บเล็ตครบ 12 ล้านคน แต่มาถึงเวลานี้ บอกว่าได้เฉพาะป.1 จำนวน 5 แสนคน ใช้งบประมาณ 1,900 ล้านบาท ในขณะที่ถ้อยคำแถลงในเล่มใหญ่บอกไว้ว่าแจก 6 แสนคน ใช้งบประมาณ 1,600 ล้านบาท"
ความผิดปกติของโครงการแท็บเล็ต ได้รับการร้องเรียนจากพ่อแม่ผู้ปกครองจำนวนมาก จนนำไปสู่การเฝ้าจับตามองและตั้งข้อสังเกตของ "มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์" เลขาธิการคณะกรรมการภาคีเครือข่ายต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นของชาติ(ภตช.)
"ผมจับตาการจัดสรรเงินงบประมาณจัดซื้อแท็บเล็ตปี 2555 ของกระทรวงศึกษาฯ จำนวน 8.6 แสนเครื่อง แจกเด็กป.1 เมื่อตรวจสอบพบว่าเป็น "จีทูจีเก๊" ไม่ได้ทำสัญญารัฐต่อรัฐ หรือระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลจีนหรือไม่ เพราะความจริงบริษัทในไทย ไปเปิดที่จีนแต่เป็นคนไทย ใช้ชื่อจดทะเบียนบริษัทที่จีน เป็นคนใกล้ชิดนักการเมืองชื่อดัง แต่ผมไม่ร้องเรียนเพราะเข้าใจว่าเป็นจีทูจี ผมรู้ว่าเป็นจีทูจีเก๊เมื่อมีการส่งมอบแท็บเล็ตไปแล้ว"เลขาธิการ ภตช. ย้อนอดีต
นายมงคลกิตติ์ ตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อส่งมอบแท็บเล็ตปี 2555 ระยะแรกมีปัญหา "รูเสียบ" ชาร์จไฟไม่ได้ หูฟังไม่มีคุณภาพ แต่ตอนหลังเขตพื้นที่การศึกษาตรวจสอบพบมีปัญหาแท็บเล็ตไม่ได้คุณภาพ ศูนย์ซ่อมที่เคยมีหลังรับแท็บเล็ต 3 เดือนก็หายไปหมด เมื่อสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)ตรวจสอบ พบแท็บเล็ตเสียหาย 28-30% หลังจากนั้น บริษัทแห่งนั้นก็ปิดตัว ขณะที่ ศธ.ยังเดินหน้าจัดซื้อแท็บเล็ตปี 2556
"แต่การจัดซื้อแท็บเล็ตปี 2556 มีการประมูล 4 โซน ปรากฏว่าโซน 1 โซน 2 โซน 3 ประมูลต่ำกว่าราคากลาง โซน 3 มีการร้องเรียนฮั้วกันระหว่างบริษัทที่เข้าประมูล มีกรรมการผู้จัดการบริษัทใหญ่ในจีนเป็นยี่ปั๊ว จ้างโรงงานผลิตแท็บเล็ตสั่ง 4 บริษัท ซื้อที่เดียวกันทั้งหมด แต่สัญญาไม่ได้มา ผมทราบมาว่าช่วงนั้นมีคนสนิทนักการเมืองบินไปเสิ่นเจิ้น ไปตกลงเรื่องส่วนแบ่ง หักกันระหว่างทางเยอะมาก เดิมอยู่ที่ 25% จากวงเงินจัดซื้อแท็บเล็ต 4,600 ล้านบาท คิดเป็นเงิน 1,000 ล้านบาท จาก 4 โซน ราคาต่อเครื่องชนเพดาน ตกเครื่องละ 1,500 บาท เพราะราคากลางแท็บเล็ตป.1 อยู่ที่ 2,700 บาท ส่วนม.1 อยู่ที่ 2,720 บาท แต่ต้องซื้อ 1.7 ล้านเครื่องถึงจะคุ้มทุน"
เหนืออื่นใด "เลขาธิการ ภตช." ยังระบุว่า การจัดซื้อแท็บเล็ตปี 2556 ที่ล่มไม่เป็นท่า เพราะมีการตกลงกับนักการเมืองใหญ่รายหนึ่งในราคาหนึ่ง แต่ข้าราชการไม่เอาด้วย ท้ายที่สุด เมื่อบริษัทแห่งนั้นกำลังจะมีปัญหากับทางการจีน จึงจำเป็นยกเลิกหลังเซ็นสัญญากับไทยแล้ว
สำนักงานรัฐมนตรี เลขรับที่ 2352 วันที่ 8 กรกฎาคม 2556 เลขาธิการ ภตช. ได้ยื่นหนังสือถึง นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในขณะนั้น เพื่อให้ทบทวนและตรวจสอบโครงการจัดซื้อแท็บเล็ต จำนวน 1.6 ล้านเครื่องของสพฐ.ว่าดำเนินการไปด้วยความโปร่งใสเป็นธรรมโดยยึดประโยชน์ทางราชการและดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลหรือไม่
1 เดือนผ่านไป "ภตช." ไม่ได้รับเสียง "ตอบรับ" ใดๆ จาก "นายจาตุรนต์ ฉายแสง" ในที่สุดเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2556 "ภตช."ได้ยื่นหนังสือเลขที่ ภตช.018/2556 ด่วนที่สุด ประทับตรา "ลับ" ถึง "รมว.ศึกษาธิการ" เป็นครั้งที่สอง เพื่อร้องเรียนใน 3 ประเด็นหลักดังนี้
ประเด็นแรก ขอให้ตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงและตั้งกรรมการสอบสวน กรณีการอาจจะมีการทุจริตการประกวดคราคาซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา(แท็บเล็ต) ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ตามเอกสารประกวดราคาซื้อด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ เลขที่ 12/2556 ลงวันที่ 29 พฤษภาคม 2556 และเลขที่ 17/2556 ลงวันที่ 5 กรกฎาคม 2556 โซน 1, 2, 4 ซึ่งอาจจะเข้าข่ายการกระทำความผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 8 (เสนอราคาต่ำจนรัฐเสียหาย) และมาตรา 11 (การกำหนดราคากลางสูงกว่าความเป็นจริง)
ประเด็นที่ 2 ขอให้ตรวจสอบการสมยอมกันเข้าประกวดราคา ของบริษัท เสิ่นเจิ้น อิงถัง อินเทลลิเจ้นท์ คอนโทรล จำกัด และบางบริษัท ในโซนที่ 4 ซึ่งอาจจะขาดคุณสมบัติของผู้เสนอราคา และประเด็นสุดท้าย ขอให้ตรวจสอบประเด็นกล่าวหาที่เกิดขึ้นในประเทศจีนของบริษัท เสิ่นเจิ้น อิงถัง อินเทลลิเจ้นท์ คอนโทรล จำกัด กรณีการออกข่าวกับผู้ถือหุ้นของบริษัท และบุคคลทั่วไปผ่านตลาดหลักทรัพย์ ก่อนการประกวดราคา ประมาณ 4 เดือน ว่าได้สัญญากับประเทศไทยแล้ว ณ เขตปกครองพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งจะทำให้ บริษัท เสิ่นเจิ้น อิงถัง อินเทลลิเจ้นท์ คอนโทรล จำกัด ขาดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิเสนอราคา
วันที่ 8 ตุลาคม 2556 นายจาตุรนต์ ฉายแสง ได้ตอบข้อร้องเรียนของ "เลขาธิการภตช." ตามหนังสือที่ ศธ.04005/3921 ใจความว่า "กระทรวงศึกษาธิการขอเรียนว่าประเด็นที่ท่านตั้งข้อสังเกตมานั้น มีหน่วยงานราชการที่มีอำนาจหน้าที่ดูแลอยู่แล้ว กระทรวงศึกษาธิการจึงขอขอบคุณในความเห็นที่ผ่านเสนอมา"
แต่ในที่สุด เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2557 การจัดซื้อแท็บเล็ตแจกป.1 และม.1 ประจำปีการศึกษา 2556 ทั้งโซน 1 และโซน 2 ถูก บริษัท เสิ่นเจิ้น อิงถังฯ ขอยกเลิกสัญญา ทั้งหมด อ้าง ความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศไทย ตามสัญญาแล้ว บริษัท เสิ่นเจิ้น อิงถังฯ จะต้องส่งมอบแท็บเล็ตให้ครบภายในวันที่ 26 ธันวาคม 2556 มิฉะนั้น จะมีค่าปรับตามสัญญาวันละ 2.2 ล้านบาท ซึ่งภายในกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2557 จะปรับครบวงเงิน 120 ล้านบาท หรือ 10% ของมูลค่าสินค้า
มีการติดตามผลหรือประเมินความสำเร็จของโครงการแจกแท็บเล็ตของรัฐบาลหรือไม่อย่างไรครับ
One tablet pc per child" หรือ โครงการจัดซื้อแท็บเล็ตแจกนักเรียน ของกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ถึงนาทีนี้ จาตุรนต์ ฉายแสง เจ้ากระทรวง อาศัยมติที่ประชุมคณะกรรมการบริหารแท็บเล็ต ประกาศเดินหน้าจัดซื้อจัดจ้างในโซน 3 ส่วนโซน 1 และ 2 จัดประมูลตามสเปกเดิม เพื่อให้แท็บเล็ตส่งถึงมือเด็กภายในเดือนมิถุนายน 2557 ขณะเดียวกันก็มอบอำนาจให้อัยการดำเนินการฟ้องร้องบริษัทเสิ่นเจิ้น อิงถัง บริษัทแม่ที่จีน
ปฏิเสธไม่ได้ว่า "นโยบายแท็บเล็ต" แนวคิดดีได้พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาของเด็กไทย แต่ความไม่ปกติของโครงการแท็บเล็ตเริ่มมีคำถามตั้งแต่รัฐบาล "เพื่อไทย" ชนะการเลือกตั้งเมื่อปี 2554
เพราะจากถ้อยคำอภิปรายไม่ไว้วางใจของ "ณัฏฐ์ บรรทัดฐาน" ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ต่อนโยบายแท็บเล็ต เมื่อปี 2555 ระบุชัดเจนว่า "ตอนหาเสียงบอกไว้ว่า นักเรียน นักศึกษา จะได้รับแท็บเล็ตครบ 12 ล้านคน แต่มาถึงเวลานี้ บอกว่าได้เฉพาะป.1 จำนวน 5 แสนคน ใช้งบประมาณ 1,900 ล้านบาท ในขณะที่ถ้อยคำแถลงในเล่มใหญ่บอกไว้ว่าแจก 6 แสนคน ใช้งบประมาณ 1,600 ล้านบาท"
ความผิดปกติของโครงการแท็บเล็ต ได้รับการร้องเรียนจากพ่อแม่ผู้ปกครองจำนวนมาก จนนำไปสู่การเฝ้าจับตามองและตั้งข้อสังเกตของ "มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์" เลขาธิการคณะกรรมการภาคีเครือข่ายต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นของชาติ(ภตช.)
"ผมจับตาการจัดสรรเงินงบประมาณจัดซื้อแท็บเล็ตปี 2555 ของกระทรวงศึกษาฯ จำนวน 8.6 แสนเครื่อง แจกเด็กป.1 เมื่อตรวจสอบพบว่าเป็น "จีทูจีเก๊" ไม่ได้ทำสัญญารัฐต่อรัฐ หรือระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลจีนหรือไม่ เพราะความจริงบริษัทในไทย ไปเปิดที่จีนแต่เป็นคนไทย ใช้ชื่อจดทะเบียนบริษัทที่จีน เป็นคนใกล้ชิดนักการเมืองชื่อดัง แต่ผมไม่ร้องเรียนเพราะเข้าใจว่าเป็นจีทูจี ผมรู้ว่าเป็นจีทูจีเก๊เมื่อมีการส่งมอบแท็บเล็ตไปแล้ว"เลขาธิการ ภตช. ย้อนอดีต
นายมงคลกิตติ์ ตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อส่งมอบแท็บเล็ตปี 2555 ระยะแรกมีปัญหา "รูเสียบ" ชาร์จไฟไม่ได้ หูฟังไม่มีคุณภาพ แต่ตอนหลังเขตพื้นที่การศึกษาตรวจสอบพบมีปัญหาแท็บเล็ตไม่ได้คุณภาพ ศูนย์ซ่อมที่เคยมีหลังรับแท็บเล็ต 3 เดือนก็หายไปหมด เมื่อสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)ตรวจสอบ พบแท็บเล็ตเสียหาย 28-30% หลังจากนั้น บริษัทแห่งนั้นก็ปิดตัว ขณะที่ ศธ.ยังเดินหน้าจัดซื้อแท็บเล็ตปี 2556
"แต่การจัดซื้อแท็บเล็ตปี 2556 มีการประมูล 4 โซน ปรากฏว่าโซน 1 โซน 2 โซน 3 ประมูลต่ำกว่าราคากลาง โซน 3 มีการร้องเรียนฮั้วกันระหว่างบริษัทที่เข้าประมูล มีกรรมการผู้จัดการบริษัทใหญ่ในจีนเป็นยี่ปั๊ว จ้างโรงงานผลิตแท็บเล็ตสั่ง 4 บริษัท ซื้อที่เดียวกันทั้งหมด แต่สัญญาไม่ได้มา ผมทราบมาว่าช่วงนั้นมีคนสนิทนักการเมืองบินไปเสิ่นเจิ้น ไปตกลงเรื่องส่วนแบ่ง หักกันระหว่างทางเยอะมาก เดิมอยู่ที่ 25% จากวงเงินจัดซื้อแท็บเล็ต 4,600 ล้านบาท คิดเป็นเงิน 1,000 ล้านบาท จาก 4 โซน ราคาต่อเครื่องชนเพดาน ตกเครื่องละ 1,500 บาท เพราะราคากลางแท็บเล็ตป.1 อยู่ที่ 2,700 บาท ส่วนม.1 อยู่ที่ 2,720 บาท แต่ต้องซื้อ 1.7 ล้านเครื่องถึงจะคุ้มทุน"
เหนืออื่นใด "เลขาธิการ ภตช." ยังระบุว่า การจัดซื้อแท็บเล็ตปี 2556 ที่ล่มไม่เป็นท่า เพราะมีการตกลงกับนักการเมืองใหญ่รายหนึ่งในราคาหนึ่ง แต่ข้าราชการไม่เอาด้วย ท้ายที่สุด เมื่อบริษัทแห่งนั้นกำลังจะมีปัญหากับทางการจีน จึงจำเป็นยกเลิกหลังเซ็นสัญญากับไทยแล้ว
สำนักงานรัฐมนตรี เลขรับที่ 2352 วันที่ 8 กรกฎาคม 2556 เลขาธิการ ภตช. ได้ยื่นหนังสือถึง นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในขณะนั้น เพื่อให้ทบทวนและตรวจสอบโครงการจัดซื้อแท็บเล็ต จำนวน 1.6 ล้านเครื่องของสพฐ.ว่าดำเนินการไปด้วยความโปร่งใสเป็นธรรมโดยยึดประโยชน์ทางราชการและดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลหรือไม่
1 เดือนผ่านไป "ภตช." ไม่ได้รับเสียง "ตอบรับ" ใดๆ จาก "นายจาตุรนต์ ฉายแสง" ในที่สุดเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2556 "ภตช."ได้ยื่นหนังสือเลขที่ ภตช.018/2556 ด่วนที่สุด ประทับตรา "ลับ" ถึง "รมว.ศึกษาธิการ" เป็นครั้งที่สอง เพื่อร้องเรียนใน 3 ประเด็นหลักดังนี้
ประเด็นแรก ขอให้ตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงและตั้งกรรมการสอบสวน กรณีการอาจจะมีการทุจริตการประกวดคราคาซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา(แท็บเล็ต) ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ตามเอกสารประกวดราคาซื้อด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ เลขที่ 12/2556 ลงวันที่ 29 พฤษภาคม 2556 และเลขที่ 17/2556 ลงวันที่ 5 กรกฎาคม 2556 โซน 1, 2, 4 ซึ่งอาจจะเข้าข่ายการกระทำความผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 8 (เสนอราคาต่ำจนรัฐเสียหาย) และมาตรา 11 (การกำหนดราคากลางสูงกว่าความเป็นจริง)
ประเด็นที่ 2 ขอให้ตรวจสอบการสมยอมกันเข้าประกวดราคา ของบริษัท เสิ่นเจิ้น อิงถัง อินเทลลิเจ้นท์ คอนโทรล จำกัด และบางบริษัท ในโซนที่ 4 ซึ่งอาจจะขาดคุณสมบัติของผู้เสนอราคา และประเด็นสุดท้าย ขอให้ตรวจสอบประเด็นกล่าวหาที่เกิดขึ้นในประเทศจีนของบริษัท เสิ่นเจิ้น อิงถัง อินเทลลิเจ้นท์ คอนโทรล จำกัด กรณีการออกข่าวกับผู้ถือหุ้นของบริษัท และบุคคลทั่วไปผ่านตลาดหลักทรัพย์ ก่อนการประกวดราคา ประมาณ 4 เดือน ว่าได้สัญญากับประเทศไทยแล้ว ณ เขตปกครองพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งจะทำให้ บริษัท เสิ่นเจิ้น อิงถัง อินเทลลิเจ้นท์ คอนโทรล จำกัด ขาดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิเสนอราคา
วันที่ 8 ตุลาคม 2556 นายจาตุรนต์ ฉายแสง ได้ตอบข้อร้องเรียนของ "เลขาธิการภตช." ตามหนังสือที่ ศธ.04005/3921 ใจความว่า "กระทรวงศึกษาธิการขอเรียนว่าประเด็นที่ท่านตั้งข้อสังเกตมานั้น มีหน่วยงานราชการที่มีอำนาจหน้าที่ดูแลอยู่แล้ว กระทรวงศึกษาธิการจึงขอขอบคุณในความเห็นที่ผ่านเสนอมา"
แต่ในที่สุด เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2557 การจัดซื้อแท็บเล็ตแจกป.1 และม.1 ประจำปีการศึกษา 2556 ทั้งโซน 1 และโซน 2 ถูก บริษัท เสิ่นเจิ้น อิงถังฯ ขอยกเลิกสัญญา ทั้งหมด อ้าง ความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศไทย ตามสัญญาแล้ว บริษัท เสิ่นเจิ้น อิงถังฯ จะต้องส่งมอบแท็บเล็ตให้ครบภายในวันที่ 26 ธันวาคม 2556 มิฉะนั้น จะมีค่าปรับตามสัญญาวันละ 2.2 ล้านบาท ซึ่งภายในกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2557 จะปรับครบวงเงิน 120 ล้านบาท หรือ 10% ของมูลค่าสินค้า