บินไทยส่อขาดทุน1.4หมื่นล้าน
วันพุธที่ 05 กุมภาพันธ์ 2014 กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ
ปิดฉากงบการบินไทยปี 56 ฉายแววขาดทุนเฉียด 1.4 หมื่นล้านบาท จากปัญหาสารพัด ทั้งขาดทุนจากโอเปอเรชันราว 5 พันล้านบาท ตลาด จีน อินเดีย ออสเตรเลีย ชะลอตัว เจอบันทึกด้อยค่าแอร์บัสเอ 340 อีก 3.9 พันล้านบาท ถูกบีบขึ้นเงินเดือน 3 % ใช้งบ 600 ล้านบาท ส่วนกลางปีเจอปรับรายได้นักบินคนละ 3 หมื่นบาทกันสมองไหล ยอมรับม็อบยืดเยื้อฉุดบุ๊กกิ้งไตรมาสแรกหด เร่งปรับแผนใช้เครื่องบิน ลดขนาดยุบรวมไฟลต์ขนาดใหญ่ จ่อเลิกบิน 2เส้นทางเซนไดวันที่ 29 มีนาคมนี้ และหลวงพระบาง เร็วๆ นี้
แหล่งข่าวระดับสูงจากบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ"ว่าผลการดำเนินงานของการบินไทยในปี 2556 ที่ยังต้องรอทางสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)ตรวจสอบ มีการรายงานตัวเลขล่าสุดในการประชุมคณะกรรมการบริหารเมื่อวันที่ 24 มกราคมที่ผ่านมา ถึงตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการว่าจะขาดทุนเฉียด 1.4 หมื่นล้านบาท มาจาก 4 สาเหตุหลักคือ 1.การขาดทุนจากการดำเนินการราว 5 พันล้านบาท 2. ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเกือบ 3 พันล้านบาท 3.ขาดทุนจากการด้อยค่าของเครื่องบินแอร์บัสเอ 340 วงเงิน 3.9 พันล้านบาท และประการสุดท้าย เป็นการกันงบประมาณเพื่อใช้ในการปรับขึ้นเงินเดือนและการให้อินเซนทีฟแก่พนักงานรวมกันอีกราว 1.6 พันล้านบาท
ทั้งนี้การขาดทุนจากการดำเนินการมาจากสาเหตุการชะลอตัวของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะยอดขายจากตลาดภูมิภาค อย่าง จีน อินเดีย ออสเตรเลีย เส้นทางบินในเอเชียที่ลดลงจากหลายปัจจัยลบที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นมาตรการการควบคุมทัวร์ศูนย์เหรียญของรัฐบาลจีน การแข่งขันที่สูงขึ้นในธุรกิจการบิน และปัญหาการเมืองไทย ดังนั้นแม้ไตรมาสสุดท้ายที่ถือว่าเป็นช่วงฤดูกาลการท่องเที่ยว แต่ผลประกอบการก็ยังประสบปัญหาการขาดทุน
นอกจากนี้ยังมีภาระการขาดทุนจากการลงบัญชีด้อยค่าของเครื่องบินในปีนี้อีก 3.9 พันล้านบาท สำหรับเครื่องบินแอร์บัสเอ 340 จำนวน 3 ลำ จากที่มีอยู่ 4 ลำ หลังจากก่อนหน้านี้ได้ลงบัญชีการด้อยค่าของเครื่องบินรุ่นนี้ไปแล้ว 1 ลำสมัย ร.ท.อภินันทน์ สุมนะเศรณี อดีตกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (ดีดี) การที่เครื่องบินรุ่นดังกล่าวจำเป็นต้องลงบันทึกการด้อยค่า เป็นเพราะต้องการลด Book Value (ราคาตามบัญชี) ของเครื่องบินรุ่นนี้ลง เพื่อให้สามารถขายออกจากฝูงบินได้
"ที่ผ่านมาไม่สามารถขายได้ แม้จะมีผู้ซื้ออย่าง Av Con Worldwide เสนอซื้อในราคาลำละ23.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (752 ล้านบาท) เพราะเป็นราคาที่ต่ำกว่า Book Value ที่ 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อลำ (1,280 ล้านบาท) และจากผลการศึกษาควรขายเครื่องบินรุ่นนี้ออกไป เนื่องจากหากนำมาใช้ทำการบินก็จะประสบปัญหาการขาดทุน แม้จะนำไปบินในเส้นทางที่มีความต้องการอย่างญี่ปุ่นก็ตาม เพราะเครื่องบินรุ่นนี้ มีภาระค่าใช้จ่ายต่อเที่ยวบินที่สูงกว่าเครื่องบินรุ่นอื่นๆ โดยเฉพาะต้นทุนน้ำมันที่สูงมาก"
อย่างไรก็ตามแม้ Book Value (ราคาตามบัญชี)ของเครื่องบินรุ่นนี้จะลดลง แต่การขายก็คงต้องประกาศหาผู้ซื้อที่สนใจรายใหม่ เพราะผู้ซื้อรายเดิมขอถอนตัวไปแล้ว ขณะที่แผนการปลดระวางเครื่องบินรุ่นอื่นๆ ของการบินไทยที่ประกาศขายอยู่ในขณะนี้มีจำนวน 10 ลำ ประกอบด้วย เครื่องบิน เอทีอาร์ 2 ลำ โบอิ้ง 737-400 จำนวน 4 ลำ โบอิ้ง 747-400 จำนวน 4 ลำเฉลี่ยมีอายุการใช้งานกว่า 20 ปี ทำให้มูลค่าเครื่องบินตามบัญชีเหลือไม่ถึง 10%
ส่วนการปรับขึ้นเงินเดือนให้พนักงานในกรอบ 3% ของผู้มีสิทธิ์ขึ้นเงินเดือนมีผลไปเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2557 ต้องใช้เม็ดเงินในราว 600 ล้านบาท รวมถึงแผนการให้อินเซนทีฟแก่พนักงาน วงเงินราว 1 พันล้านบาท ซึ่งจะได้จากการขอคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามโครงสร้างภาษีใหม่ที่ปรับจาก 5 ขั้นเป็น 7 ขั้น จากการที่บริษัทเป็นผู้รับภาระเสียภาษีให้พนักงาน เพื่อนำเงินขอคืนภาษีมาจ่ายเป็นอินเซนทีฟให้พนักงาน เพราะในปีที่ผ่านมาการบินไทยไม่สามารถจ่ายโบนัสได้ จากการประสบปัญหาการขาดทุน และลดแรงกดดันของสหภาพฯ ที่เรียกร้องให้ประธานบอร์ด ดร.อำพน กิตติอำพน ลาออก
นอกเหนือจากนี้ยังเพื่อเป็นการสกัดไม่ให้นักบินลาออกไปร่วมงานกับสายการบินใหม่ อาทิ ไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ นกสกู๊ต ที่เตรียมจะเปิดให้บริการในเร็ว ๆ นี้ จึงมีการดึงตัวนักบินของการบินไทยไปหลายราย ทำให้บริษัทจะปรับขึ้นเงินเดือนให้กับนักบินอีกคนละ 3 หมื่นบาท โดยจะทยอยปรับขึ้นในช่วง 3 ปีนี้ ซึ่งจะเริ่มขึ้นเงินเดือนในอีก 6 เดือนข้างหน้านี้
"แม้ปี 2556 การบินไทยจะประสบปัญหาการขาดทุนกว่าหมื่นล้านบาท แต่จะไม่ส่งผลต่อการขาดสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจเหมือนเมื่อหลายปีก่อนที่ขาดทุนอยู่ร่วม 2 หมื่นล้านบาท เนื่องจากได้บทเรียนจากครั้งที่ผ่านมาจึงมีการวางแผนทางการเงิน โครงสร้างเงินทุนให้แข็งแกร่งขึ้น รองรับแผนลงทุนในปีนี้อีกร่วม 1 หมื่นล้านบาท ทั้งปรับปรุงผลิตภัณฑ์บนเครื่องบิน และการจ่ายค่างวดการรับมอบเครื่องบินในปีนี้อีก 14 ลำได้แก่ แอร์บัสเอ 320-200 จำนวน 6 ลำ เพื่อใช้ขยายฝูงบินของการบินไทยสมายล์โบอิ้ง777-300 ER 4 ลำ, โบอิ้ง787 จำนวน 4 ลำ"
ส่วนการชุมนุมทางการเมืองที่ยืดเยื้อจะส่งผลกระทบต่อยอดขายในช่วงไตรมาสแรก จากการชะลอตัวของบุ๊กกิ้ง ในการประชุมแผนยุทธศาสตร์ระหว่างบอร์ดและฝ่ายบริหารการบินไทยในเร็ว ๆ นี้ คงต้องมุ่งไปในเรื่องของการกระตุ้นรายได้ในช่วงไตรมาสแรกนี้เป็นหลัก เพื่อผลักดันเป้าหมายการดำเนินธุรกิจในปีนี้ที่ตั้งเป้าหมายกำไรอยู่ที่ 3 พันล้านบาท แหล่งข่าวกล่าว
โชคชัย ปัญญายงค์โชคชัย ปัญญายงค์ ด้านนายโชคชัย ปัญญายงค์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่อาวุโสสายการพาณิชย์และรักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า คาดการณ์ว่าอัตราส่วนบรรทุกผู้โดยสารหรือเคบิน แฟกเตอร์ ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้จะอยู่ที่ราว 70% ต่ำกว่าที่ตั้งไว้ว่าน่าจะอยู่ที่ราว 76-78% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมือง มาตรการควบคุมทัวร์ศูนย์เหรียญของจีน และจากยอดบุ๊กกิ้งที่ต่ำกว่าการคาดการณ์
"เบื้องต้นการบินไทยต้องมีการรวมเที่ยวบิน ปรับลดเที่ยวบิน ทำให้ปริมาณเที่ยวบินในช่วงไตรมาสแรกมีการปรับลดลงอยู่ราว 1.5 % ของจำนวนเที่ยวบินรวมทั้งหมด เพื่อให้สอดคล้องกับจำนวนผู้โดยสารและการลดภาระค่าใช้จ่าย ซึ่งในการประชุมยุทธศาสตร์ในสัปดาห์นี้ จะมีการหารือถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพ การจัดเส้นทางให้เหมาะสมระหว่างการบินไทยและการบินไทยสมายล์
แผนการปรับเปลี่ยนแผนการบิน ขนาดของเครื่องบินให้สอดคล้องกับตารางบินช่วงฤดูร้อนซึ่งเป็นช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว โดยจะหยุดบินกรุงเทพฯ -เซนได ประเทศญี่ปุ่นสัปดาห์ละ 3 เที่ยวบินจะบินไฟลต์สุดท้ายวันที่ 29 มีนาคมนี้และจะกลับมาบินอีกครั้งช่วงปลายปีและอีกเส้นทางคือกรุงเทพฯ –หลวงพระบาง ให้บริการสัปดาห์ละ 4 เที่ยวบิน อังคาร ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ของการบินไทยสมายด์ ด้วย"
อนึ่ง สำหรับผลประกอบการการบินไทยปี 2553 พบว่ามีกำไร 1.5 หมื่นล้านบาท ปี 2554 กลับมาขาดทุน 1 หมื่นล้านบาท ปี 2555 กำไร 6.2 พันล้านบาท และไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 ขาดทุนแล้ว 6.3 พันล้านบาท
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 2,920 วันที่ 6 - 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
ผู้โดยสารการบินไทย โปรดรัดเข็มขัด
วันพุธที่ 05 กุมภาพันธ์ 2014 กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ
ปิดฉากงบการบินไทยปี 56 ฉายแววขาดทุนเฉียด 1.4 หมื่นล้านบาท จากปัญหาสารพัด ทั้งขาดทุนจากโอเปอเรชันราว 5 พันล้านบาท ตลาด จีน อินเดีย ออสเตรเลีย ชะลอตัว เจอบันทึกด้อยค่าแอร์บัสเอ 340 อีก 3.9 พันล้านบาท ถูกบีบขึ้นเงินเดือน 3 % ใช้งบ 600 ล้านบาท ส่วนกลางปีเจอปรับรายได้นักบินคนละ 3 หมื่นบาทกันสมองไหล ยอมรับม็อบยืดเยื้อฉุดบุ๊กกิ้งไตรมาสแรกหด เร่งปรับแผนใช้เครื่องบิน ลดขนาดยุบรวมไฟลต์ขนาดใหญ่ จ่อเลิกบิน 2เส้นทางเซนไดวันที่ 29 มีนาคมนี้ และหลวงพระบาง เร็วๆ นี้
แหล่งข่าวระดับสูงจากบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ"ว่าผลการดำเนินงานของการบินไทยในปี 2556 ที่ยังต้องรอทางสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)ตรวจสอบ มีการรายงานตัวเลขล่าสุดในการประชุมคณะกรรมการบริหารเมื่อวันที่ 24 มกราคมที่ผ่านมา ถึงตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการว่าจะขาดทุนเฉียด 1.4 หมื่นล้านบาท มาจาก 4 สาเหตุหลักคือ 1.การขาดทุนจากการดำเนินการราว 5 พันล้านบาท 2. ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเกือบ 3 พันล้านบาท 3.ขาดทุนจากการด้อยค่าของเครื่องบินแอร์บัสเอ 340 วงเงิน 3.9 พันล้านบาท และประการสุดท้าย เป็นการกันงบประมาณเพื่อใช้ในการปรับขึ้นเงินเดือนและการให้อินเซนทีฟแก่พนักงานรวมกันอีกราว 1.6 พันล้านบาท
ทั้งนี้การขาดทุนจากการดำเนินการมาจากสาเหตุการชะลอตัวของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะยอดขายจากตลาดภูมิภาค อย่าง จีน อินเดีย ออสเตรเลีย เส้นทางบินในเอเชียที่ลดลงจากหลายปัจจัยลบที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นมาตรการการควบคุมทัวร์ศูนย์เหรียญของรัฐบาลจีน การแข่งขันที่สูงขึ้นในธุรกิจการบิน และปัญหาการเมืองไทย ดังนั้นแม้ไตรมาสสุดท้ายที่ถือว่าเป็นช่วงฤดูกาลการท่องเที่ยว แต่ผลประกอบการก็ยังประสบปัญหาการขาดทุน
นอกจากนี้ยังมีภาระการขาดทุนจากการลงบัญชีด้อยค่าของเครื่องบินในปีนี้อีก 3.9 พันล้านบาท สำหรับเครื่องบินแอร์บัสเอ 340 จำนวน 3 ลำ จากที่มีอยู่ 4 ลำ หลังจากก่อนหน้านี้ได้ลงบัญชีการด้อยค่าของเครื่องบินรุ่นนี้ไปแล้ว 1 ลำสมัย ร.ท.อภินันทน์ สุมนะเศรณี อดีตกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (ดีดี) การที่เครื่องบินรุ่นดังกล่าวจำเป็นต้องลงบันทึกการด้อยค่า เป็นเพราะต้องการลด Book Value (ราคาตามบัญชี) ของเครื่องบินรุ่นนี้ลง เพื่อให้สามารถขายออกจากฝูงบินได้
"ที่ผ่านมาไม่สามารถขายได้ แม้จะมีผู้ซื้ออย่าง Av Con Worldwide เสนอซื้อในราคาลำละ23.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (752 ล้านบาท) เพราะเป็นราคาที่ต่ำกว่า Book Value ที่ 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อลำ (1,280 ล้านบาท) และจากผลการศึกษาควรขายเครื่องบินรุ่นนี้ออกไป เนื่องจากหากนำมาใช้ทำการบินก็จะประสบปัญหาการขาดทุน แม้จะนำไปบินในเส้นทางที่มีความต้องการอย่างญี่ปุ่นก็ตาม เพราะเครื่องบินรุ่นนี้ มีภาระค่าใช้จ่ายต่อเที่ยวบินที่สูงกว่าเครื่องบินรุ่นอื่นๆ โดยเฉพาะต้นทุนน้ำมันที่สูงมาก"
อย่างไรก็ตามแม้ Book Value (ราคาตามบัญชี)ของเครื่องบินรุ่นนี้จะลดลง แต่การขายก็คงต้องประกาศหาผู้ซื้อที่สนใจรายใหม่ เพราะผู้ซื้อรายเดิมขอถอนตัวไปแล้ว ขณะที่แผนการปลดระวางเครื่องบินรุ่นอื่นๆ ของการบินไทยที่ประกาศขายอยู่ในขณะนี้มีจำนวน 10 ลำ ประกอบด้วย เครื่องบิน เอทีอาร์ 2 ลำ โบอิ้ง 737-400 จำนวน 4 ลำ โบอิ้ง 747-400 จำนวน 4 ลำเฉลี่ยมีอายุการใช้งานกว่า 20 ปี ทำให้มูลค่าเครื่องบินตามบัญชีเหลือไม่ถึง 10%
ส่วนการปรับขึ้นเงินเดือนให้พนักงานในกรอบ 3% ของผู้มีสิทธิ์ขึ้นเงินเดือนมีผลไปเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2557 ต้องใช้เม็ดเงินในราว 600 ล้านบาท รวมถึงแผนการให้อินเซนทีฟแก่พนักงาน วงเงินราว 1 พันล้านบาท ซึ่งจะได้จากการขอคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามโครงสร้างภาษีใหม่ที่ปรับจาก 5 ขั้นเป็น 7 ขั้น จากการที่บริษัทเป็นผู้รับภาระเสียภาษีให้พนักงาน เพื่อนำเงินขอคืนภาษีมาจ่ายเป็นอินเซนทีฟให้พนักงาน เพราะในปีที่ผ่านมาการบินไทยไม่สามารถจ่ายโบนัสได้ จากการประสบปัญหาการขาดทุน และลดแรงกดดันของสหภาพฯ ที่เรียกร้องให้ประธานบอร์ด ดร.อำพน กิตติอำพน ลาออก
นอกเหนือจากนี้ยังเพื่อเป็นการสกัดไม่ให้นักบินลาออกไปร่วมงานกับสายการบินใหม่ อาทิ ไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ นกสกู๊ต ที่เตรียมจะเปิดให้บริการในเร็ว ๆ นี้ จึงมีการดึงตัวนักบินของการบินไทยไปหลายราย ทำให้บริษัทจะปรับขึ้นเงินเดือนให้กับนักบินอีกคนละ 3 หมื่นบาท โดยจะทยอยปรับขึ้นในช่วง 3 ปีนี้ ซึ่งจะเริ่มขึ้นเงินเดือนในอีก 6 เดือนข้างหน้านี้
"แม้ปี 2556 การบินไทยจะประสบปัญหาการขาดทุนกว่าหมื่นล้านบาท แต่จะไม่ส่งผลต่อการขาดสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจเหมือนเมื่อหลายปีก่อนที่ขาดทุนอยู่ร่วม 2 หมื่นล้านบาท เนื่องจากได้บทเรียนจากครั้งที่ผ่านมาจึงมีการวางแผนทางการเงิน โครงสร้างเงินทุนให้แข็งแกร่งขึ้น รองรับแผนลงทุนในปีนี้อีกร่วม 1 หมื่นล้านบาท ทั้งปรับปรุงผลิตภัณฑ์บนเครื่องบิน และการจ่ายค่างวดการรับมอบเครื่องบินในปีนี้อีก 14 ลำได้แก่ แอร์บัสเอ 320-200 จำนวน 6 ลำ เพื่อใช้ขยายฝูงบินของการบินไทยสมายล์โบอิ้ง777-300 ER 4 ลำ, โบอิ้ง787 จำนวน 4 ลำ"
ส่วนการชุมนุมทางการเมืองที่ยืดเยื้อจะส่งผลกระทบต่อยอดขายในช่วงไตรมาสแรก จากการชะลอตัวของบุ๊กกิ้ง ในการประชุมแผนยุทธศาสตร์ระหว่างบอร์ดและฝ่ายบริหารการบินไทยในเร็ว ๆ นี้ คงต้องมุ่งไปในเรื่องของการกระตุ้นรายได้ในช่วงไตรมาสแรกนี้เป็นหลัก เพื่อผลักดันเป้าหมายการดำเนินธุรกิจในปีนี้ที่ตั้งเป้าหมายกำไรอยู่ที่ 3 พันล้านบาท แหล่งข่าวกล่าว
โชคชัย ปัญญายงค์โชคชัย ปัญญายงค์ ด้านนายโชคชัย ปัญญายงค์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่อาวุโสสายการพาณิชย์และรักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า คาดการณ์ว่าอัตราส่วนบรรทุกผู้โดยสารหรือเคบิน แฟกเตอร์ ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้จะอยู่ที่ราว 70% ต่ำกว่าที่ตั้งไว้ว่าน่าจะอยู่ที่ราว 76-78% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมือง มาตรการควบคุมทัวร์ศูนย์เหรียญของจีน และจากยอดบุ๊กกิ้งที่ต่ำกว่าการคาดการณ์
"เบื้องต้นการบินไทยต้องมีการรวมเที่ยวบิน ปรับลดเที่ยวบิน ทำให้ปริมาณเที่ยวบินในช่วงไตรมาสแรกมีการปรับลดลงอยู่ราว 1.5 % ของจำนวนเที่ยวบินรวมทั้งหมด เพื่อให้สอดคล้องกับจำนวนผู้โดยสารและการลดภาระค่าใช้จ่าย ซึ่งในการประชุมยุทธศาสตร์ในสัปดาห์นี้ จะมีการหารือถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพ การจัดเส้นทางให้เหมาะสมระหว่างการบินไทยและการบินไทยสมายล์
แผนการปรับเปลี่ยนแผนการบิน ขนาดของเครื่องบินให้สอดคล้องกับตารางบินช่วงฤดูร้อนซึ่งเป็นช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว โดยจะหยุดบินกรุงเทพฯ -เซนได ประเทศญี่ปุ่นสัปดาห์ละ 3 เที่ยวบินจะบินไฟลต์สุดท้ายวันที่ 29 มีนาคมนี้และจะกลับมาบินอีกครั้งช่วงปลายปีและอีกเส้นทางคือกรุงเทพฯ –หลวงพระบาง ให้บริการสัปดาห์ละ 4 เที่ยวบิน อังคาร ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ของการบินไทยสมายด์ ด้วย"
อนึ่ง สำหรับผลประกอบการการบินไทยปี 2553 พบว่ามีกำไร 1.5 หมื่นล้านบาท ปี 2554 กลับมาขาดทุน 1 หมื่นล้านบาท ปี 2555 กำไร 6.2 พันล้านบาท และไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 ขาดทุนแล้ว 6.3 พันล้านบาท
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 2,920 วันที่ 6 - 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557