บันทึกความทรงจำ...ปีครึ่งในอังกฤษ ชีวิตครบรส ช่วงที่ 2

สวัสดีค่าาา กลับมาแล้วค่าาา พอดีว่าช่วงที่ผ่านมายุ่งๆกับทางบ้านค่ะ มีเรื่องราวเยอะแยะมากมายก่ายกองให้ต้องจัดการ... เอาเป็นว่าทาร่ากลับมาแล้วนะคะ อาจจะไม่ค่อยได้ลงให้อ่านกันบ่อยๆ เพราะว่ามันต้องมีการรื้อความทรงจำและความรู้สึก ณ ตอนนั้นกันนิดนึง แต่ถ้าเพื่อนๆคนไหนอยากจะปรึกษาเรื่องการเรียนต่อที่อังกฤษ หรือการใช้ชีวิตที่โน้น เค้ายินดีให้คำแนะนำน้าาา ยิ้ม

คุณ Heinz: มาลงต่อให้อ่านกันแล้วนะค้าาา

ส่วนคุณ นางฟ้าปลายศตวรรษ: แอร๊ยยยยยยยยยยยยย เค้าแอบจิกหมอนนนนนนตอนอ่านคอมเม้นท์อ่าาาาา

............................................................................................

หลังจากที่ตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจุดหมายปลายทางของการเดินทางครั้งนี้จะเป็นเมืองผู้ดี๊ผู้ดีนั้น มันก็ต้องเริ่มดำเนินการอะไรสักอย่างเพื่อการสานต่อความฝันที่มีให้เกิดขึ้นจริงสักที โชคดีค่ะ พี่ผู้จัดการที่โรงเรียนสอนภาษาที่ส่งเสริมและพัฒนาความพร้อมก่อนสอบ IELTS นั้นใจดี๊ใจดี อาสาช่วยติดต่อเรื่องเรียนต่อและดูแลกระบวนการทุกอย่าง ตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบกันเลยทีเดียวค่ะ

หลังจากที่เรียนจบคอร์สภาษาแล้วนั้น ก็ต้องสอบวัดความรู้ภาษาอังกฤษค่ะ สอบค่ะสอบ!!! แม่เจ้า เรียนจบมาก็เกือบๆหกเดือนแล้ว ไม่เคยได้ทำข้อสอบกับเค้าอีกเล้ยยยย จะไหวมั้ยเนี่ยะะะะะะ...เอาฟระ ฮึบๆ สู้ๆ เพื่อความฝัน เพื่อพ่อแม่ เพื่อตัวเอง ไม่ลองก็ไม่รู้ ส่งอีเมลล์บอกพี่ผู้จัดการค่ะว่า "พี่คะ หนูจะสอบแล้วนะคะ! กรี๊ดดดดด!! แต่แอบกลัววววว ทำไงดี ฮืออออออ" หลังจากที่ส่งเมลล์ไปแล้วนั้น ได้คำตอบกลับมาว่า "สอบเถอะค่ะ ไม่ต้องกลัว สู้ๆ พี่รู้ว่าน้องทำได้" คิดในใจตอนนั้นว่า "ค่ะ สอบแน่ๆค่ะ สอบค่ะสอบ สอบไปเล้ยย จะได้ไปเร็วๆ"

พอตัดสินใจได้แล้วว่าจะสอบ ก็ใจร้อนเป็นวัยรุ่นพันธ์ซ่าส์กันเลยค่ะ อยากสอบเร็วๆ เอาแบบที่เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เชคไป เชคมา พบความจริงที่ว่า การจัดสอบที่เร็วที่สุดก็คือต้องขึ้นไปสอบที่กรุงเทพ เมืองหลวงของไทยยยยยย แว๊กกกก!! โรคแพ้กรุงเทพกำเริบ บอกตรงๆค่ะว่า ตั้งแต่เด็กๆก็ไม่ชอบบรรยากาศกรุงเทพเอาสักนิดเลย วุ่นวาย เวียนหัว มึน แพ้ควัน แพ้คน เมารถ เมาตึกค่ะ แหะๆ พูดง่ายๆว่า บ้านนอกอ่ะนะ แต่คราวนี้คงเลี่ยงไม่ได้ ถ้าอยากไปนอก ก็ต้องยอมแลกค่ะ จัดการสมัครสอบ จองที่พัก ตั๋วการเดินทาง ใบตอบรับการสอบ รูปถ่าย ซ้อมสัมภาษณ์ โน่น นี่ นั่น เยอะแยะ

ผ่านไปเกือบๆเดือน พร้อมรบแล้วค่ะ ตอนนั้นแม่บอกว่า แม่เป็นห่วง นางก็เลยขอติดตามมาเมืองกรุงด้วยกัน กลัวลูกจะเป็นบ้านนอกหลงกรุงอยู่คนเดียว อย่างน้อยๆ นางก็เชี่ยวกว่า นางว่างั้นค่ะ...ก็ตามใจนางนิดนึง ไปก็ไป ถึงวันเดินทางจริง สองแม่ลูกพากันเดินทางจากบ้านนอกเข้าสู่เมืองหลวง ค้างคืน ณ โรงแรมที่จองไว้ การจองโรงแรมก็เป็นอะไรที่เพิ่งทำออนไลน์ครั้งแรก บอกเลยค่ะ เพราะว่าอยู่ไทย ไม่เคยต้องอ่านรีวิวเอง ไม่ต้องมานั่งสำรวจว่าโรงแรมนั้นดี โรงแรมนั้นแย่ บลาบลาบลา ปรกติมีเพื่อนหรือคนรู้จักทำให้ตลอดค่ะ คราวนี้ทำเปรี้ยว อยากลองฝึกเป็นเด็กฝรั่งดู จองผ่านเนตนี่แหละ เริศดี อ่านรีวิว ดูเรตติ้ง ดูทำเล เชคราคา พบโรงแรมนึง อยู่ติดสถานีรถไฟฟ้า การเดินทางไปโรงแรมที่เป็นสถานที่สอบก็เพียงแค่ข้ามสะพานลอยไปไม่ถึง 5 นาทีเท่านั้นเองค่าาาาา เริศป่ะหล่ะ บอกแล้วว่า สวยๆ ;) ...ออกนอกเรื่องอีกแระ มาๆๆ กลับมาที่เก่า กลับมาเม้าเรื่องเดิม

จำได้อย่างแม่นเลยค่ะว่าวันที่สอบคือ วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2555 เราสองคนแม่ลูกตื่นกันตั้งแต่เช้า เตรียมตัวทานข้าวเช้า ทำใจสำหรับการสอบ แทบจะนั่งสมาธิกันเลยทีเดียว ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า หลังจากที่เลิกกับแฟนแล้วนั้น ทาร่ากลายเป็นคนธรรมะธรรมโมนะคะ รักการออกกำลังกายอีกต่างหาก เพราะถือคติที่ว่า โสดแล้วต้องสวยกว่าเดิม เพราะ ผช มันจะได้เสียดายยยยย 5555

...ถึงเวลาสอบจริง ท่านแม่ นางเดินมาส่งถึงหน้าทางเข้าบริเวณห้องสอบ แต่ด้วยความที่พวกเราอยู่ใกล้สถานที่สอบเพียงแค่ข้ามสะพานนั้น ทำให้พวกเรามาถึงก่อนเวลาเกือบๆ 2 ชั่วโมง สงสารนางค่ะ ก็เลยบอกนางว่า แม่กลับไปเถอะค่ะ ลูกอยู่คนเดียวได้ สบายมาก นางก็ไม่งอแงค่ะ กอดกันส่งท้ายก่อนเข้าห้องสอบนิดนึง แล้วนางก็เดินจากไป ณ ตอนนั้น ยอมรับค่ะว่ารู้สึกเคว้งคว้างนิดๆ เพราะ ไม่เคยต้องเผชิญกับอะไรคนเดียวมาก่อนเลย อย่างน้อยๆก็จะมีเพื่อนสักคนเอาไว้อุ่นใจ หรือช่วงหลังๆก็ยังมีคุณแฟนคอยอยู่เป็นเพื่อน แต่ ณ ตอนนั้น เหมือนต้องลุกขึ้นยืนด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก มันอาจจะฟังดูตลกนะคะ แต่ ณ จุดนั้น มันรู้สึกแบบนั้นจริงๆค่ะ ความรู้สึกของเด็กต่างจังหวัดคนนึง ที่กำลังจะเริ่มต่อสู้เพื่อความฝันของตัวเองที่จะก้าวเดินออกจากอ้อมอกพ่อแม่ไปยังอีกซีกโลก มันเป็นอะไรที่ดูยิ่งใหญ่นะคะ พูดจริงๆค่ะ

ก่อนเข้าห้องสอบ โทรหาท่านพ่อที่บ้าน พ่อพูดแค่ว่า "เป็นลูกพ่อ ทำได้อยู่แล้ว ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องตื่นเต้น ทำใจให้สบาย สอบให้ได้สักระดับ 8 เลยนะ" (-_-)" ตอนนั้นทั้งตื้นตัน ทั้งขำ ตื้นตันที่พ่อมั่นใจในตัวลูกสาวคนนี้สุดซอยมาเสมอ แต่ก็ขำที่นางอวยให้ได้ระดับ 8 โอ๊ยยยย ถ้าได้เวลดีขนาดนั้น ลูกสาวพ่อคงเกิดผิดประเทศจริงๆแล้วแหละค่ะ ลูกสาวพ่อคนนี้คงเป็นเด็กฝรั่งแล้วมาย้อมผิว ย้อมหัวให้เป็นเอเชียตั้งแต่เกิดแล้ววววว

ถึงเวลาสอบ เจ้าหน้าที่ก็เรียกรายคนไปตามขั้นตอน แต่เอ๊ะ ทำไมต้องมานั่งถ่ายรูปทีละคนด้วยฟระ ถ่ายทำไม ทำบัตรประชาชนหราาา ไม่อยากบอกว่า ณ ตอนนั้น ไปหน้าสดมากกกกกกก โนเมคอัพ ไม่มีการจัดแต่งทรงผม หน้าเปลือยและหัวฟูตามต้นตำรับทาร่าของแท้ มีเหยื่อที่โดนเรียกไปถ่ายรูปได้สักสามสี่คน เจ้าหน้าที่ฝรั่งหัวทองๆ ตัวอ้วนๆ เดินด๊อกแด๊กมาบอกว่า "ยินดีต้อนรับเข้าสู่การสอบ IELTS ครั้งที่ XX (จำไม่ได้ว่าครั้งที่เท่าไหร่ แหะๆ) บลาบลาบลา...ทุกคนคงสงสัยว่าทำไมเราถึงมีการถ่ายรูปก่อนเข้าห้องสอบ พวกเรายินดีที่จะบอกว่า การสอบครั้งนี้เป็นการสอบครั้งแรกที่มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นตอนกระบวนการสอบ โดยผู้เข้าสอบทุกคนจะต้องถ่ายรูปก่อนเข้าห้องสอบเพื่อนำรูปที่ถ่ายไว้ในวันนี้ไปแสดงบนใบผลสอบที่จะได้รับ ส่วนรูปที่ทุกคนได้ส่งมานั้น เราจะถือว่าเป็นแค่รูปสำหรับการสมัครเท่านั้นครับ ยินดีด้วยนะครับ พวกคุณคือผู้เข้าสอบกลุ่มแรกที่ได้ใช้ระบบใหม่"

กรี๊ดดดดดดดดด ดิชั้นอยากจะเป็นลม ในใบสมัครอุตส่าห์ไปถ่ายรูปมา แต่งอย่างสวย กะว่าจะมีรูปสวยๆเอาไว้ประดับผลสอบ พวกคุณทำแบบเน้กับช้านได้ยางงายยยยยยยยยยย ฮืออออออออออ (T^T) ไว้อาลัยให้ตัวเองสองวินาที

สอบข้อเขียนผ่านไป ไวเหมือนโกหก ออกจากห้องสอบแล้วก็ต้องมานั่งรอเวลาการสอบสัมภาษณ์ ท่านแม่นางก็กลับมาหาลูกน้อย ณ สถานที่สอบพร้อมกับขนมนมเนยติดไม้ติดมือสำหรับเป็นเสบียงเตรียมพร้อมก่อนสอบรอบบ่าย เราสองแม่ลูกก็มานั่งที่มุมสำหรับรอการเรียกเข้าห้องสอบสัมภาษณ์ ระหว่างที่นั่งรออยู่นั้น เราสองแม่ลูกก็นั่งเม้ามอยไปเรื่อยๆ แต่บรรยากาศรอบข้างไม่ได้อำนวยให้เม้ามอยได้มากนัก เพราะคนรอบข้างเรานั้นนั่งซ้อมพูด ซ้อมสัมภาษณ์กันอย่างขมักเขม้น แอร๊ยยยย กดดัน!! ขอสารภาพว่า ก่อนมา ไม่มีการเตรียมตัวอะไรมาเลยสักนิด!!! แหะๆ พร้อมมากสำหรับการสอบครั้งนี้ (แอบประชดตัวเอง) พอมาเจอเพื่อนร่วมชะตากรรมมีทีท่าขยันขันแข็งซะขนาดนี้ ก็เริ่มประหม่าและกล้าๆกลัวๆกันเลยทีเดียว แต่ทาร่าซะอย่าง ไม่สนอยู่แล้ว นั่งสงบๆในมุมส่วนตัวกับท่านแม่ไปเรื่อยๆ แต่ก็แอบมองว่า เมื่อไหร่ต้องไปรายงานตัวฟระ จะถึงเวลาที่ต้องสัมภาษณ์อยู่แล้ว พูดง่ายๆคือแอบโก๊ะค่ะ คือเค้าให้ไปรายงานตัวได้เรื่อยๆ แต่ไม่รู้เองว่าเค้าไม่เรียก ดีนะที่เดินไปถาม ไม่งั้น เสียเงินฟรีไปแล้ววววว หลังจากที่เดินไปรายงานตัวได้เกือบๆ 20 นาที เจ้าหน้าที่ก็เรียกให้ไปนั่งรอหน้าห้องสอบ ระหว่างนั่งรออยู่นั้น แอบได้ยินเสียงที่เล็ดลอดมาจากประตูที่ปิดไม่สนิท เสียงดังงุ๊งงิ๊ง จับใจความไม่ได้ เวลาผ่านไปไวเหมือนกระพริบตาสองที คนสัมภาษณ์ก็เปิดประตูมาต้อนรับ เรียกให้เดินเข้าไปในห้องสัมภาษณ์ ตาลุงคนนี้แอบแรงส์ พูดว่า "ยินดีต้อนรับเข้าสู่การสอบสัมภาษณ์ IELTS แต่เอ๊ะ ทำไมตัวจริงไม่สวยเหมือนในรูป?" แรงส์!!!! อยากสวนกลับไปว่า ก็ในรูปอ่ะมันแต่งมาแล้ววววว แล้วนี่ดันมาแพ้น้ำประปาเมืองหลวงแถมอีก หน้ามันก็เลยเป็นแบบนี้นี่แหละะะะะะ แต่ในความเป็นจริง ก็ได้แต่ยิ้มแล้วพูดว่า "ในรูปกับตัวจริงก็คนๆเดียวกันนี่แหละค่ะ แหะๆ" หลังจากนั้นก็เป็นการเริ่มต้นการสัมภาษณ์...วิ๊งงงงงง

เวลาผ่านไป การสัมภาษณ์ก็ได้สิ้นสุดลง ดิชั้นก็พาร่างกายอันระโหยโรยแรงจากการสอบทั้งหมด เดินออกมาจากห้องสัมภาษณ์ที่แอบกลายเป็นสนามเอาไว้จิกกัดกันระหว่างผู้ทำการสัมภาษณ์อย่างคุณลุงแอ๊บแรงส์ กับผู้ให้การสัมภาษณ์อย่างตัวดิชั้นเอง ออกมาปุ๊บ เดินมาหาท่านแม่แล้วชวนกันไปหาของอร่อยๆทานกัน เป็นการตบท้ายการเสร็จสิ้นภารกิจสอบอย่างเป็นทางการ ส่วนผลสอบน้ัน มั่นใจระดับหนึ่งว่า "I'll be fine." ยิ้ม วันรุ่งขึ้นสองแม่ลูกก็พากันกลับบ้านนอกเพื่อกลับสู่ภาวะปรกติของการดำเนินชีวิตของพวกเรา

.........................................................
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่