นิยายโรแมนติก คอมเมดี้ "อิงธารา" ตอนที่ 1 ไร่นาและสาโท

กระทู้สนทนา
บทนำ......................

            เหตุเพราะอกหัก ทำให้ชายหนุ่มต้องระเหกลับมาพักใจ ณ บ้านเกิดของตน แต่เรื่องวุ่นๆ กลับเกิดขึ้นเมื่อต้องมาเจอกับไอ้น้องสาวของเพื่อนที่เขาคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก เหตุผลที่อยากเข้าใกล้นัก ก็เพราะมันทั้งแสบ ทั้งซ่าส์ ทั้งบ้า และที่สำคัญ..มันน่าร๊ากกกก

.......................................................................  
      สายลมบางเบาพัดเอาความหนาวเหน็บอันแห้งแล้งของปลายเดือนธันวาคมมาปะทะผิวหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลา สองมือของนางอุ่นกำลังใช้เศษผ้าเก่าๆ เช็ดถูไหใบใหญ่ที่สามีพึ่งช่วยแบกออกมาจากกอไผ่อยู่พัลวัน ซึ่งอันที่จริงวันนี้ที่บ้านได้ว่าจ้างรถมาสีข้าวในช่วงสาย ข้าวปลาอาหารถูกตระเตรียมไว้พร้อมสรรพแต่ยังขาดบางสิ่งที่อยู่คู่ท้องไร่ท้องนาในเวลาเช่นนี้ ข้าวเหนียวนึ่งที่หมักจากยีสต์ชั้นดีถูกบรรจุลงในไหเมื่อต้นเดือน วันนี้มันพร้อมแล้วสำหรับบริการแขกเหรื่อที่จะมาช่วยสีข้าว ทั้งกลิ่น สี รส ถือว่าไม่แพ้สาโทใดๆ ที่แกเคยชิมมา


      เสียงเครื่องยนต์ครางกระหึ่มได้ยินมาแต่ไกล ดวงหน้าที่เริ่มเหี่ยวย่นรีบชะเง้อมองที่มาของต้นเสียงโดยมิทันรู้ว่ามันคือรถชนิดไหนกันแน่ แต่เมื่อเห็นสีรถคันนั้นอย่างชัดเจน สองมือของแกก็พลันทำงานอย่างอัตโนมัติ สองท้าวก้าวฉับๆ กึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงไปยังหนองน้ำที่อยู่ห่างออกไปเพียงห้าสิบเมตร

    ตูม!!!

ไหใบใหญ่ถูกทิ้งลงในหนองน้ำนั่นเอง
    “ฮู้! เกือบไม่ทัน” แกพ่นลมออกจากปากรู้สึกโล่งใจนักหนาที่ของกลางหายลับไปกับตา
    “แม่ทำอะไรน่ะ” เสียงลูกชายของแกทักขึ้นจากทางด้านหลังเมื่อเห็นผู้เป็นมารดาทำลับๆ ล่อๆ วิ่งแบกไหตรงมาที่สระน้ำนี้ เขาเลยวิ่งตามมา
    “ชู๊ววว! อย่าเสียงดัง เดี๋ยวตำรวจจะรู้ว่าแม่ทิ้งไหเหล้าลงตรงนี้”
    “ตำรวจที่ไหนแม่ โธ่...นั่นเพื่อนฉันเอง ขนมาเต็มคันรถเลย” เขาบอกกับมารดาและเริ่มหัวเสียที่นางคิดเป็นตุเป็นตะพะวงสารพัดกับการกลัวตำรวจจะจับที่แอบหมักสาโทเอาไว้
    “เขาจะมาช่วยสีข้าว แล้วจะเอาเหล้ายาที่ไหนเลี้ยงแขกล่ะเนี่ย...แม่นะแม่ ฉันบอกหลายครั้งแล้ว ตอนนี้ตำรวจเขาไม่จับหรอกคนอื่นทำขายกันเต็มบ้านเต็มเมือง”
    “เอ็งไม่ต้องพูดหรอก พอมันอยากจับมันไม่ได้บอกล่วงหน้านะโว้ย!”
    เอกวีย์ ส่ายหน้าเสียดายก็เสียดาย สองตายังจ้องนิ่งลงไปในสระน้ำซึ่งน้ำสีขาวนวลเริ่มปรากฏให้เห็น มันค่อยๆ กระจายตัวแผ่ขยายเป็นวงกว้างออกไปบนผืนน้ำเบื้องหน้า แต่ชายหนุ่มยังอดสงสัยไม่ได้ว่ามารดาแบกไหนั่นมาได้อย่างไร ขนาดเขาเองยังต้องหาคนช่วยแบก...?

    “เป็นอะไรวะเอก” ภูบดินทร์ ร้องทักเมื่อเห็นใบหน้าของเพื่อนเปลี่ยนไปจากเมื่อห้านาทีที่แล้ว ทั้งที่ก่อนหน้านั้นยังยิ้มร่าแทบเป็นคนละคน
    “ก็แม่น่ะสิ เห็นรถนายกลายเป็นรถตำรวจ แกเลยแบกไหเหล้าทิ้งลงน้ำแล้วนู่น...เซ็งว่ะ อุตส่าห์โฆษณาซะดิบดีว่าเป็นสาโทอันดับหนึ่งของหมู่บ้าน เลยอดกันหมด”
    “เหอะน่า เอาไว้ตอนเที่ยงค่อยไปต่อที่ลานพ่อฉันก็แล้วกัน ใครมันจะไปบ้าซดเหล้าแต่เช้าอย่างนี้วะ” ภูบดินทร์รีบบอกอย่างน้อยก็เพื่อไม่ให้เพื่อนเสียหน้า เหตุเพราะเพื่อนรักคนนี้หากเป็นช่วงเวลาปกติมักจะเป็นคนเงียบขรึม มีน้อยนักที่เขาจะร่วมเฮฮากับเพื่อนๆ ถ้าถึงขั้นว่าโฆษณาสาโทขนาดนี้แล้วล่ะก็ เพื่อนของเขาคงต้องหวังไปไกลให้สาโทของมารดาติดอันดับหนึ่งในหล้าอะไรเทือกนั้น


          สุนัขตัวเขื่องพันธุ์พื้นเมืองขนหนาเรียบสีดำขลับทั้งตัวยังเห่าเสียงขรมไม่ยอมหยุดยั้งตั้งแต่รถของภูบดินทร์เหยียบเข้ามาในบริเวณบ้าน กระทั่งตอนนี้ไอ้เจ้าสี่ขาก็ยังคงวิ่งวนแสดงถึงความไม่เป็นมิตรต่อผู้มาเยือน
    “ไอ้ด๊อก หยุด!” ได้ผล เจ้าตูบสงบปากสงบเขี้ยวของมันหมอบราบลงกับพื้นเมื่อเจอเอกวีย์ตวาด
    “ลูกพี่มันไปไหนวะ ปล่อยให้หมาไล่แขกอยู่ได้ ไอ้อิงไปไหนแม่ทุกทีเห็นมันเอาไอ้ด๊อกไปด้วยไม่ใช่เหรอ” เขาหันกลับไปถามมารดาที่เดินตามหลังมาติดๆ เมื่อเห็นหน้าผู้สูงวัย ภูบดินทร์จึงรีบยกมือไหว้
    “สวัสดีครับน้าอุ่น สบายดีนะครับ”
    “อ้าว! ดินเองหรอกเร๊อะ ไหว้พระเถอะลูก สบายดีๆ แล้วกลับมาเมื่อไหร่ล่ะเนี่ย” นางรับไหว้แต่กลับเดินเลยไปหาเจ้าตูบที่ลุกขึ้นมาอีกรอบเมื่อเห็นนางอุ่น
    “ไป๊! ไอ้ด๊อก ไปอยู่กับไอ้อิง อย่ามากวนคนจะกินข้าว”
    “ผมกลับมาได้สองสามวันแล้วครับน้า ไอ้เอกบอกว่าจะหารถมาสีข้าววันนี้ ผมเลยบอกให้พ่อสีวันนี้เหมือนกันเจ้าของรถจะได้ไม่เสียเที่ยว พอเสร็จแล้วก็เอารถของผมขนขึ้นไว้บนเล้าเลยแล้วกันนะครับน้า จะได้เสร็จทีเดียวเลย” เขาหมายถึงยุ้งฉางหรือเล้าข้าวที่ชาวบ้านใช้เป็นที่เก็บข้าวเปลือกหลังจากสิ้นฤดูเก็บเกี่ยวแล้วนั่นเอง
    “ขอบใจมากจ้ะพ่อดิน ดีเหมือนกันตอนแรกกะว่าจะช่วยกันขนเอง ถ้าแบบนั้นตีสองตีสามก็คงยังไม่เสร็จ เอกเอ๊ย! พาเพื่อนๆ ไปนั่งรอที่แคร่หน้าบ้านก่อนนะลูก กินข้าวกินปลากันก่อนสายๆ โน่นแหละรถถึงจะมา” เมื่อสิ้นเสียงของมารดาเอกวีย์จึงเดินนำกลุ่มเพื่อนทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่อีกห้าคนตรงไปยังแคร่ไม้ไผ่ที่มีโครงไม้ประกอบขึ้นไปสี่เสาทำเป็นหลังคามุงด้วยหญ้าคาอีกชั้นเพื่อช่วยกันแดดกันฝนให้ร่มเงาแก่ผู้พักพิง
    “มาแล้วคร้าบ” เสียงทุ้มใสดังขึ้นเมื่อชายหนุ่มอีกคนถือถาดอาหารเดินตรงมายังแขกเหรื่อที่นั่งรออยู่ รูปร่างหน้าตาของเขาละม้ายคล้ายคลึงกับเอกวีย์มาก แต่หากชายหนุ่มคนนี้กลับยิ้มแย้มทักทายอีกทั้งหัวเราะเฮฮาได้เสมอผิดกับอีกคนที่ยังนั่งหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ข้างๆ ภูบดินทร์
    “ทำอะไรกินน่ะเฮียอั๋น” เสียงของเด็กหนุ่มอายุสิบแปดร้องถามเมื่อเห็น อนุชา ยกกับข้าวที่เริ่มส่งกลิ่นหอมฉุยยั่วน้ำลายจนหลายคนแอบกลืนไปหลายอึก
    “โห...น่ากินจังเลยเฮีย”
    “เต็มที่เลยคร้าบ วันนี้มีลาภเป็ด ต้มเป็ด แล้วก็แกงเห็ด ฝีมือเฮียเองไอ้น้อง” อนุชาไล่รายการอาหารของเช้านี้ให้เจ้านัส หรือ ภูวนัส น้องชายสุดรักของภูบดินทร์ได้ฟัง จนเด็กหนุ่มอดรนทนไม่ไหวที่จะขอชิมเป็นคนแรกโดยเริ่มจากต้มเป็ดนำทางให้ลื่นคอก่อนอย่างอื่น
    “สุดยอดเลยเฮีย อีกสองวันเปิดร้านอาหารได้เลยนะเนี่ย”
    “หือ? ทำไมต้องรอถึงสองวันด้วยวะ” อนุชาถามรุ่นน้องอย่างนึกสงสัย
    “เอ๋า...ก็ถ้ากินวันนี้แล้วเกิดท้องเสียขึ้นมา เผื่อเฮียไปเปิดร้านก่อนมีหวังเจ๊งอ่ะดิ” พูดจบก็มีเสียงโห่ฮาครื้นเครงตามมาจนอนุชาต้องลงมะเหงกกลางหัวของไอ้เด็กปากเสียดังโป๊ก!
    “โอ๊ย! เฮีย ล้อเล่นน่า ไม่เห็นต้องลงไม้ลงมือกับน้องเลย”
    “เมื่อกี้ก็ล้อเล่นเหมือนกันน้อง เดี๋ยวของจริงจะตามไปอีกถ้าแกไม่รีบกินซะ” อนุชาขู่รุ่นน้องจนภูวนัสยกมือไหว้ท่วมหัว
    “ขอโทษคร้าบ...เฮียอั๋นสุดหล่อ” ท่าทางขอโทษแกมประชดนั่นพลอยทำให้ภูบดินทร์อดขำน้องชายไม่ได้
    “ชู้ววว...นังแคทอย่ามากวน” อนุชาส่งเสียงไล่เมื่อเจ้าแมวเหมียวลายเสือโคร่งกระโดดขึ้นมาคลอเคลียข้างตัวของภูบดินทร์ เขาแทบสำลักอาหารที่พึ่งทานเข้าไป ไม่ใช่เพราะรังเกียจเจ้าแมวขนนุ่ม แต่เป็นชื่อที่อนุชาเรียกมันต่างหากเล่า เมื่อกี้ก็ไอ้ด๊อกทีหนึ่งแล้วนี่ยังนังแคทอีกตัว ใครหนอที่ช่างสรรหาชื่อให้ไอ้เจ้าสองตัวนี้ คิดได้ไงเนี่ย
    “ถามจริงเถอะอั๋น ใครตั้งชื่อหมาแมววะ นี่นังแคท โน่นก็ไอ้ด๊อก”
    “จะใครซะอีกล่ะเฮีย ก็ไอ้อิงบ๊องน่ะสิ อยากให้ชื่อมันเหมือนฝรั่ง แต่ดันคิดได้แค่นี้” ภูบดินทร์หัวเราะร่วนเมื่อนึกถึงใบหน้าเจ้าของหมาแมวที่อุตส่าห์หาชื่ออย่างเท่ห์ให้กับมัน แล้วเจ้าตัวจะรู้ไหมนี่ว่ากำลังมีคนแอบนินทาอยู่


          ครอบครัวของภูบดินทร์และเอกวีย์อยู่ในละแวกเดียวกันของหมู่บ้าน ตัวบ้านของทั้งคู่อยู่ห่างกันเพียงแค่ร้อยกว่าเมตรมีเพียงรั้วลวดหนามกั้นระหว่างผืนไร่และทุ่งนาที่ทอดยาวลึกเข้าไปจนถึงเชิงเขา ด้านหน้าของตัวบ้านติดกับถนนลูกรังที่ชาวบ้านใช้เป็นเส้นทางสัญจรผ่านไปมาอยู่เป็นประจำ

         ภูบดินทร์ เป็นบุตรชายคนโตของนายภู ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ในหมู่บ้านที่ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือ ส่วนหนุ่มน้อยภูวนัสนั้น เป็นน้องชายที่คลานตามกันมาแต่อายุห่างกันถึงหกปี มารดาของทั้งสองหนุ่มจากไปด้วยโรคหัวใจเมื่อชายหนุ่มอายุเพียงสิบห้า บิดาของเขายังไม่ได้คิดถึงเรื่องการแต่งงานครั้งใหม่ และยังคงทำหน้าที่เป็นทั้งพ่อและแม่ให้กับบุตรชายทั้งสองเรื่อยมา

      ทางบ้านของภูบดินทร์ถือว่าค่อนข้างมีฐานะเมื่อเทียบกับอีกหลายครอบครัวในหมู่บ้าน บิดาของเขาส่งเสียให้บุตรชายเรียนจนจบปริญญาตรีและได้เข้าทำงานตรงกับสายงานที่ตนร่ำเรียนมา แต่เมื่อเศรษฐกิจถดถอยพลอยให้ผู้ประกอบการล้มละลายตามกันไป บริษัทที่เป็นนายจ้างของเขาจำต้องปิดกิจการลง ชายหนุ่มได้ติดต่อไปยังเพื่อนสนิทที่อยู่ชลบุรีให้ช่วยประสานการสมัครงานใหม่ให้ และเมื่อยังว่างงานเขาจึงกลับมาช่วยงานครอบครัวซึ่งกำลังอยู่ในช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตเพื่อรอผลการเรียกตัวเข้าทำงานอีกครั้ง

          ส่วนครอบครัวของเอกวีย์นั้นมีสมาชิกถึงห้าคนโดยมีนายเอิบเป็นหัวหน้าครอบครัว มีบุตรกับนางอุ่นด้วยกันสามคน เอกวีย์ หรือ เอก เป็นเพื่อนรักภูบดินทร์มานานเนิ่น ส่วนอนุชา หรือเจ้าอั๋น ที่อายุไล่เลี่ยกันกับพี่ชายเพราะเกิดหัวปีท้ายปี และตัวเล็กสุดเจ้าน้องน้อยอิงธารา สาวน้อยอายุเพียงสิบแปดที่ดูอย่างไรเจ้าหนูอิงก็ไม่ใช่สาวหวานเหมือนชื่อเลยสักนิด

      ด้วยเหตุที่ครอบครัวมีฐานะยากจนผู้เป็นมารดาจำต้องทำงานหาเช้ากินค่ำ เก็บเงินเก็บทองขอซื้อที่ดินของนายภูเพียงเศษเสี้ยวไว้ใช้เป็นที่ปลูกบ้านหลังเล็กๆ และทำนาทำไร่พอได้เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ด้วยเหตุที่ต้องออกไปรับจ้างช่วยงานของนายภูเป็นประจำ นางอุ่นจึงไม่มีเวลาอบรมเลี้ยงดูบุตรสาวให้เป็นแม่บ้านแม่เรือน เพราะหน้าที่ทั้งหมดนางได้ยกให้บุตรชายทั้งสองเป็นคนดูแลป้อนข้าวป้อนน้ำตั้งแต่เจ้าหนูอิงยังแบเบาะ เด็กน้อยเลยซึมซับเอาพฤติกรรมของพี่ชายจนกลายเป็นนิสัยติดตัว ถึงอย่างไรนายเอิบก็ยังหวงนักหวงหนา แม้เอกวีย์กับอนุชาจะพยายามบอกกับบิดาอยู่เสมอว่าไม่ต้องห่วงน้องสาวของพวกเขาจะเสียท่าให้กับชายหนุ่มไม่ว่าจะรุ่นเล็กหรือรุ่นใหญ่ เพราะไอ้ที่ควรห่วงน่าจะเป็นเรื่องที่มันจะพาเมียมาไหว้พ่อแม่มากกว่า

      ถึงกระนั้นความห่วงและหวงของบิดาก็ไม่เคยลดน้อยถอยลงยิ่งเมื่ออิงธาราสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ คนเป็นพ่อยิ่งกลุ้มใจเป็นหลายเท่า แต่หากจะขัดขวางก็คงยากนักเมื่อพี่ชายทั้งสองอยากให้น้องน้อยได้เรียนสูงๆ ชดเชยกับโอกาสที่พวกเขาไม่เคยมี ด้วยเหตุผลนี้นายเอิบจึงต้องปล่อยเลยตามเลย ให้เป็นไปตามที่ลูกๆ หวัง มากกว่าการคอยนั่งขัดขวางในเรื่องไม่เป็นเรื่อง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่