call me ปุ๊

กระทู้สนทนา
ทางเข้าแมนชั่นชื่อเป็นภาษาฝรั่งเศสแท่งนี้อ่านว่าวอแตร์ ด้านซ้ายและขวาเต็มไปด้วยรถเข็นขายอาหารอีสาน ไม่ว่าจะเป็น ไก่ย่างส้มตำ ลาบ ก้อย น้ำตก ไส้กรอกข้าว อีกฟากเป็นอาหารตามสั่ง ก๊วยเตี๋ยวเป็ด ข้าวมันไก่ ข้าวหมกไก่ เรียงรายกันไปจนจรดปากซอย ยามเช้าเสียงรถราจะควักไขว่อยู่ด้านหน้าเหมือนมาปลุกให้พ่อค้าแม่ค้าติดไฟย่างไก่ ย่างเนื้อ ควันโชยขึ้นเบื้องสูง มองเห็นเป็นม่านสีเทาอ้อยอิ่งรวมตัวอากาศโล่งบนถนนทาบทาตัดกับแสงเช้าของวันใหม่ มันเหมือนฉากในหนังของคูโรซาว่าปรมาจารย์หนังชาวญี่ปุ่นชื่อก้องจริง ๆ

ใครต่อใครเรียกผมว่า ปุ๊ รุ่นน้องเรียกพี่ปุ๊ รุ่นเดียวกันเรียก ไอ้ปุ๊ ไอ้เฮียปุ๊ที่ไม่จงใจตกไม้เอกแต่มีสร้อยตามท้ายด้วยเสมอ แต่ไม่ใช่ปุ๊ ระเบิดขวด ตามไสตล์นักเรียนนักเลงอะไรเทือกนั้น ผมเป็นเจ้าของนามและฉายาว่า ปุ๊ วงแตก" คล้ายชื่อแมนชั่นที่ผมอยู่เลย วอแตร์ วงแตก เพี้ยนรูปเสียงนิดเดียวจริงๆ ส่วนคุณผู้อ่านจะเรียกผมว่าอะไรตามแต่สะดวกก็แล้วกัน
"ไอ้เฮียปุ๊ บทหนังสั้นของพวกเราเข้ารอบสุดท้าย"
"ไอ้เฮียปุ๊ โปรเจคประกวดโฆณาผ่านแล้วโว๊ย"
"ไอ้เฮียปุ๊ โปสเตอร์ชนะเลิศแล้ว ไปรับเงินกันโว๊ย"

ผมมักจะได้ยิน ป้อม องุ่น และตี๋เล็ก บอกแบบนี้บ่อยครั้งเมื่อสามปีก่อน เพราะเราจะแพคทีมกันล่ารางวัลและโดยมากก็จะได้ติดรางวัลใหญ่ๆ บ่อยๆ เว้นเสียแต่งานไหนที่ผมเป็นคนนำเสนอ กระหายที่จะไปเป็นพรีเซนเตอร์งานนั้นเสียเอง ด้วยคิดไปว่าเพื่อนในก๊วนมันจะบิ๊วมโนไม่เข้าท่า ไม่เข้าใจในความคิดรวบยอด หรือ คอนเซบป์งานชิ้นนั้นอย่างลึกซึ้ง หลังโดนกรรมการปากร้ายด่าสาดเสียเทเสียยิ่งกว่าคอมเม้นเตเตอร์ เดอะ สตาร์ สามคนรวมกันแล้ว ครามหายนะมันจะมาเยือนอย่างพวกผมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มันจึงเป็นที่มาของฉายาวงเแตกของผมมาแต่นั้น
พวกมันสรุปว่าผมมันพวกอัจฉริยะ คิดงานเลิศ แต่นำเสนอหมาไม่รับประทาน ไม่ไปชวนทะเลาะกับคณะกรรมการ ก็พูดจายียวนไม่รู้เรื่อง อะไรประมาณนั้น ผมจึงมีหน้าที่เพียงแค่คิด วางแผน พวกมันก็ค่อยๆ ประสมคำ ประสมความ จากความคิดหลักของผมจนเป็นชิ้นงาน และไอ้ความเป็นคนคนคิดไว ใจไว ปากไว แถมยังตรงไปตรงมาสุด ๆ ผมจะอ้างว่าเคารพตนเองมากว่าสิ่งไร้สาระที่สังคมและโลกใบนี้เทิดทูลกันนัก แต่จริงๆ แล้ว ผมอาจไม่รู้จักตัวเองดีสักเท่าไหร่ก้อเป็นได้ มันเหมือนกับการที่ผมเลือกแมนชั่นแห่งนี้เป็นที่พัก เพราะมีอาหารอีสานที่ผมชื่นชอบเป็นพิเศษ ขายแต่เช้ายันตีสองตีสาม เพื่อนบอกว่าเหตุผลห่วยแตกไม่ใครเทียมในสามโลก

ที่เกริ่นให้ฟังนั้นมันเรื่องในอดีตอันสวยหรู ฐานานุรูปและสถานภาพตอนนี้ของผมนั้นเป็นอย่างนี้ครับ ผมเรียนจบนิเทศศาสตร์มาจากมหาวิทยาลัยชื่อดังมาเกือบสองปี คว้าดีกรีเกียรตินิยมอันดับสองพ่วงท้ายมาด้วย มันดูเหมือนจะทำให้ผมหางาน และเดินอย่างสง่าผ่าเผยในแวดลงได้ง่ายขึ้นใช่ไหมครับ แต่เอาเข้าจริงแล้ว ก็ไม่มีบริษัทไหนจ้างผมทำงานจริงจัง เค้าว่ากันว่าผมติสก์เกินไป คุยด้วยไม่รู้เรื่อง ไม่มีวินัยและบกพร่องทางบุคลิกภาพ
“รูปไม่เห็นเหมือนตัวจริง” ผู้จัดการร่างอ้วนบอกผมแบบนั้น หลังเหลือกตามองผมนั่งแคะเล็บเท้าอยู่ตรงหน้า
“น้องที่ HR เขาไม่ได้บอกคุณหรือว่า รูปถ่ายต้องไม่เกินหกเดือน” น้ำเสียงเขาชักเริ่มเข้ม ทำไมมันต้องแสดงศักดาอภินิหารด้วย แค่ตอนนั้นกูไม่มีหนวด
“บอกครับ แต่ ผมไม่ชอบถ่ายรูปตัวเอง” ผมตอบไปด้วยน้ำเสียงสุภาพสุด ๆ อื้ม แต่ภายในผมมันต่อต้าน ทุ่มเถียงในใจ และคงแสดงออกทางสีหน้าและแววตาชัดเจน ว่าทำไมถึงไม่พิจาณาดูจากแฟ้มสะสมงานว่าผมสามารถทำอะไรได้บ้างแทนที่จะมาจริงจังอะไรกับรูปโฉมอันย่ำแย่ที่เป็นเปลือกห่อหุ้มร่างกายของผม
“เดี๋ยวเราจะติดต่อแจ้งผลไป บางทีเราอาจได้ร่วมงานกัน”
ประโยคนี้มีความหมายว่า ไม่ได้งานที่นี่หรอก ไอ้น้องเอ๋ย มันจะไม่มีใครโทรหาผมจากที่นี่อย่างแน่นอน ผมจับพอร์ตผมยัดใส่กระเป๋าผ้าดิบสีมอมแมม ยกมือไหว้ผู้จัดการอ้วนนั่นแล้วรีบเดินออกมาและไม่เคยไปสมัครงานอะไรที่ไหนอีกเลย
คงเหมือนหลังปาร์ตี้เลิกในชีวิตนักศึกษา บรรดาเพื่อนๆ ในก๊วนต่างก็ได้ทำงานกันในบริษัทห้างร้านที่มันวาดหวังกันถ้วนหน้า ทั้งในบริษัทโฆษณา บริษัทเพลง เป็นช่างภาพหนังสือ เขียนหนังสือบ้าง มีผมคนเดียวที่ไม่เป็นโล้เป็นพาย สถานะฟรีแล๊นซ์รับจ้างงานทั่วไป เพื่อนช่วยสงเคราะห์ส่งงานโปรเจคเล็ก ๆ น้อยๆ มาให้ทำพอจ่ายค่ามาม่า ค่าลาบ ข้าวเหนียว ค่าห้องบ้าง
ผมเตลิดไปหลายท้องถิ่นแห่งที่กับความสุขเดียวที่ผมมี ด้วยกล้องถ่ายหนังตัวเล็ก กล้องวิดีโอและน้ำฝน เพื่อนสาวของผม เก็บภาพชีวิตผู้คนที่คนอื่นไม่เข้าใจ หรือคนขวางโลกที่ไม่พยายามเข้าใจผู้อื่น โดยมีเธอเป็นคนเดินเรื่อง เป็นบท เป็นทุกอย่างบนแผ่นบันทึกและแถบบันทึกนี้ ปีกว่า ๆ ก่อนที่เราสองคนจะต้องแยกจากกัน ทำให้ผมมาได้สติกับคำติที่ว่าผมมันบกพร่องทางบุคลิกภาพจริงหรือเปล่า คำนี้คนแรกที่บอกผมคือน้ำฝนนั่นเอง ผู้หญิงที่ผมคิดว่าเข้าใจผมที่สุดในชีวิต อาจมากกว่าแม่ด้วยซ้ำไป เพราะแม่ไม่เห็นเคยบอกว่าเข้าใจผมซักเท่าไร
“เรา”ไม่ใช่สิผมคนเดียว วาดฝันถึงบ้านปูนเปลือยหลังน้อย ชั้นครึ่ง มีห้องทำงานสองแยกเป็นสองฝั่งของเธอและผม คล้ายห้องสตูดิโอของศิลปินชื่อดังที่ผมชื่นชอบ มีลูกสักสองคน เป็นฝาแฝดชายหญิง แบบใครเห็นก็ต้องพากันอิจฉาอะไรแบบนั้น เราสองคนน่าจะมีอนาคตที่ดีร่วมกันได้ แต่มันก็เหมือนมีส้นเท้าเทวดาที่ไหนสักองค์มาถีบผมถลาลงไปฟาดรถเข็นปลาดุกย่างให้ได้ตื่นมาพบความจริงอันทารุณโหดร้ายต่อคนอ่อนแออย่างผม เพื่อยืนยันว่าสิ่งที่ผมวาดหวังมันเป็นแค่ฝันลมๆ แล้งๆ
หลังจากที่เธอเดินทางขี่เครื่องบินลัดฟ้าไปเรียนต่อจากทุนที่สอบได้ ระหว่างที่ผมกำลังนั่งตัดต่อหนังที่ผมกับเธอทำร่วมกันนั้น เธอก็บอกเลิกผมทางอีเมล์ทันทีที่เธอเดินทางไปถึงโรงเรียนใหม่ได้แค่วันเดียว บรรยากาศหนาวเย็นที่นั่น คงทำให้ใจของน้ำฝนด้านชาจนกล้าที่จะพรรณนาถ้อยคำที่ตรงกว่าไม้ฉากใส่ลงในข้อความถึงผม เธอบอกว่าเธอคงอดทนต่อไม่ไหว รักผมต่อไปไม่ไหว ผมมันบกพร่องทางบุคลิกภาพ บกพร่องทางบุคลิกภาพ บกพร่องทางบุคลิกภาพ บกพร่องทางบุคลิกภาพ คำนี้มันเกาะกินหัวใจที่ยับเยินของผมจนหาซากไม่เจอ ร่างกายของผมคงใช้ม้ามสูบฉีดเลือดแทนหัวใจเลียงชีวิตผมอยู่หลายชั่วโมง
คืนนั้นผมรู้สึกตัวเองเหมือนคนที่ป่วยเรื้อรังมานาน เป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาและหมอเจ้าของไข้ผมหมดใจที่จะดูแลกันต่อไปแบบนั้น ก่อนที่ผมจะฮึดสู้ผมอยากให้ตัวเองนั้นเป็นตัวละครในมิวสิกวิดีโอประเภทจิ๊กโก๋อกหัก
ฉีกภาพของน้ำฝนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยโปรยขึ้นเพดานห้องให้โรยหล่นลงมาช้าๆ ไม่อยากจำจำวันเวลาที่เคยมีร่วมกัน
วิ่งออกจากห้องฝ่าสายฝนกระหน่ำ ฟ้าร้องเปรี้ยง ๆ
และทรุดตัวลง ดึงทึ้งผมตัวเอง
ทั้งสามอย่างนี้ หากผู้ใดมาเห็นก็เป็นรู้ได้อย่างชัดเจนว่า คนผู้นั้นผิดหวังอกหักมาแน่นอน ด้วยชินตาเสมือนเป็นท่าบังคับของคนอกหักแห่งประเทศไทย แต่ผมก็ได้แค่คิดว่าจะทำแต่ช้ากว่าการหิ้วเบียร์ราว 10 กระป๋องขึ้นห้อง ผมซัดเบียร์คนเดียวตั้งแต่ยังไม่เพล นอนกลิ้งไม่มีสติไปกับบทละคร เถิดเทิง เบาสมองทางช่องหลายสี ที่องุ่น เพื่อนสาวทอมเอามาให้ผมเขียนตอนจบ เพราะคนเขียนบทคนเก่าเขียนให้ไม่ทัน ผมมาตื่นเพราะองุ่นกระหน่ำโทรทวงบทละครนี่เอง ผมจะต้องเขียนให้เสร็จเพราะไอ้หงุ่น มันจะมาเอาพรุ่งนี้สายๆ มันปากร้ายไม่แพ้ใคร ถ้าหัวข้อเรื่องด่าคนไม่รับผิดชอบนี่ มันเป็นมือวางอันดับหนึ่งในวงการหนัง วงการละครแน่ ๆ

“เจ้าพ่อโกงข้าวเปลือก” ตอนจบ
เรื่องย่อ ความเดิม ดำเกิงตำรวจหนุ่มฝีมือดีได้รับมอบหมายให้มาปฏิบัติภารกิจในการจับกุมตัวพ่อเลี้ยงคำหล้า ที่เป็นตัวการใหญ่ในการขายข้าวและรับจำนำข้าวแต่สวมสิทธิโกงนำข้าวต่างชาติลักลอบขนเข้ามาในราชอาณาจักร
จ่าอู๊ด เพื่อนเก่าของพ่อเลี้ยงเป็นตัวช่วยคลี่คลายความลับและเงื่อนงำของการฉ้อฉล
ทองแท่ง เป็นเจ้าหน้าที่จาก DSI ที่เข้าไปสิงตัวเป็นลูกน้องของพ่อเลี้ยงเพื่อช่วยเหลือพี่ชายตัวเองชื่อเข้ม ที่ทำหน้าที่เป็นองครักษ์มือขวาของพ่อเลี้ยง
“พี่เข้ม พ่อเลี้ยงมอบตัวซะ อย่าให้มีการเสียเลือดเนื้อเลย” ทองแท่งยื่นข้อเสนอ
"ไม่มีทาง ไอ้ทองแท่ง ไอ้เนรคุณ"
"ไอ้อู๊ด ไอ้ตูดเขียว กูไม่ยอมให้จับหรอก" พ่อเลี้ยงตะโกนสวนออกมาเสียงก้อง (พ่อเลี้ยงเป็นตัวโกงในเรื่อง ที่ดิ้นรนหนีการตามล่าของพระเอก มาจนถึงท้ายเรื่องแล้ว)
ดำเกิงหันไปสบตากะจ่าอู๊ด จ่าวัยห้าสิบก็พยักหน้าน้อย ๆ ก่อนสารวัตรดำเกิงจะถามว่า
“ไหนจ่า เล่าหน่อยซิจะจบเรื่องแล้ว มันยังไงมาไง เรื่องตูดเขียว มันรู้ได้ไง จ่าตูดเขียว”
“โธ่ สารวัตร” จ่าอู๊ดทำตาละห้อย เหนียมอาย
“ ไอ้พ่อเลี้ยงคำหล้า มันเรียนหนังสือมากับผมตั้งแต่เล็ก มันก๊ะผมเป็นเพื่อนรักกัน อาบน้ำแก้ผ้าเอ๊ยแก้ผ้าอาบด้วยกันสมัยเป็นเด็กวัด แต่เส้นทางมาแตกหักกันตอนเริ่มหนุ่มครับ มันไปทางสายนักเลง ผมมาทางสายตำรวจ”
ดำเกิงพยักหน้าเข้าใจ นิยายดีๆ มันควรจะมีการหักมุม ซ่อนเกลียว ไขว้สลับซับซ้อนแบบนี้ แม้ในสถานการณ์คับขันยังมีแก่ใจมาถามหาความสัมพันธ์เก่าแก่
“แต่ จ่าแก่กว่ามันหลายปี นะ” สารวัตรหนุ่มแต่งน้ำเสียงกึ่งขบขัน จ่าผิวเข้มตอบเสียงอ่อยยิ่งกว่าเดิมว่า
“ผมเรียนซ้ำชั้นหลายปีครับ และอยู่วัดต่อไปไม่ได้ตอนอายุ 17 หลังจากที่ไอ้สารเลวคำหล้า มันพาพวกมันมาปลุกปล้นเงินทำบุญ ที่ชาวบ้านเรี่ยไรตั้งใจมาสร้างโบสถ์ในกุฎิหลวงตาเขียวไปจนหมด ซ้ำยังทำลายพันธ์ข้าวพระราชทาน ที่หลวงตาเก็บรวบรวมไว้แจกคนทำบุญไปย่อยยับ หลวงตาทุกข์ใจจนมรณภาพไปใน 7 วันจากนั้น”
สารวัตรดำเกิงรับฟังอย่างตั้งใจ “เพื่อนรักเพื่อนแค้น ว่างั้นเถอะ”
“ครับ ผมถึงจะทุกอย่างเพื่อให้มันได้รับโทษสาสมกับความชั่วของมันให้ได้” จ่าอู๊ด บอกเสียงเข้ม
“มันเหมือนเกิดมาเพื่อย่ำยีลูกชาวนาอย่างพวกผม”
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่