อาทิตย์อับแสง (บทที่ 9)
การปรากฏตัวของดาราดังในช่วงสายของวันทำงานย่อมเป็นที่ฮือฮาแก่ผู้ที่พบเห็น
และพนักงานแทบทุกคนที่เห็นดาราดังมักจะยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแอบถ่ายรูป จนบัดนี้แทบไม่สามารถเรียกได้อีกแล้วว่า…
แอบ
แล้วไหนที่การพูดซุบซิบอย่างชื่นชม
เกษรา...สวย สง่า มี...ออร่า ราศีสมกับเป็นนางเอกดัง
คำถามมากมายจึงแพร่สะพัด ต่างใคร่อยากรู้ว่า เกษรามาที่ธนาคารทำไม
“มาพบคุณภูเก็ต”
คำบอกนั่นไม่ได้ทำให้หลายคนประหลาดใจ เพราะเธอมีบัญชีอยู่กับธนาคารแอลทัส
เงินไม่กี่ล้านบาท ฝากไว้เฉยๆ มานานหลายปี จนหลายคนเคยคิดว่านางเอกคนดังลืมเงินก้อนนี้ไปแล้ว
หากคนที่โดนขอเข้าพบโดยดาราดังต้องตกใจ ไม่คาดคิด
“ผมไม่ใช่ผู้ดูแลบัญชีของคุณ” เสียงเฉียบยืนยันเด็ดขาดเมื่ออยู่ในห้องรับรองลูกค้าชั้นเยี่ยมเพียงลำพัง
เพราะเกษราไม่ใช่ลูกค้าของเขา เขาไม่เคยดูแลตั้งแต่ต้น ไม่เคยรู้จักเสียด้วยซ้ำ
ลูกค้าของเขา...ร้อยทั้งร้อยคือลูกค้าคุณภาพ ไม่ใช่มีแค่เงินฝาก แต่เป็นลูกค้าที่ใช้ผลิตภัณฑ์และบริการหลายอย่างของธนาคาร ไม่ใช่ลูกค้าบัญชีเงินฝากทิ้งเงินเพียงหยิบมือไว้เฉยๆ
ทว่าอีกฝ่ายยืนยัน
“ฉันจ้างคุณ”
“คุณเอาเงินมาให้ธนาคารของเราดูแล เราก็ดูแล” ภูเก็ตแย้ง “เดี๋ยวคุณณัฐ หัวหน้าทีมที่ดูแลบัญชีของคุณก็มาแล้ว”
“คุณเป็นลูกจ้างของธนาคาร” หญิงสาวยิ้มอย่างผู้ชนะ “ฉันทั้งเอาเงินมาให้ และนี่จะโอนเงินมาเพิ่มด้วย...สามเท่าตัวกับที่ฉันมีกับแอลทัสในตอนนี้ ดูซิว่าคุณจะขัดใจฉันได้มั้ย”
การ…ขัดใจ…นั้นทำได้เพียงแค่ชั่วข้ามวันเพราะวันรุ่งขึ้นผู้เป็นหัวหน้าฝ่ายเรียกเขาพร้อมณัฐเข้าไปคุย
“พี่ต้องย้ายบัญชีของเกษราให้ภูเก็ต ก็เพราะทางผู้ใหญ่เจาะจงมาอย่างนั้น” คนเป็นนายมองหน้าลูกน้องคนโปรดอย่างเห็นใจ ก่อนจะหันไปดุลูกน้องอีกคน “ไปทำอะไร ทำไมเกษราถึงเจาะจงให้เธอดูบัญชี”
“เพื่อนเขาแนะนำครับ” ภูเก็ตโกหกไปเช่นนั้น
“พี่อยากให้เธอช่วยดูย้ายบัญชีลูกค้าบางส่วนของเธอมาให้ทีมณัฐ ไม่ใช่ให้ย้ายของณัฐไปให้เธอ”
“ผมพยายามแล้ว แต่พี่ก็รู้นี่ครับว่าผมจะไปบังคับลูกค้าไม่ได้ ถ้าลูกค้าไม่พอใจแล้วเอะอะถอนเงินไปแบงก์คู่แข่ง นั่นก็เป็นความผิดผมอีกล่ะซิ” นี่เป็นการเถียงกลายๆ “องค์กรอาจเป็นองค์กรเดียวกัน แต่การทำงานของเราความสัมพันธ์ และความเชื่อใจนั้นสำคัญ”
“สำคัญใช่ แต่ก็ไม่น่าเป็นวันแมนโชว์ เอาหน้าคนเดียว”
เสียงแข็งของณัฐที่เอ่ยขึ้นทำให้คนที่ตกเป็นจำเลยในสถานการณ์นี้หันไปทันที
“คุณยังทำงานกับเราได้ไม่นาน แต่ผมก็อยากให้คุณรู้ไว้ด้วยว่า ถ้าเป็นเรื่องงานฝ่ายของเราและทีมของผมมาก่อนไอ้อีโก้บ้าๆ ไม่เช่นนั้นผมคงไม่จัดทัพดูแลทีมของคุณเป็นอย่างดีตอนที่พวกเขายังไม่มีหัวหน้า”
“ผมก็ต้องขอบคุณ” เพียงแต่ว่าแววตาแรงกล้าและคางเหลี่ยมปรากฏกรามขบแน่นไม่มีเคล้าเป็นมิตรเลย
จนภูเก็ตปรารถในใจ…
ไปทำอะไรให้มันตอนไหนวะ
แย่งลูกค้า หาเรื่องหาราว แล้วนี่แถมยังชอบขโมยแก้วน้ำส่วนตัวของเขาไปใช้
แก้วที่มีเพียงใบเดียวในธนาคารแห่งนี้ ใบเดียวในประเทศไทย
ส่วนอีกใบคงถูกใช้ที่ไหนสักแห่งในมุมโลก หรืออาจถูกทิ้งไปอย่างไร้ค่าแล้วก็ได้
คิดถึงตรงนี้ ภูเก็ตก็ต้องเอามือกุมขมับ เมื่อกลับมาที่ห้องทำงาน ตอนนี้มีเรื่องอื่นให้คิด ให้สงสัย
ณัฐ…
แปลก
การชิงดีชิงเด่น เลื่อยขาเก้าอี้มันย่อมมีให้เห็นในทุกองค์กร แต่นี่เป็นครั้งแรก ทำงานที่ธนาคารนี้มาสี่ห้าปีก็เพิ่งจะเจอ ที่ผ่านมาคงถือว่าเขาโชคดีสุดๆ
ตอนนี้ คงไม่เป็นเช่นนั้นเสียแล้ว
ปวดหัวเพราะความกดดันจากเรื่องงานมาทั้งอาทิตย์ ทำให้ภูเก็ตรู้สึกว่าตามชินนภาไปเที่ยวหัวหินน่าดีกว่าอยู่กรุงเทพฯ เขาจึงตัดสินใจขับตามไปที่หลังในเช้าวันเสาร์ที่แสนสดชื่น
ร่างสูงในชุดกางเกงขายาวสีกากีอ่อนและเสื้อเชิ้ตที่สวมทับเสื้อยืดข้างในดูเท่ห์ แถมดูอ่อนเยาว์กว่าความเป็นจริง ไหล่หนาล่ำสะพายกระเป๋าใบใหญ่ที่มีเสื้อผ้าและข้าวของส่วนตัว เขาเดินอย่างกระฉับกระเฉงลงมายังด้านหน้าของตัวตึกที่มีรถคันเล็กของเขาจอดรออยู่แล้ว
ทว่าเสียงที่ดังมาจากข้างหลังทำให้เขาชะงัก รอยยิ้มอ่อนๆ พลันจางหายไป
“โอ้โห! นายแบงก์รูปหล่อ หล่อเฟี้ยวแต่เช้าเชียว” น้ำเสียงประชดประชันเย้ยเยาะ “นี่คุณเตรียมขนของจะย้ายออกแล้วใช่ไหม”
และนั่นทำให้ภูเก็ตยิ้มมุมปาก ดวงตาของเขาดูแพรวพราว
“คุณเพิ่งกลับเข้ามา ยังไม่ทันงีบก็ฝันซะแล้ว นี่ผมจะไปเที่ยว แล้วก็จะกลับมาที่บ้านของผมแน่ๆ ผมไปล่ะ”
ว่าแล้วชายหนุ่มก็เดินมายังรถยนต์ที่จอดอยู่ วางกระเป๋าบนเบาะหลัง ขึ้นสตาร์ทรถ เพียงแต่ว่าพลันประตูรถอีกข้างก็ถูกเปิด
“เฮ้ย!”เสียงอุทานอย่างตกใจดังลั่นเมื่อเห็นว่าใครขึ้นมานั่งข้างๆ
“ขอติดรถคุณก็แล้วกัน เพราะเดี๋ยวสายๆ จะมีแขกที่ไม่พึงอยากเจอมา การไม่อยู่ที่นี่ก็เป็นข้ออ้างที่ดีที่สุดที่จะได้ไม่ต้องเจอ” เสียงเรียบของเกษราบอกเพียงแค่นั้น แล้วพลันตวาดทันที “ออกรถซิ ถ้าขัดใจฉันล่ะก็ รับรองวันจันทร์นี้ได้มีละครให้ดูที่แบงก์ของคุณแน่ๆ คราวนี้ไม่ใช่แค่เตรียมหาที่พักใหม่ แต่เตรียมหางานใหม่ได้เลย”
หญิงสาวตบท้ายด้วยเสียงหัวเราะในลำคอราวผู้ชนะ เห็นแล้วล่ะมือของเขาที่กำพวงมาลัยรถแน่นจนเห็นเป็นนูนเส้นเลือด ท่าทางของเขาเหมือนกับว่าพยายามสะกดอารมณ์ได้อย่างยากเย็น
“คุณบ้าหรือเปล่า รู้เหรอว่าผมจะไปไหน”
“นั่นน่ะซิคุณจะไปไหน” คนถามเสียงใสอุตส่าห์หันไปยิ้มหวาน
“ไปหัวหิน จะรีบไปด้วย”
“ฉันไม่สน ไม่ว่าที่ไหน คุณก็ไปส่งฉันที่แปดริ้วก่อนก็แล้วกัน”
“มันเรื่องอะไร ผมไม่ใช่รถโดยสาร!” น้ำเสียงเข้มจัดเช่นนั้นบ่งบอกว่าเกือบเหลืออดแล้ว
“ฉันเป็นลูกค้าของธนาคารคุณ และตอนนี้คุณเช่าห้องของฉันอยู่ หนำซ้ำเช่าในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดซะด้วย”
“ค่าเช่านั้นตามสัญญาที่เจ้าของเก่ากับผมตกลงกัน”
“เพราะยัยป้านั่นคงหลงเสน่ห์ หรือไม่ก็หลงคารมคุณน่ะซิ นี่คุณเช่ามาหลายปีแล้ว ค่าเช่าเท่าเดิมมาตลอด แล้วหนอยจะมาทำเป็นอยากซื้อห้องต่อ และต่อให้ยัยป้าหลงคุณแค่ไหนนะ แต่เรื่องซื้อขายเขาก็ต้องให้คนที่ให้ราคาดีกว่าและซื้อทั้งสองห้องพร้อมกัน ฉันชนะวันยังค่ำอยู่แล้ว…โอ๊ย”
เสียงอุทานนั้นดังเมื่อร่างเล็กของหญิงสาวกระชากตามรถที่บึงตัวออกอย่างเร็ว และอีกครู่ใหญ่กว่าที่คนขับรถจะพูดขึ้นด้วยเสียงเกือบปรกติ
“ผมจะไปรู้ได้ไงว่ามีคนบ้าให้ราคามากกว่าราคาตลาด แล้วยังเป็นพวกกระเป๋าหนักซื้อทั้งสองห้องด้วย”
“สามย่ะ ฉันซื้อห้องที่ติดกับห้องของฉันฝั่งโน้นด้วย และอีกอย่างราคาที่ฉันซื้อก็สมเหตุสมผล คุณน่ะมันงกเอง มิน่าวันก่อนถึงพยายามจะรีดฉันตั้งห้าล้าน”
“ก็คุณเป็นฝ่ายบอกเลิกสัญญา ผมก็ต้องได้รับค่าชดใช้”
“คุณนี่ทั้งงกทั้งเค็มใช้ได้ สมเป็นนายแบงก์ ดีนะที่ฉันย้ายบัญชีมาให้คุณดูแล เงินทุกเม็ดของฉันก็ต้องงอกเงยจริงไหม”
“คอยดูกัน” เสียงแข็งขู่ เพียงแต่ว่าอีกฝ่ายไม่ใส่ใจ
“และคุณก็เป็นนายแบงก์ก็ที่ใจดีมากๆ อย่างน้อยก็ใจดีขับไปส่งฉัน เพราะนี่มันทางไปแปดริ้ว”
“ถือว่าผมทำไปเพราะสัญญาสงบศึกของเราก็แล้วกัน” ทำอย่างไรได้ เขาไม่มีทางเลือก “สัญญาที่ผมทำตามอย่างเคร่งครัด ไม่เหมือนคุณ ไปหาเรื่องถึงที่แบงก์ หาเรื่องกันได้ตลอด”
“หาเรื่องอะไร คุณก็พูดไปนั่น เอาเงินไปให้แบงก์ของคุณเชียวนะ ถือว่าคุณโชคดี...อีกอย่าง ทั้งพีทซี่และเด็กๆ ของพีทซี่ก็จะเอาเงินมาให้คุณดูแลอีกเป็นโข”
“ก็คง...ดี” เสียงทุ้มเบาในลำคอ ดูไม่น่าจะยินดีเลย ว่าแล้วรอยยิ้มกรุ้มกริ่มแกมโกงคลี่ฉายบนใบหน้า “ตอนนี้ ถือว่าเป็นโชคของผมก็แล้วกัน ที่มีดาราสุดฮ็อตมานั่งอยู่ข้างๆ”
คำบอกของเขาทำให้เกษรานิ่งไป เธอไม่พูดอะไรอีก แม้เมื่อภูเก็ตหันมองอยู่บ่อยครั้งในระหว่างการเดินทางชั่วโมงกว่า และจนกระทั่งเข้ารถคันเล็กวิ่งบนถนนบางปะกง-ฉะเชิงเทราได้สักพัก เสียงของหญิงสาวจึงดังขึ้นเพียงเพื่อบอกทาง
รถยุโรปคันเล็กแล่นไปตามทางที่บอกอีกเกือบยี่สิบนาที จนมาจอดหน้ารั้วเหล็กทึบของบ้านไม้สองชั้นหลังใหญ่ที่แม้จะดูเก่าด้วยอายุแต่ก็ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี
เกษราเอื้อมมือกดแตรรถเป็นจังหวะสั้นๆ สองครั้ง แล้วนั่งนิ่งพิงเบาะ รอเพียงอึดใจเดียวประตัวรั้วเล็กทึบก็เลื่อนเปิด
ถนนก่ออิฐิแน่นปรากฏเป็นลานกว้างหน้าตัวบ้าน จรดไปยังสนามหญ้าเล็กๆ รายล้อมด้วยสวนร่มรื่นเกือบไร่
“ขอบใจ” เกษราหันบอก ก่อนที่จะเปิดประตูรถ “กลับถูกนะ”
“หวังการที่ผมมาส่งคุณ คงไม่ทำให้อาเสี่ยเจ้าของบ้านเข้าใจผิด”
เสียงเย้ยของเขาบอกพร้อมการหัวเราะเบาๆ ทำให้อีกฝ่ายหันควับกลับมาทันที
“นี่บ้านของฉัน! ฉันมีศักดิ์ศรีพอ”
“ขอโทษ” การลากเสียงยาวนั้นไม่ค่อยจริงใจนัก เขามองอีกฝ่ายแล้วจึงบอกด้วยรอยยิ้มเก้อๆ “แล้วคุณจะอยู่นานไหม ค้างหรือเปล่า ผมจะได้กะเวลามารับได้”
“ขอบใจ แต่ไม่ต้องหรอก คุณรีบไปหายัยแม่มดของคุณเถอะ” หญิงสาวบอกด้วยน้ำเสียงเย้ยเยาะ ก่อนจะก้าวลงมาจากรถยุโรปคันเล็กแล้วปิดประตูเบาๆ
เธอเข้าไปสวมกอดผู้หญิงวัยเลยกลางคนที่เดินออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน โดยไม่หันกลับมามองเสียด้วยซ้ำว่ารถยนต์ที่มาส่งแล่นออกไปจากตัวบ้านตั้งแต่เมื่อไร
บ้าน…ที่ดูเก่าแก่ตามกาลเวลา เป็นสิ่งเดียวในชีวิตของเกษราที่ชื่อเสียงเงินทองมากมายไม่สามารถที่จะมีอิทธิพลอยู่เหนือ
บ้าน...ต้องเป็นบ้าน แม้ว่าจำนวนคน...ในบ้านเหมือนจะลดลงไปทุกวัน
การซ่อมแซมและปรับปรุงบ้านที่ทำจากไม้ทั้งหลังก็เพื่อไม่ให้มันทรุดโทรม ถ้าจะมีเพิ่มเติมก็แค่บริเวณที่พักกั้นเป็นสัดส่วนอยู่ชั้นล่างของบ้านที่ไว้สำหรับผู้เป็นยายและป้า
เมื่อบ้าน…เปลี่ยนไม่ได้
คน…ที่กำลังเดินเข้าไปภายในบ้าน ก็ย่อมไม่เปลี่ยนเช่นกัน
“ยายจ๋า” เสียงหวานใสแจ้วเรียกประจบ “หนูปีบกลับมาแล้วจ้า”
เสียงร้องเรียกกังวาลใสดังไม่หยุด จนกระทั่งร่างระหงของเจ้าของเสียงเดินเข้ามาภายในบริเวณห้องโถงกว้างที่อยู่กลางบ้าน หญิงสาวโถมตัวกอดหญิงชราที่นั่งอยู่บนรถเข็น กราบลงบนตัก เงยหน้าขึ้น รอยยิ้มหวานคลี่ออกเป็นรอยประจบ
“คิดถึงยายจังจ้ะ”
ทว่าผู้เป็นยายกลับถาม “ทำไมกลับจากโรงเรียนเร็วจังวันนี้”
คนถูกถามหัวเราะเบาๆ “ปีบจบมาตั้งสิบกว่าปีแล้วจ้ะ”
แม้จะยังคงไว้ด้วยยิ้มหวานละมุน แต่แววตาของเกษราฉายความกังวลชัดเจน สี่ห้าปีที่ผ่านมาโรคอัลไซเมอร์ของผู้เป็นยายนั้นแย่ลง สุขภาพร่างกายก็ทรงๆ ตามอายุ
แต่ยังดี…ที่ยายจำหลานได้ ทว่าจะยังจำได้อีกนานแค่ไหนกัน
ภาพความทรงจำ ถ้าต้องเลือนหายไป ก็คงเจ็บปวด แสนเสียดายยิ่งนัก
“แล้วตะกี้ใครมาส่งหนูปีบหรือลูก” คราวนี้ผู้เป็นป้าที่ยืนเยื้องอยู่ด้านหลังถาม
“ติดรถเพื่อนมาจ้ะ” คำว่า...เพื่อน ชัดเจนไม่มีทีท่าลังเล “ปีบอยากกลับบ้าน อยากค้างสักคืน พรุ่งนี้ก็ค่อยให้คนรถมารับ”
“งั้นเดี๋ยวป้าให้จุ๋มไปทำปัดกวาดห้องให้”
“ไม่ต้องหรอกจ้ะ” เกษรารีบบอก พลันยืนขึ้น “ปีบทำเองได้ แป๊ปเดียวเอง”
“จ้ะ”
การรับคำนั้นยังคงเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม เพียงแต่ว่าผู้เป็นป้ามีเรื่องกังวล
“หนูปีบ…ไม่เป็นอะไรนะลูก เรื่อง...คนนั้น”
คุณมัลลิกาย่อมรู้ข่าวคราวของหลานสาวคนเดียว ข่าวที่มาจากสื่อทั้งหลายและจากคนที่รู้จัก ข่าวซุบซิบที่มีจนชาชิน โดยที่ความจริงที่รับรู้นั้นจะต้องมาจากคำบอกของหลานสาวเท่านั้น
“ไม่ค่ะ มันจบแล้วค่ะ” ความขมขื่นที่ปรากฏก็เพียงครู่แล้วจางหายไปทันที พร้อมๆ กับที่มือเรียวบรรจงไหว้บนไหล่ของผู้เป็นป้า “ปีบขอโทษ เพราะข่าวในทางลบของปีบทำให้ป้าต้องเป็นห่วง หนำซ้ำยังเป็นที่นินทาของชาวบ้าน”
“หนูปีบก็รู้ว่า ป้ากับยายห่วง” คุณมัลลิกากอดหลานสาวให้กำลังใจ
แม้ไม่ใช่ลูก แต่เธอก็เลี้ยงเกษรามาตั้งแต่แรกเกิดดั่งลูกในไส้ รักและห่วงใยไม่ต่างจากเลือดในอุทร
ชีวิตมีวกวนผกผัน แต่ความรักของครอบครัวที่บัดนี้มีเพียงสามชีวิตยังคงมั่นคงแน่แท้
“ป้าลิก็…” เกษราดันตัวออกห่างเพียงนิดเดียว เสียงหัวเราะสดใส “เดี๋ยวปีบก็ร้องไห้ แล้วจะพลอยร้องไปหมดทั้งบ้าน ปีบไปกวาดห้องก่อนดีกว่า นั่นป้าอ่านพระอภัยมณีให้ยายอยู่เหรอ…เดี๋ยวปีบลงมารับช่วงต่อนะจ๊ะ”
ว่าแล้วหญิงสาวก็หันไปหอมแก้มผู้เป็นยายที่ละสายตามองจับอยู่ที่จอโทรทัศน์ ก่อนที่จะวิ่งหาขึ้นหายไปด้านบน
(ต่อ)
อาทิตย์อับแสง (บทที่ 9) โดย มานัส
การปรากฏตัวของดาราดังในช่วงสายของวันทำงานย่อมเป็นที่ฮือฮาแก่ผู้ที่พบเห็น
และพนักงานแทบทุกคนที่เห็นดาราดังมักจะยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแอบถ่ายรูป จนบัดนี้แทบไม่สามารถเรียกได้อีกแล้วว่า…แอบ
แล้วไหนที่การพูดซุบซิบอย่างชื่นชม
เกษรา...สวย สง่า มี...ออร่า ราศีสมกับเป็นนางเอกดัง
คำถามมากมายจึงแพร่สะพัด ต่างใคร่อยากรู้ว่า เกษรามาที่ธนาคารทำไม
“มาพบคุณภูเก็ต”
คำบอกนั่นไม่ได้ทำให้หลายคนประหลาดใจ เพราะเธอมีบัญชีอยู่กับธนาคารแอลทัส
เงินไม่กี่ล้านบาท ฝากไว้เฉยๆ มานานหลายปี จนหลายคนเคยคิดว่านางเอกคนดังลืมเงินก้อนนี้ไปแล้ว
หากคนที่โดนขอเข้าพบโดยดาราดังต้องตกใจ ไม่คาดคิด
“ผมไม่ใช่ผู้ดูแลบัญชีของคุณ” เสียงเฉียบยืนยันเด็ดขาดเมื่ออยู่ในห้องรับรองลูกค้าชั้นเยี่ยมเพียงลำพัง
เพราะเกษราไม่ใช่ลูกค้าของเขา เขาไม่เคยดูแลตั้งแต่ต้น ไม่เคยรู้จักเสียด้วยซ้ำ
ลูกค้าของเขา...ร้อยทั้งร้อยคือลูกค้าคุณภาพ ไม่ใช่มีแค่เงินฝาก แต่เป็นลูกค้าที่ใช้ผลิตภัณฑ์และบริการหลายอย่างของธนาคาร ไม่ใช่ลูกค้าบัญชีเงินฝากทิ้งเงินเพียงหยิบมือไว้เฉยๆ
ทว่าอีกฝ่ายยืนยัน
“ฉันจ้างคุณ”
“คุณเอาเงินมาให้ธนาคารของเราดูแล เราก็ดูแล” ภูเก็ตแย้ง “เดี๋ยวคุณณัฐ หัวหน้าทีมที่ดูแลบัญชีของคุณก็มาแล้ว”
“คุณเป็นลูกจ้างของธนาคาร” หญิงสาวยิ้มอย่างผู้ชนะ “ฉันทั้งเอาเงินมาให้ และนี่จะโอนเงินมาเพิ่มด้วย...สามเท่าตัวกับที่ฉันมีกับแอลทัสในตอนนี้ ดูซิว่าคุณจะขัดใจฉันได้มั้ย”
การ…ขัดใจ…นั้นทำได้เพียงแค่ชั่วข้ามวันเพราะวันรุ่งขึ้นผู้เป็นหัวหน้าฝ่ายเรียกเขาพร้อมณัฐเข้าไปคุย
“พี่ต้องย้ายบัญชีของเกษราให้ภูเก็ต ก็เพราะทางผู้ใหญ่เจาะจงมาอย่างนั้น” คนเป็นนายมองหน้าลูกน้องคนโปรดอย่างเห็นใจ ก่อนจะหันไปดุลูกน้องอีกคน “ไปทำอะไร ทำไมเกษราถึงเจาะจงให้เธอดูบัญชี”
“เพื่อนเขาแนะนำครับ” ภูเก็ตโกหกไปเช่นนั้น
“พี่อยากให้เธอช่วยดูย้ายบัญชีลูกค้าบางส่วนของเธอมาให้ทีมณัฐ ไม่ใช่ให้ย้ายของณัฐไปให้เธอ”
“ผมพยายามแล้ว แต่พี่ก็รู้นี่ครับว่าผมจะไปบังคับลูกค้าไม่ได้ ถ้าลูกค้าไม่พอใจแล้วเอะอะถอนเงินไปแบงก์คู่แข่ง นั่นก็เป็นความผิดผมอีกล่ะซิ” นี่เป็นการเถียงกลายๆ “องค์กรอาจเป็นองค์กรเดียวกัน แต่การทำงานของเราความสัมพันธ์ และความเชื่อใจนั้นสำคัญ”
“สำคัญใช่ แต่ก็ไม่น่าเป็นวันแมนโชว์ เอาหน้าคนเดียว”
เสียงแข็งของณัฐที่เอ่ยขึ้นทำให้คนที่ตกเป็นจำเลยในสถานการณ์นี้หันไปทันที
“คุณยังทำงานกับเราได้ไม่นาน แต่ผมก็อยากให้คุณรู้ไว้ด้วยว่า ถ้าเป็นเรื่องงานฝ่ายของเราและทีมของผมมาก่อนไอ้อีโก้บ้าๆ ไม่เช่นนั้นผมคงไม่จัดทัพดูแลทีมของคุณเป็นอย่างดีตอนที่พวกเขายังไม่มีหัวหน้า”
“ผมก็ต้องขอบคุณ” เพียงแต่ว่าแววตาแรงกล้าและคางเหลี่ยมปรากฏกรามขบแน่นไม่มีเคล้าเป็นมิตรเลย
จนภูเก็ตปรารถในใจ…ไปทำอะไรให้มันตอนไหนวะ
แย่งลูกค้า หาเรื่องหาราว แล้วนี่แถมยังชอบขโมยแก้วน้ำส่วนตัวของเขาไปใช้
แก้วที่มีเพียงใบเดียวในธนาคารแห่งนี้ ใบเดียวในประเทศไทย
ส่วนอีกใบคงถูกใช้ที่ไหนสักแห่งในมุมโลก หรืออาจถูกทิ้งไปอย่างไร้ค่าแล้วก็ได้
คิดถึงตรงนี้ ภูเก็ตก็ต้องเอามือกุมขมับ เมื่อกลับมาที่ห้องทำงาน ตอนนี้มีเรื่องอื่นให้คิด ให้สงสัย
ณัฐ…แปลก
การชิงดีชิงเด่น เลื่อยขาเก้าอี้มันย่อมมีให้เห็นในทุกองค์กร แต่นี่เป็นครั้งแรก ทำงานที่ธนาคารนี้มาสี่ห้าปีก็เพิ่งจะเจอ ที่ผ่านมาคงถือว่าเขาโชคดีสุดๆ
ตอนนี้ คงไม่เป็นเช่นนั้นเสียแล้ว
ปวดหัวเพราะความกดดันจากเรื่องงานมาทั้งอาทิตย์ ทำให้ภูเก็ตรู้สึกว่าตามชินนภาไปเที่ยวหัวหินน่าดีกว่าอยู่กรุงเทพฯ เขาจึงตัดสินใจขับตามไปที่หลังในเช้าวันเสาร์ที่แสนสดชื่น
ร่างสูงในชุดกางเกงขายาวสีกากีอ่อนและเสื้อเชิ้ตที่สวมทับเสื้อยืดข้างในดูเท่ห์ แถมดูอ่อนเยาว์กว่าความเป็นจริง ไหล่หนาล่ำสะพายกระเป๋าใบใหญ่ที่มีเสื้อผ้าและข้าวของส่วนตัว เขาเดินอย่างกระฉับกระเฉงลงมายังด้านหน้าของตัวตึกที่มีรถคันเล็กของเขาจอดรออยู่แล้ว
ทว่าเสียงที่ดังมาจากข้างหลังทำให้เขาชะงัก รอยยิ้มอ่อนๆ พลันจางหายไป
“โอ้โห! นายแบงก์รูปหล่อ หล่อเฟี้ยวแต่เช้าเชียว” น้ำเสียงประชดประชันเย้ยเยาะ “นี่คุณเตรียมขนของจะย้ายออกแล้วใช่ไหม”
และนั่นทำให้ภูเก็ตยิ้มมุมปาก ดวงตาของเขาดูแพรวพราว
“คุณเพิ่งกลับเข้ามา ยังไม่ทันงีบก็ฝันซะแล้ว นี่ผมจะไปเที่ยว แล้วก็จะกลับมาที่บ้านของผมแน่ๆ ผมไปล่ะ”
ว่าแล้วชายหนุ่มก็เดินมายังรถยนต์ที่จอดอยู่ วางกระเป๋าบนเบาะหลัง ขึ้นสตาร์ทรถ เพียงแต่ว่าพลันประตูรถอีกข้างก็ถูกเปิด
“เฮ้ย!”เสียงอุทานอย่างตกใจดังลั่นเมื่อเห็นว่าใครขึ้นมานั่งข้างๆ
“ขอติดรถคุณก็แล้วกัน เพราะเดี๋ยวสายๆ จะมีแขกที่ไม่พึงอยากเจอมา การไม่อยู่ที่นี่ก็เป็นข้ออ้างที่ดีที่สุดที่จะได้ไม่ต้องเจอ” เสียงเรียบของเกษราบอกเพียงแค่นั้น แล้วพลันตวาดทันที “ออกรถซิ ถ้าขัดใจฉันล่ะก็ รับรองวันจันทร์นี้ได้มีละครให้ดูที่แบงก์ของคุณแน่ๆ คราวนี้ไม่ใช่แค่เตรียมหาที่พักใหม่ แต่เตรียมหางานใหม่ได้เลย”
หญิงสาวตบท้ายด้วยเสียงหัวเราะในลำคอราวผู้ชนะ เห็นแล้วล่ะมือของเขาที่กำพวงมาลัยรถแน่นจนเห็นเป็นนูนเส้นเลือด ท่าทางของเขาเหมือนกับว่าพยายามสะกดอารมณ์ได้อย่างยากเย็น
“คุณบ้าหรือเปล่า รู้เหรอว่าผมจะไปไหน”
“นั่นน่ะซิคุณจะไปไหน” คนถามเสียงใสอุตส่าห์หันไปยิ้มหวาน
“ไปหัวหิน จะรีบไปด้วย”
“ฉันไม่สน ไม่ว่าที่ไหน คุณก็ไปส่งฉันที่แปดริ้วก่อนก็แล้วกัน”
“มันเรื่องอะไร ผมไม่ใช่รถโดยสาร!” น้ำเสียงเข้มจัดเช่นนั้นบ่งบอกว่าเกือบเหลืออดแล้ว
“ฉันเป็นลูกค้าของธนาคารคุณ และตอนนี้คุณเช่าห้องของฉันอยู่ หนำซ้ำเช่าในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดซะด้วย”
“ค่าเช่านั้นตามสัญญาที่เจ้าของเก่ากับผมตกลงกัน”
“เพราะยัยป้านั่นคงหลงเสน่ห์ หรือไม่ก็หลงคารมคุณน่ะซิ นี่คุณเช่ามาหลายปีแล้ว ค่าเช่าเท่าเดิมมาตลอด แล้วหนอยจะมาทำเป็นอยากซื้อห้องต่อ และต่อให้ยัยป้าหลงคุณแค่ไหนนะ แต่เรื่องซื้อขายเขาก็ต้องให้คนที่ให้ราคาดีกว่าและซื้อทั้งสองห้องพร้อมกัน ฉันชนะวันยังค่ำอยู่แล้ว…โอ๊ย”
เสียงอุทานนั้นดังเมื่อร่างเล็กของหญิงสาวกระชากตามรถที่บึงตัวออกอย่างเร็ว และอีกครู่ใหญ่กว่าที่คนขับรถจะพูดขึ้นด้วยเสียงเกือบปรกติ
“ผมจะไปรู้ได้ไงว่ามีคนบ้าให้ราคามากกว่าราคาตลาด แล้วยังเป็นพวกกระเป๋าหนักซื้อทั้งสองห้องด้วย”
“สามย่ะ ฉันซื้อห้องที่ติดกับห้องของฉันฝั่งโน้นด้วย และอีกอย่างราคาที่ฉันซื้อก็สมเหตุสมผล คุณน่ะมันงกเอง มิน่าวันก่อนถึงพยายามจะรีดฉันตั้งห้าล้าน”
“ก็คุณเป็นฝ่ายบอกเลิกสัญญา ผมก็ต้องได้รับค่าชดใช้”
“คุณนี่ทั้งงกทั้งเค็มใช้ได้ สมเป็นนายแบงก์ ดีนะที่ฉันย้ายบัญชีมาให้คุณดูแล เงินทุกเม็ดของฉันก็ต้องงอกเงยจริงไหม”
“คอยดูกัน” เสียงแข็งขู่ เพียงแต่ว่าอีกฝ่ายไม่ใส่ใจ
“และคุณก็เป็นนายแบงก์ก็ที่ใจดีมากๆ อย่างน้อยก็ใจดีขับไปส่งฉัน เพราะนี่มันทางไปแปดริ้ว”
“ถือว่าผมทำไปเพราะสัญญาสงบศึกของเราก็แล้วกัน” ทำอย่างไรได้ เขาไม่มีทางเลือก “สัญญาที่ผมทำตามอย่างเคร่งครัด ไม่เหมือนคุณ ไปหาเรื่องถึงที่แบงก์ หาเรื่องกันได้ตลอด”
“หาเรื่องอะไร คุณก็พูดไปนั่น เอาเงินไปให้แบงก์ของคุณเชียวนะ ถือว่าคุณโชคดี...อีกอย่าง ทั้งพีทซี่และเด็กๆ ของพีทซี่ก็จะเอาเงินมาให้คุณดูแลอีกเป็นโข”
“ก็คง...ดี” เสียงทุ้มเบาในลำคอ ดูไม่น่าจะยินดีเลย ว่าแล้วรอยยิ้มกรุ้มกริ่มแกมโกงคลี่ฉายบนใบหน้า “ตอนนี้ ถือว่าเป็นโชคของผมก็แล้วกัน ที่มีดาราสุดฮ็อตมานั่งอยู่ข้างๆ”
คำบอกของเขาทำให้เกษรานิ่งไป เธอไม่พูดอะไรอีก แม้เมื่อภูเก็ตหันมองอยู่บ่อยครั้งในระหว่างการเดินทางชั่วโมงกว่า และจนกระทั่งเข้ารถคันเล็กวิ่งบนถนนบางปะกง-ฉะเชิงเทราได้สักพัก เสียงของหญิงสาวจึงดังขึ้นเพียงเพื่อบอกทาง
รถยุโรปคันเล็กแล่นไปตามทางที่บอกอีกเกือบยี่สิบนาที จนมาจอดหน้ารั้วเหล็กทึบของบ้านไม้สองชั้นหลังใหญ่ที่แม้จะดูเก่าด้วยอายุแต่ก็ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี
เกษราเอื้อมมือกดแตรรถเป็นจังหวะสั้นๆ สองครั้ง แล้วนั่งนิ่งพิงเบาะ รอเพียงอึดใจเดียวประตัวรั้วเล็กทึบก็เลื่อนเปิด
ถนนก่ออิฐิแน่นปรากฏเป็นลานกว้างหน้าตัวบ้าน จรดไปยังสนามหญ้าเล็กๆ รายล้อมด้วยสวนร่มรื่นเกือบไร่
“ขอบใจ” เกษราหันบอก ก่อนที่จะเปิดประตูรถ “กลับถูกนะ”
“หวังการที่ผมมาส่งคุณ คงไม่ทำให้อาเสี่ยเจ้าของบ้านเข้าใจผิด”
เสียงเย้ยของเขาบอกพร้อมการหัวเราะเบาๆ ทำให้อีกฝ่ายหันควับกลับมาทันที
“นี่บ้านของฉัน! ฉันมีศักดิ์ศรีพอ”
“ขอโทษ” การลากเสียงยาวนั้นไม่ค่อยจริงใจนัก เขามองอีกฝ่ายแล้วจึงบอกด้วยรอยยิ้มเก้อๆ “แล้วคุณจะอยู่นานไหม ค้างหรือเปล่า ผมจะได้กะเวลามารับได้”
“ขอบใจ แต่ไม่ต้องหรอก คุณรีบไปหายัยแม่มดของคุณเถอะ” หญิงสาวบอกด้วยน้ำเสียงเย้ยเยาะ ก่อนจะก้าวลงมาจากรถยุโรปคันเล็กแล้วปิดประตูเบาๆ
เธอเข้าไปสวมกอดผู้หญิงวัยเลยกลางคนที่เดินออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน โดยไม่หันกลับมามองเสียด้วยซ้ำว่ารถยนต์ที่มาส่งแล่นออกไปจากตัวบ้านตั้งแต่เมื่อไร
บ้าน…ที่ดูเก่าแก่ตามกาลเวลา เป็นสิ่งเดียวในชีวิตของเกษราที่ชื่อเสียงเงินทองมากมายไม่สามารถที่จะมีอิทธิพลอยู่เหนือ
บ้าน...ต้องเป็นบ้าน แม้ว่าจำนวนคน...ในบ้านเหมือนจะลดลงไปทุกวัน
การซ่อมแซมและปรับปรุงบ้านที่ทำจากไม้ทั้งหลังก็เพื่อไม่ให้มันทรุดโทรม ถ้าจะมีเพิ่มเติมก็แค่บริเวณที่พักกั้นเป็นสัดส่วนอยู่ชั้นล่างของบ้านที่ไว้สำหรับผู้เป็นยายและป้า
เมื่อบ้าน…เปลี่ยนไม่ได้
คน…ที่กำลังเดินเข้าไปภายในบ้าน ก็ย่อมไม่เปลี่ยนเช่นกัน
“ยายจ๋า” เสียงหวานใสแจ้วเรียกประจบ “หนูปีบกลับมาแล้วจ้า”
เสียงร้องเรียกกังวาลใสดังไม่หยุด จนกระทั่งร่างระหงของเจ้าของเสียงเดินเข้ามาภายในบริเวณห้องโถงกว้างที่อยู่กลางบ้าน หญิงสาวโถมตัวกอดหญิงชราที่นั่งอยู่บนรถเข็น กราบลงบนตัก เงยหน้าขึ้น รอยยิ้มหวานคลี่ออกเป็นรอยประจบ
“คิดถึงยายจังจ้ะ”
ทว่าผู้เป็นยายกลับถาม “ทำไมกลับจากโรงเรียนเร็วจังวันนี้”
คนถูกถามหัวเราะเบาๆ “ปีบจบมาตั้งสิบกว่าปีแล้วจ้ะ”
แม้จะยังคงไว้ด้วยยิ้มหวานละมุน แต่แววตาของเกษราฉายความกังวลชัดเจน สี่ห้าปีที่ผ่านมาโรคอัลไซเมอร์ของผู้เป็นยายนั้นแย่ลง สุขภาพร่างกายก็ทรงๆ ตามอายุ
แต่ยังดี…ที่ยายจำหลานได้ ทว่าจะยังจำได้อีกนานแค่ไหนกัน
ภาพความทรงจำ ถ้าต้องเลือนหายไป ก็คงเจ็บปวด แสนเสียดายยิ่งนัก
“แล้วตะกี้ใครมาส่งหนูปีบหรือลูก” คราวนี้ผู้เป็นป้าที่ยืนเยื้องอยู่ด้านหลังถาม
“ติดรถเพื่อนมาจ้ะ” คำว่า...เพื่อน ชัดเจนไม่มีทีท่าลังเล “ปีบอยากกลับบ้าน อยากค้างสักคืน พรุ่งนี้ก็ค่อยให้คนรถมารับ”
“งั้นเดี๋ยวป้าให้จุ๋มไปทำปัดกวาดห้องให้”
“ไม่ต้องหรอกจ้ะ” เกษรารีบบอก พลันยืนขึ้น “ปีบทำเองได้ แป๊ปเดียวเอง”
“จ้ะ”
การรับคำนั้นยังคงเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม เพียงแต่ว่าผู้เป็นป้ามีเรื่องกังวล
“หนูปีบ…ไม่เป็นอะไรนะลูก เรื่อง...คนนั้น”
คุณมัลลิกาย่อมรู้ข่าวคราวของหลานสาวคนเดียว ข่าวที่มาจากสื่อทั้งหลายและจากคนที่รู้จัก ข่าวซุบซิบที่มีจนชาชิน โดยที่ความจริงที่รับรู้นั้นจะต้องมาจากคำบอกของหลานสาวเท่านั้น
“ไม่ค่ะ มันจบแล้วค่ะ” ความขมขื่นที่ปรากฏก็เพียงครู่แล้วจางหายไปทันที พร้อมๆ กับที่มือเรียวบรรจงไหว้บนไหล่ของผู้เป็นป้า “ปีบขอโทษ เพราะข่าวในทางลบของปีบทำให้ป้าต้องเป็นห่วง หนำซ้ำยังเป็นที่นินทาของชาวบ้าน”
“หนูปีบก็รู้ว่า ป้ากับยายห่วง” คุณมัลลิกากอดหลานสาวให้กำลังใจ
แม้ไม่ใช่ลูก แต่เธอก็เลี้ยงเกษรามาตั้งแต่แรกเกิดดั่งลูกในไส้ รักและห่วงใยไม่ต่างจากเลือดในอุทร
ชีวิตมีวกวนผกผัน แต่ความรักของครอบครัวที่บัดนี้มีเพียงสามชีวิตยังคงมั่นคงแน่แท้
“ป้าลิก็…” เกษราดันตัวออกห่างเพียงนิดเดียว เสียงหัวเราะสดใส “เดี๋ยวปีบก็ร้องไห้ แล้วจะพลอยร้องไปหมดทั้งบ้าน ปีบไปกวาดห้องก่อนดีกว่า นั่นป้าอ่านพระอภัยมณีให้ยายอยู่เหรอ…เดี๋ยวปีบลงมารับช่วงต่อนะจ๊ะ”
ว่าแล้วหญิงสาวก็หันไปหอมแก้มผู้เป็นยายที่ละสายตามองจับอยู่ที่จอโทรทัศน์ ก่อนที่จะวิ่งหาขึ้นหายไปด้านบน
(ต่อ)