:: กระทู้ดาราศาสตร์ :: Nebula .... ดอกไม้อันงดงามแห่งแกแลคซี่

กระทู้คำถาม
สวัสดีครับ ผม Partita ขอเสนอเนื้อหาทางดาราศาสตร์เรื่อง Nebula โดยตั้งชื่อเรื่องว่า ....

" Nebula ดอกไม้อันงดงามแห่งแกแลคซี่" ชื่อนี้ผมตั้งมาจากรูปร่าง และ สีสันอันสวยงามของมันครับ

Nebula เป็นวัตถุทางดาราศาสตร์อย่างหนึ่ง เป็นกลุ่มเมฆหมอกของฝุ่น แก้ส พลาสมา
ที่กระจายตัวในอาณาบริเวณหนึ่งในอวกาศ โดยกลุ่มมวลเหล่านั้นอาจจะมีสีสันสวยงาม หรือมืดมิด
ขึ้นอยู่กับประเภทของเนบิวลานั้น ๆ ว่า ก่อกำเนิดอย่างไร และเป็นเนบิวลาประเภทใด
เนบิวลาทุกประเภทจะมีภาพที่สวยงามเสมอครับ เพราะกลุ่มเมฆหมอกเหล่านั้นล้วนแล้วแต่กำเนิดอยู่ใน
บริเวณที่มีกลุ่มดาวฤกษ์เกิดใหม่ ทำให้แสงจากดาวฤกษ์ส่งอิทธิพลทั้งทางตรง หรือทางอ้อม
ทำให้ภาพถ่ายเนบิวลาทุกภาพสวยงามยิ่งนัก ผมจึงตั้งชื่อว่าดอกไม้อันงดงามแห่งแกแลคซี่

ประเภทของเนบิวลา
เนบิวลาจำแนกประเภทได้ตามแหล่งกำเนิดแสงสว่าง ตามรายละเอียดดังนี้

1. Emission Nebulae (เนบิวลาเปล่งแสง)
Emission Nebulae เป็นเนบิวลาที่สามารถเปล่งแสงได้ด้วยตัวเอง หรือมีแสงสว่างกำเนิดได้ในตัวเอง
เกิดจากการเรืองแสงของแก้สร้อนที่แตกตัวเป็นไอออนจากพลังงานของ photons ที่แพร่ออกมาจากดาวฤกษ์ภายใน
หรือจากดาวฤกษ์เกิดใหม่ในบริเวณนั้น ,,Emission Nebulae ยังเป็นได้จาก planetary nebula ซึ่งเกิดจากดาวฤกษ์ใจกลาง
ของเนบิวลานั้นเอง ซึ่งเป็นดาวฤกษ์ที่ตายไปแล้ว (สลายคลายมวลออกไปหมดแล้ว) ทำให้สลาย layer ต่าง ๆ ของมันออกไป
กลายเป็นมวลแก้สร้อนรอบตัวมันและเรืองแสงเป็น Emission Nebulae ครับ

ตัวอย่าง Emission Nebulae ที่สำคัญคือ M42 หรือ เนบิวลานายพราน (Orion Nebula ,NGC 1976)
เนบิวลานายพราน เป็นเนบิวลาชนิดเปล่งแสงที่มีชื่อเสียงที่สุด สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
มีระยะห่างประมาณ 1,270 ปีแสง มีทิศทางอยู่ทิศใต้ของเข็มขัดนายพราน


2. Reflection Nebulae (เนบิวลาสะท้อนแสง)
Reflection Nebulae คือเนบิวลาที่มีแสงสว่างในตัวเอง เช่นเดียวกับ Emission nebula แตกต่างกันตรงที่
Reflection Nebulae กำเนิดแสงจากการกระเจิงของแสงจากดาวฤกษ์ใกล้เคียงที่ไม่ร้อนพอที่จะทำให้กลุ่มเมฆหมอกเรืองแสงเองได้
แต่ก็มากพอที่จะทำให้แสงจากดาวฤกษ์พวกนั้น "กระเจิง" ภายในกลุ่มเมฆหมอกและเปล่งแสงออกมาได้
มวลสารหลักของเนบอวลาชนิดนี้ คือ ฝุ่นระหว่างดวงดาว (Interstella dust) ซึ่งการระเจิงของแสงใน Reflection Nebulae นี้
เป็นกระบวนการเดียวกับการกระเจิงของแสงในโลกของเรา เป็นเหตุให้ Reflection Nebulae มักมีสีฟ้าครับ

เรามักพบเห็น Reflection Nebulae กับ Emission Nebulae อยู่ด้วยกัน บางครั้งก็เรียกรวมกันว่า "เนบิวลาสว่าง (Diffuse nebula)"
ตัวอย่างหนึ่งของเนบิวลาลักษณะนี้คือ เนบิวลานายพราน ครับ
เนื่องจากการค้นพบของนักดาราศาสตร์ ที่ว่าเนบิวลาทั้ง 2 ประเภทนี้มักอยู่ใกล้กัน ทำให้เกิดความสับสนอยู่เสมอ
และในปี 1992 Edwin Hubble เป็นผู้ที่แยกแยะเนยิวลาทั้ง 2 ประเภทนี้ออก โดยวิเคราะห์จาก spectrum ของแสง
ปัจจุบัน Reflection Nebulae มีการค้นพบแล้วประมาณ 500 แห่ง

ตัวอย่างของ Reflection Nebulae ที่สำคัญคือ Witch Head Nebula (เนบิวลาหัวแม่มด)
Witch Head Nebula นี้สว่างได้โดยอาศัยการกระเจิงของแสงจากดาว Rigel (ดาว Super Giant ในกลุ่มดาวนายพราน)
ห่างจากโลกประมาณ 900 ปีแสง


3. Dark Nebulae (เนบิวลามืด)
Dark Nebulae เป็นกลุ่มเมฆหมอกที่มีความหนาแน่นมากจนกระทั่งบดบังแสงจากดาวฤกษ์เบื้องหลัง
เนบิวลาชิดนี้ไม่มีแสงสว่างในตัวเอง เพราะไม่มีดาวฤกษ์ในอาณาบริเวณที่ใกล้มากพอที่จะทำให้เกิดการกระเจิง
หรือเรืองแสงออกมาได้ ตรงกันข้าม กลับมีความหนาแน่นจนบังแสงตามที่กล่าวไปครับ
การบังแสงนั้น จะบังแสงทั้งดาวฤกษ์ และบังแสงจากเนบิวลาทั้ง 2 ประเภทแรก (ข้อ 1. ข้อ 2. ) ด้วยครับ

ตัวอย่าง Dark Nebulae ที่มีชื่อเสียงสุดคือ Horsehead Nebula (Barnard 33) หรือเนบิวลาหัวม้า
เนบิวลาหัวม้าจากในภาพนี้ จะเห็น Dark nebulae เป็นรูปหัวม้าชัดเจน โดยเมฆหมอกบดบัง emission nebula IC 434
กลายเป็นภาพอันสวยงาม ภาพของเนบิวลาหัวม้า นี้ ยังเป็นย่านของหลายวัตถุดาราศาสตร์ที่สวยงามและน่าสนใจมาก
เรียกว่า  Alnitak region ดังที่จะกล่าวต่อไปในหัวข้อต่อไปครับ

ภาพเนบิวลาหัวม้า


4. Planetary Nebulae (เนบิวลาดาวเคราะห์)
Planetary Nebulae นั้น ไมได้เกี่ยวข้องอะไรกับดาวเคราะห์เลย แต่ชื่อนี้มาจากการค้นพบในสมัยก่อน
โดย (Charles Messier) นักดาราศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ที่ค้นพบว่ามีวัตถุที่มีลักษณะคล้ายดาวเคราะห์แก้ส
Planetary Nebulae นั้นเกิดจากมวลสาร ฝุ่นผง ที่เคยเป็นส่วนประกอบหลักของดาวฤกษ์เกิดการกระจายตัวออก
จากการหมดอายุขัยของดาวดวงนั้น ซึ่งการหมดอายุขัยของดาวฤกษ์เป็นดาวที่มีมวลน้อยเช่นดวงอาทิตย์ของเรา
โดยหลังจากหมดขั้นตอนช่วงเป็นดาวยักษ์แดง (Super giant) แล้ว ดาวดวงนั้นก็จะยุบตัวและปลดปล่อยมวลสารดั้งเดิม
ออกไปโดยรอบ ก่อให้เกิดการแตกตัวเป็นพลาสมาให้สีสีนที่สวยงาม

ตัวอย่าง Planetary Nebulae ที่มีชื่อเสียงคือ Ring Nebula (M57 , NGC 6720)
อยู่ในทิศทางกลุ่มดาวพิณ (constellation of Lyra) ในระยะห่างประมาณ 2,500 ปีแสงจากโลก

ภาพ Ring Nebula


5. Supernova remnant (เศษซากมหานวดารา)
เนบิวลาประเภทสุดท้ายคือ Supernova remnant เป็นเศษซากที่เหลืออยู่ของการระเบิด supernova
โดยเป็นมวลสารต่าง ๆ ที่ได้กระจายตัวออกมาจาก supernova ของดาวดวงนั้น การกระจายตัวนั้นรุนแรงมาก
มวลสารจะถูกผลักดันออกมาด้วยความเร็วนับ 30,000 กม./วินาที ด้วยอุณหภูมิหลายล้านองศา C
ทำให้อนุภาค ฝุ่น แก้ส โดยรอบบริเวณนั้นถูกความร้อนกลายเป็นพลาสมา ส่งแสงเรืองรองสวยงาม
การกระจายตัวนี้ไปไกลถึง 30 - 60 ปีแสง และยังมีพลังงานจลน์ที่จะเคลื่อนที่ไปได้ และคงตัวอย่างนั้นอีกนับพันปี

ตัวอย่าง Supernova remnant ที่มีชื่อเสียงคือ Crab Nebula หรือเนบิวล่าปู (M1 , NGC 1952)
อยู่ในทิศทางกลุ่มดาววัว (constellation of Taurus) มีขนาดประมาณ 11 ปีแสง และห่างจากโลก 6,500 ปีแสง
แสงปรากฏเดินทางถึงโลกประมาณปี ค.ศ.1054 ... Crab Nebula นี้ มีความน่าสนใจเพราะใจกลางเศษซากนี้มีดาวนิวตรอนอยู่
ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญของการเกิด Supernova และทิ้งเศษซากหลงเหลือเป็น remnant และจัดเป็นเนบิวลาประเภทหนึ่ง

ภาพเนบิวลาปู


10 อันดับเนบิวลาที่สวยที่สุด

1. Horsehead Nebula หรือ เนบิวลาหัวม้า (Barnard 33)
Horsehead Nebula เป็นเนบิวลามืด ที่ก่อตัวจากเมฆหมอกหนาทึบบดบัง emission nebula "IC 434"
จากภาพนี้จะเห็นว่าเมฆหนาทึบรูปหัวม้า จะบดบัง emission nebula IC 434 ที่เป็นฉากหลังสีม่วงสวยงาม
ซึ่ง IC 434 นี้เป็น emission nebula ที่เรืองแสงจากการแตกต้วของแก้สร้อนเป็นไอออน จากการกระตุ้น
ด้วยรังสี UltraViolet จากดาวฤกษ์คู่ Sigma Orionis AB เปล่งแสงสีม่วงสวยงาม
ภาพเนบิวลาหัวม้าเป็นภาพที่สวยงามที่สุดแล้วครับ เพราะมีองค์ประกอบที่ครบสมบูรณ์
และในอาณาบริเวณนี้ และนอกเหนือจากนี้ ยังเป็นบริเวณที่เรียกว่า Alnitak region หรือผมตั้งชื่ออย่างเว่อร์ ว่า ....

" น่านอวกาศอันงดงามแห่ง Alnitak " (จะกล่าวรายละเอียดต่อไป)

ภาพของ Horsehead Nebula


Alnitak region " น่านอวกาศอันงดงามแห่ง Alnitak "
Alnitak region นี้ ไม่ใช้ชื่อของเนบิวลา แต่เป็นอาณาบริเวณของอวกาศในมุมมองจากโลก
ที่บังเอิญมีดาวฤกษ์ และเนบิวลาสำคัญอยู่หลายแห่งครับ ผมจะขออธิบายด้วยภาพของ Alnitak region ดังนี้


2. Crab Nebula หรือเนบิวล่าปู (M1 , NGC 1952)
อยู่ในทิศทางกลุ่มดาววัว (constellation of Taurus) มีขนาดประมาณ 11 ปีแสง และห่างจากโลก 6,500 ปีแสง
และแสงปรากฏเดินทางถึงโลกประมาณปี ค.ศ.1054
Crab Nebula นี้น่าสนใจมากเพราะใจกลางเศษซากนี้มีดาวนิวตรอนอยู่ ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญ
ของการเกิด Supernova ดาวนิวตรอนนี้มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 30 กม. หมุนรอบตัวเองเร็ว 30 รอบต่อนาที
** ฟังเสียงการ spin ของดาวนิวตรอนดวงนี้ ---> http://www.jb.man.ac.uk/~pulsar/Education/Sounds/crab.au
(เป็นไฟล์ .au เปิดด้วย Windows Media Player V.12 ได้)
Crab Nebula นี้เป็นวัตถุทางดาราศาสตร์ชิ้นแรกในประวัติศาสตร์ที่ระบุได้ว่าเกิดจาก Supernova

ภาพเนบิวลาปู


3. Cassiopeia A Supernova remnant
Cassiopeia A Supernova remnant จัดเป็นเนบิวลาประเภทที่ 4 คือเป็นเศษซากจาก Supernova
CAS A อยู่ในตำแหน่งของ  constellation Cassiopeia ห่างจากโลกประมาณ 11,000 ปีแสง ขนาดกว้างประมาณ 10 ปีแสง
แสงจาก supernova นี้ปรากฏเดินทางถึงโลกประมาณ 300 ปีที่แล้ว
CAS A นี้ถือเป็นแหล่งกำเนิดคลื่นวิทยุที่เข้มมากที่สุดที่หนึ่งในทางช้างเผือก ใจกลางของ CAS A นั้น
จากการสำรวจล่าสุดโดยกล้องตรวจจับ X-Ray "Chandra" พบว่ามีจุดกำเนิดรังสีเข้มข้น สันนิษฐานว่าเป็นดาวนิวตรอน
ภาพล่างนี้คือภาพประกอบขึ้นจากกล้องโทรทรรศน์ 3 ตัว สีแดงจากกล้องตรวจ Infrared "Spitzer"
สีส้มคือย่านแสงเห็นได้ด้วยตาจากกล้อง "Hubble" ,ส่วนฟ้า-เขียว ได้จากกล้องตรวจจับ X-Ray "Chandra"

ภาพของ Cassiopeia A


4. The Helix Nebula (NGC 7293)
Helix Nebula เป็นเนบิวลาประเภท Planetary nebula (เนบิวลาดาวเคราะห์)
อยู่ในทิศทางกลุ่มดาวคนแบกหม้อน้ำ ( constellation Aquarius) ในระยะห่างประาณ 700 ปีแสงจากโลกเท่านั้น
ถือว่าเป็นเนบิวลาที่ใกล้โลกที่สุดที่หนึ่งครับ มีความกว้างของมวลสารประมาณ 2.5 ปีแสง


5. Ant nebula
หรืออีกชื่อคือ Menzel 3 เป็นเนบิวล่าประเภท Planetary nebula
อยู่ในทิศทาง Constellation Norma (กลุ่มดาวไม้ฉาก) ระยะห่างจากโลก 8,000 ปีแสง
เกิดจากการยุบตัวของดาวฤกษ์มวลน้อยและมีการแพร่กระจายมวลที่เหลืออยู่ในช่วงชีวิตทั้งหมดออกไป
Ane nebula นี้เป็นตัวอย่างที่ดีของการพิสูจน์การเปลี่ยนแปลงสภาพดาวฤกษ์เมื่อหมดอายุขัย
ว่าจะกลายสภาพเป็นเช่นไร


6. Orion Nebula เนบิวลานายพราน (M42 , NGC 1976)
เนบิวลานายพราน เป็นเนบิวลาชนิดเปล่งแสงที่มีชื่อเสียงที่สุด สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
มีระยะห่างประมาณ 1,270 ปีแสง มีทิศทางอยู่ทิศใต้ของเข็มขัดนายพราน มีความกว้างประมาณ 24 ปีแสง
ถือเป็นวัตถุท้องฟ้าที่นิยมถ่ายภาพกันมาก ทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่นครับ


อีกภาพของ M42 ถ่ายภาพด้วยกล้อง DSLR + Telescope
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
7. เนบิวลาอินทรี (Eagle Nebula , M16 , NGC 6611)
เนบิวลาอินทรี เป็นเนบิวลาประเภทเปล่งแสง โดยเป็นกลุ่มแก้สเรืองแสงที่อยู่ในอาณาบริเวณแหล่งก่อกำเนิดดาวฤกษ์
อยู่ในทิศทางกลุ่มดาวงู ( constellation Serpens) ในระยะห่าง 7,000 ปีแสงจากโลก
เนบิวลานี้กินอาณาบริเวณกว้างมาก และได้มีการถ่ายภาพใว้ในหลายมุม หลายองค์ประกอบครับ
ตามภาพล่างนี้ จะเห็นว่ามีการรวมภาพจากการบันทึกโดยกล้องโทรทรรศน์อวกาศหลายตัว
และท่านจะเห็นว่ามีการ highlight ภาพ 2 ส่วนคือ  "เสาแห่งการก่อกำเนิด" (Pillars of Creation) (ที่ตัว B)
ซึ่งเป็นแหล่งการก่อกำเนิดดาวฤกษ์จำนวนมาก  และ ยอดแหลม (Spire) (ที่ตัว A) ซึ่งมีความยาวถึงยอด 9.5 ปีแสง
โดยทั้ง 2 ย่านนี้เป็นเมฆหมอกโมเลกุลที่มีความหนาแน่นสูงมาก เป็นแหล่งก่อกำเนิดดาวฤกษ์จำนวนมากแหล่งหนึ่งครับ



อีกภาพชัด ๆ ของ Pillars of Creation และ Spire


8. เนบิวลาตาแมว (Cat's Eye Nebula , NGC 6543)
เนบิวลาตาแมว เป็นเนบิวลาดาวเคราะห์มีทิศทางอยู่ในกลุ่มดาวมังกร (constellation of Draco) ในระยะห่าง 3,300 ปีแสง
เป็นเนบิวลาที่มีความซับซ้อนมากแห่งหนึ่ง เนื่องจากใจกลางเนบิวลานี้เป็นดาวโวล์ฟ-ราเย (Wolf–Rayet stars)
ซึ่งดาวฤกษ์ประเภทนี้จะมีความแปรปรวนสูง มีความไม่เสถียรอย่างมาก อุณหภูมิพื้นผิวสูงเกือบ 80,000 องศา C
ก่อให้เกิดปรากฏการณ์สูญเสียมวลอย่างมาก และยังทำให้เกิดการกระจายของมวลแก้สโดยรอบเนบิวลานี้


ภาพมวลแก้สแพร่กระจายออกรอบ ๆ เนบิวลา


9. Witch Head Nebula (เนบิวลาหัวแม่มด , IC-2118)
เนบิวลาหัวแม่มด เป็นเนบิวลาสะท้อนแสงที่มีแสงจางมาก อยู่ในทิศทางกลุ่มดาวแม่น้ำ ( Eridanus constellation)
ในระยะ 900 ปีแสงจากโลก เนบิวลานี้ได้รับอิทธิพลแสงสะท้อนจากดาว Rigel ในบริเวณกลุ่มดาวนายพราน


10. เนบิวลากระดูกงูเรือ (Carina Nebula , NGC 3372)
เนบิวลากระดูกงูเรือ เป็นเนบิวลาเรืองแสงขนาดใหญ่มาก เมฆหมอกกระจายตัวอยู่รอบ ๆ กระจุกดาว Eta Carinae และ HD 93129A
ซึ่งทั้ง 2 ดวงนี้ เป็นดาวที่มีมวลมากและมีความสว่างมาก ด้วยความสว่างและมีความร้อนรุนแรง
จึงทำให้แก้สรอบ ๆ ดาว 2 ดวงนี้และอาณาบริเวณโดยรอบสว่างจ้าไปทั้งหมด จนหาดาวทั้ง 2 ดวงนี้ได้ยากลำบาก



จบแล้วครับ ขอขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับ พาพันขอบคุณ
เนื้อหาทั้งหมด แปล / เรียบเรียงจาก

http://hubblesite.org/hubble_discoveries
http://www.nasa.gov/multimedia
และหลาย page ของ wikipedia.org
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่