ความขัดแย้งประเทศไทย
มวลชนจำนวนมหาศาล ออกมาแสดงเจตนาไม่ยอมรับรัฐบาล สืบเนื่องมาจากความไม่พอใจอิทธิพลของคุณทักษิณและญาติพี่น้องที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าทรงอิทธิพลต่อทุกสิ่งอย่างของการเมืองไทย รวมถึงการที่มีมวลชนอีกส่วนหนึ่งที่ยังยอมรับและพร้อมจะปกป้องรัฐบาล ทั้งทางความคิดและกิจกรรมตอบโต้ นี่เรียกว่า “ความขัดแย้งที่ปรากฏ” นับเป็นยอดของภูเขาน้ำแข็งที่ลอยโผล่พ้นน้ำออกมา รากความขัดแย้งเปรียบเหมือนส่วนใหญ่ของภูเขาน้ำแข็งที่จมอยู่ใต้น้ำ ตามทฤษฎีฝรั่งที่มักเปรียบเทียบเอาไว้
ผมเคยอ่านตำราฝรั่งๆเรื่องแบบนี้ เขาบอกว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมักจะมีสาเหตุใหญ่มากจากรากความขัดแย้งที่เป็นส่วนภูเขาจมน้ำได้แก่ เรื่องข้อมูลที่ไม่ตรงกัน เรื่องความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อกัน เรื่องค่านิยมที่แตกต่างกัน เรื่องผลประโยชน์ที่ไม่ลงกัน และสุดท้ายคือความขัดแย้งเชิงโครงสร้าง เช่น ความไม่เท่าเทียมกันทางสังคม กฎหมาย โดยมีความเห็นไว้ว่าทั่วๆไปแล้วสามเรื่องแรกเป็นเรื่องง่ายกว่าในการแก้ไขความขัดแย้งจากข้อมูล ความสัมพันธ์ หรือ แม้แต่เรื่องค่านิยม แน่นอนว่าสาเหตุความขัดแย้งจากผลประโยชน์ และจากเชิงโครงสร้างทางสังคม ทางกฎหมาย นั้นแก้ยากเย็นกว่ามาก
การแก้ไขความขัดแย้งมีตั้งแต่ การต่อสู้ต่อยตี ด่าทอโต้เถียง การเจรจาต่อรอง การหาคนกลางมาไกล่เกลี่ย การจัดการประชุมร่วมกันโดยมีฝ่ายอำนวยความสะดวก การฟ้องร้องให้คนกลางตัดสิน การแก้ไขกฎหมายให้ยอมรับกัน หรือ บังคับให้ยอมกัน
พฤติกรรมความขัดแย้งที่ปรากฏขึ้นจะมีตั้งแต่ การยอมๆกันไปก่อน การต่อสู้เอาชนะ การประนีประนอมกัน การต่อสู้เอาชนะ การหลบเลี่ยงไม่แก้ปัญหา และที่ดีที่สุดคือ การหาความร่วมมือให้มีผลการแก้ไขความขัดแย้งแบบ WIN-WIN
เราจะเห็นว่าในหลายปีที่ผ่านมา ประชาชนต่างเห็นพฤติกรรมความขัดแย้งเกือบทุกด้าน ยกเว้นหาความร่วมมือแบบ Win-Win อาจเพราะเราไม่มีกลไกการจัดการความขัดแย้งที่ใช้ความพยายามเจรจาต่อรอง การจัดคนกลางไกล่เกลี่ย หรือ อำนวยการให้เกิดเวทีหารืออย่างสร้างสรรค์ร่วมกัน แต่ประเทศเรามุ่ง แก้กฎหมาย เช่น แก้รัฐธรรมนูญ ออกกฏหมายนิรโทษกรรม ฟ้องศาลกันวุ่นวาย หรือ พยายามหากลยุทธ์มวลชนต่อสู้เอาเป็นเอาตาย ด่าทอเกลียดชังความขัดแย้งเรื่องข้อมูลว่าทักษิณผิดแค่ไหน มวลชนสองฝ่ายรู้เท่ากัน หรือ รู้ความจริงแท้แค่ไหนก็มีปัญหาแล้วในเรื่องสาเหตุความขัดแย้ง ความสัมพันธ์เกลียดชังกันมากขึ้น
ตั้งชื่อที่ส่อไปถึงความเหยียดหยามความเป็นมนุษย์กัน ผ่าน วาทกรรมสลิ่มโง่ ควายแดง ตลอดจนค่านิยมทางการเมืองที่ต่างกันสุดขั้วในเชิงประชานิยม และอนุรักษ์นิยม แต่รากความขัดแย้งสามเรื่องนี้ แก้ไขไม่ยากหากสื่อมวลชนร่วมกันทำหน้าที่ นำเสนอข้อมูลรอบด้าน ให้เข้าอกเข้าใจและปรับค่านิยมให้เข้าหากัน เพราะอุดมคติทางการเมืองของเรามันไม่ได้แตกต่างรุนแรงอะไร
ความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ของนักการเมือง การคอรัปชั่น การแย่งชิงอำนาจ นั่นเป็นเรื่องแก้ไขยาก นั่นยังไม่เท่ากับโครงสร้างทางสังคม เมือง ชนบท ชนชั้นกลาง-ชนชั้นนำ กับ ผุ้ใช้แรงงาน ที่มีความเหลื่อมล้ำทุกด้านมหาศาล เรื่องสุดท้ายนี้กลับถูกขยายถ่างให้เป็นประเด็นต่อสู้ผ่านนโยบายที่เอาใจกลุ่มเป้าหมายทางการตลาดการเมือง รวมถึงผ่านวาทกรรมอำมาตย์-ไพร่ ที่ว่าๆกัน
ผมคิดว่าหากประเทศไทยไม่เกิดกระบวนการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งจากรากความขัดแย้งที่ว่ามา เอาสามเรื่องแรกก่อน แล้วค่อยๆแก้ไขเรื่องยากๆ อีกสามเรื่องหลัง
เราก็ผ่านสงครามภายในครั้งนี้ไปยาก ไม่ว่า การรบที่เห็นอยู่ครั้งนี้ใครจะชนะก็ตาม
พลวัตรของความขัดแย้ง
หลายปีที่ผ่านมาผมนั่งอ่านทฤษฎีเรื่องความขัดแย้ง เพื่อนำมาปรับใช้กับงานโครงการการจัดการพื้นที่คุ้มครองอย่างมีส่วนร่วมในผืนป่าตะวันตกที่เป็นโครงการหลักที่ทำงานกับชุมชนในป่าให้ลดความขัดแย้งและหาทางออก ให้ชาวบ้านกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ยุติการบาดหมางกัน ให้สามารถอยู่ร่วมกันได้โดยกติกาและเงื่อนไขว่าป่าไม่ถูกขยายทำลายเพิ่ม แต่เจ้าหน้าที่ก็อยู่กับชาวบ้านอย่างสันติ อ่านๆทฤษฎีต่างๆเข้าไปทำงานงุดๆอยู่ในป่า พอมองออกมาในเมืองครั้งใดก็พบปัญหาความขัดแย้งที่ใหญ่โตซับซ้อน สอดคล้องกับเรื่องทฤษฎีที่อ่านมาเสียทุกที
น่าตกใจว่าผมเริ่มทำงานที่ว่าในป่ามาสิบปี ความขัดแย้งทางการเมืองที่ปรากฏขึ้น ก็คู่ขนานมาจนจะครบสิบปี เช่นเดียวกัน หากนับแต่สังคมเริ่มมีข้อสงสัยในการทำงานและผลประโยชน์บางเรื่องของผู้นำพรรคไทยรักไทยในขณะโน้น
หนังสือแปลของคุณหมอวันชัย วัฒนศัพท์ ที่พิมพ์โดยสถาบันพระปกเกล้า เรื่อง การขัดแย้งและการขอโทษ อธิบาย เรื่อง พลวัตรของความขัดแย้ง (Dynamic of Conflict) และ การขยายตัวของความขัดแย้ง (Escalation of Conflict) ไว้ว่าจะมีพลวัตรไปในทางที่จะก่อความเสียหาย และพลวัตรที่สร้างสรรค์
เมื่อเริ่มมีมีการใช้อำนาจในการที่ผิด จากนั้น ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียมีปฏิกิริยาต่อต้านและแก้แค้น ความรุนแรงของปัญหาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่ง มีความรู้สึกเป็นศัตรูกันของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียปรากฏชัดเจน ความไว้วางใจ การติดต่อระหว่างกันและการพูดจา อย่างเที่ยงตรงได้สิ้นสุดลง มีการโต้เถียงโจมตีระหว่างกัน จากนั้น องค์กรทางสังคมเปลี่ยนแปลงไป มีการแบ่งฝ่ายว่าจะเลือกอยู่กับประเด็นไหนหรืออยู่กับฝ่ายใด ต่อเนืองกับ การว่ากล่าวโจมตีกันด้วยวาจารุนแรง ถึงขนาดทำลายความเป็นมนุษย์และกล่าวหากันไปในการชั่วร้าย จนลามไปถึง มีการทำร้ายร่างกาย ความรุนแรงเกิดขึ้น และสุดท้าย มีการใช้ความรุนแรงระหว่างกลุ่ม ที่แบ่งแยกขั้ว กระจายออกไปจนเหมือนโรคระบาดต่อสู้กันทั่วไป นี่เป็นพลวัตรในทางที่จะก่อความเสียหาย
ส่วนอีกทิศทางหนึ่งบอกว่า เมื่อเริ่มมีการใช้อำนาจในทางที่ผิด จะผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเจรจากับตัวแทนหรือบุคลที่สาม พูดกับคู่กรณีน้อยลง บุคคลที่สามที่มีแนวคิดสร้างสรรค์ วิเคราะห์ ป้องกันการขยายตัวของความขัดแย้ง สร้างความสัมพันธ์ และหาทางแก้ปัญหา บุคคลที่สามไม่ค่อยสร้างสรรค์อาจจะขัดขวางการวิเคราะห์ช่วยให้เกิดการนินทาว่าร้าย เติมเชื้อความรุนแรง ช่วยให้เกิดการขยายตัวความขัดแย้งทำลายความสัมพันธ์ และสกัดกั้นการแก้ปัญหา การตัดสินใจอาจถูกบ่อนทำลายโดยพฤติกรรมปกปิดซ่อนเร้น จากนั้น ความไว้วางใจซึ่งกันและกันน้อย การติดต่อสื่อสารไม่ค่อยมีและเริ่มบิดเบือนประเด็นต่างๆดูจะขยายตัวออกไปเรื่อยๆ และเช่นกัน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมองว่าอีกฝ่ายหรือหลายๆฝ่าย ล้วนเป็น “ตัวปัญหา” และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างก็โทษอีกฝ่ายว่าเป็นผู้ที่ทำให้เกิดปัญหาขึ้นมา แต่สุดท้าย
ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเจรจากันอย่างสร้างสรรค์ ให้เกียรติซึ่งกันและกันในประเด็นต่างๆ ประเด็นมีลักษณะเฉพาะเจาะจง ฝ่ายคู่กรณีมีการให้ความเชื่อใจกันบ้าง ไม่มีการใช้อำนาจในทางที่ผิดการตัดสินใจได้มีการนำไปปฏิบัติ นี่เป็นพลวัตรในทางสร้างสรรค์ ทฤษฎีเขาว่าไว้อย่างนี้
จริงๆแล้วทั้งสองแบบก็มีปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างทางเป็นความขัดแย้งเหมือนกัน แต่สุดท้ายทางออกก็จะแตกต่างกัน พลิกนิดหน่อยก็ทะลุไปสู่ความเสียหาย หากมีคลิ๊กอะไร ดีๆ ก็อาจจะพลิกมาสร้างสรรค์ก็ได้
ผมมานั่งนึกๆ ดู เทียบกับ การเมืองที่ขัดแย้งไปสู่พลวัตรต่างๆ แต่ยังไม่ถึงขั้นสุดท้ายของพลวัตรในทางที่ก่อเกิดความเสียหาย เหมือนที่เคยเกิดมาเมื่อสามสี่ปีที่แล้ว ก็ได้แต่หวังว่า จะเกิดปรากฏการณ์พลวัตรในทางสร้างสรรค์ในภาพสุดท้าย ส่วนจะมาอย่างไร มาได้หรือเปล่า คงไม่มีใครรู้ได้ เว้นว่าจะมีการวางเกมลึกลับอะไรทางไหนกันไว้
อย่างไรก็ตามส่วนตัวแล้วยังเห็นส่วนความหวังที่เกิดจากการตื่นรู้ทางการเมืองของมวลชนจำนวนมากทั้งสองสามฝ่ายที่ต่างบ่มเพาะคู่ขนานมากับความขัดแย้ง และส่วนนี้เป็นความหวังที่จะป้องกันความรุนแรง และพลิกเกมไปสู่ทางสร้างสรรค์ร่วมกันในที่สุด
ที่มา
https://www.facebook.com/notes/sasin-chalermlarp/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99/10152204237860539
เราจะผ่านมันไป...ด้วยกัน
มวลชนจำนวนมหาศาล ออกมาแสดงเจตนาไม่ยอมรับรัฐบาล สืบเนื่องมาจากความไม่พอใจอิทธิพลของคุณทักษิณและญาติพี่น้องที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าทรงอิทธิพลต่อทุกสิ่งอย่างของการเมืองไทย รวมถึงการที่มีมวลชนอีกส่วนหนึ่งที่ยังยอมรับและพร้อมจะปกป้องรัฐบาล ทั้งทางความคิดและกิจกรรมตอบโต้ นี่เรียกว่า “ความขัดแย้งที่ปรากฏ” นับเป็นยอดของภูเขาน้ำแข็งที่ลอยโผล่พ้นน้ำออกมา รากความขัดแย้งเปรียบเหมือนส่วนใหญ่ของภูเขาน้ำแข็งที่จมอยู่ใต้น้ำ ตามทฤษฎีฝรั่งที่มักเปรียบเทียบเอาไว้
ผมเคยอ่านตำราฝรั่งๆเรื่องแบบนี้ เขาบอกว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมักจะมีสาเหตุใหญ่มากจากรากความขัดแย้งที่เป็นส่วนภูเขาจมน้ำได้แก่ เรื่องข้อมูลที่ไม่ตรงกัน เรื่องความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อกัน เรื่องค่านิยมที่แตกต่างกัน เรื่องผลประโยชน์ที่ไม่ลงกัน และสุดท้ายคือความขัดแย้งเชิงโครงสร้าง เช่น ความไม่เท่าเทียมกันทางสังคม กฎหมาย โดยมีความเห็นไว้ว่าทั่วๆไปแล้วสามเรื่องแรกเป็นเรื่องง่ายกว่าในการแก้ไขความขัดแย้งจากข้อมูล ความสัมพันธ์ หรือ แม้แต่เรื่องค่านิยม แน่นอนว่าสาเหตุความขัดแย้งจากผลประโยชน์ และจากเชิงโครงสร้างทางสังคม ทางกฎหมาย นั้นแก้ยากเย็นกว่ามาก
การแก้ไขความขัดแย้งมีตั้งแต่ การต่อสู้ต่อยตี ด่าทอโต้เถียง การเจรจาต่อรอง การหาคนกลางมาไกล่เกลี่ย การจัดการประชุมร่วมกันโดยมีฝ่ายอำนวยความสะดวก การฟ้องร้องให้คนกลางตัดสิน การแก้ไขกฎหมายให้ยอมรับกัน หรือ บังคับให้ยอมกัน
พฤติกรรมความขัดแย้งที่ปรากฏขึ้นจะมีตั้งแต่ การยอมๆกันไปก่อน การต่อสู้เอาชนะ การประนีประนอมกัน การต่อสู้เอาชนะ การหลบเลี่ยงไม่แก้ปัญหา และที่ดีที่สุดคือ การหาความร่วมมือให้มีผลการแก้ไขความขัดแย้งแบบ WIN-WIN
เราจะเห็นว่าในหลายปีที่ผ่านมา ประชาชนต่างเห็นพฤติกรรมความขัดแย้งเกือบทุกด้าน ยกเว้นหาความร่วมมือแบบ Win-Win อาจเพราะเราไม่มีกลไกการจัดการความขัดแย้งที่ใช้ความพยายามเจรจาต่อรอง การจัดคนกลางไกล่เกลี่ย หรือ อำนวยการให้เกิดเวทีหารืออย่างสร้างสรรค์ร่วมกัน แต่ประเทศเรามุ่ง แก้กฎหมาย เช่น แก้รัฐธรรมนูญ ออกกฏหมายนิรโทษกรรม ฟ้องศาลกันวุ่นวาย หรือ พยายามหากลยุทธ์มวลชนต่อสู้เอาเป็นเอาตาย ด่าทอเกลียดชังความขัดแย้งเรื่องข้อมูลว่าทักษิณผิดแค่ไหน มวลชนสองฝ่ายรู้เท่ากัน หรือ รู้ความจริงแท้แค่ไหนก็มีปัญหาแล้วในเรื่องสาเหตุความขัดแย้ง ความสัมพันธ์เกลียดชังกันมากขึ้น
ตั้งชื่อที่ส่อไปถึงความเหยียดหยามความเป็นมนุษย์กัน ผ่าน วาทกรรมสลิ่มโง่ ควายแดง ตลอดจนค่านิยมทางการเมืองที่ต่างกันสุดขั้วในเชิงประชานิยม และอนุรักษ์นิยม แต่รากความขัดแย้งสามเรื่องนี้ แก้ไขไม่ยากหากสื่อมวลชนร่วมกันทำหน้าที่ นำเสนอข้อมูลรอบด้าน ให้เข้าอกเข้าใจและปรับค่านิยมให้เข้าหากัน เพราะอุดมคติทางการเมืองของเรามันไม่ได้แตกต่างรุนแรงอะไร
ความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ของนักการเมือง การคอรัปชั่น การแย่งชิงอำนาจ นั่นเป็นเรื่องแก้ไขยาก นั่นยังไม่เท่ากับโครงสร้างทางสังคม เมือง ชนบท ชนชั้นกลาง-ชนชั้นนำ กับ ผุ้ใช้แรงงาน ที่มีความเหลื่อมล้ำทุกด้านมหาศาล เรื่องสุดท้ายนี้กลับถูกขยายถ่างให้เป็นประเด็นต่อสู้ผ่านนโยบายที่เอาใจกลุ่มเป้าหมายทางการตลาดการเมือง รวมถึงผ่านวาทกรรมอำมาตย์-ไพร่ ที่ว่าๆกัน
ผมคิดว่าหากประเทศไทยไม่เกิดกระบวนการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งจากรากความขัดแย้งที่ว่ามา เอาสามเรื่องแรกก่อน แล้วค่อยๆแก้ไขเรื่องยากๆ อีกสามเรื่องหลัง
เราก็ผ่านสงครามภายในครั้งนี้ไปยาก ไม่ว่า การรบที่เห็นอยู่ครั้งนี้ใครจะชนะก็ตาม
พลวัตรของความขัดแย้ง
หลายปีที่ผ่านมาผมนั่งอ่านทฤษฎีเรื่องความขัดแย้ง เพื่อนำมาปรับใช้กับงานโครงการการจัดการพื้นที่คุ้มครองอย่างมีส่วนร่วมในผืนป่าตะวันตกที่เป็นโครงการหลักที่ทำงานกับชุมชนในป่าให้ลดความขัดแย้งและหาทางออก ให้ชาวบ้านกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ยุติการบาดหมางกัน ให้สามารถอยู่ร่วมกันได้โดยกติกาและเงื่อนไขว่าป่าไม่ถูกขยายทำลายเพิ่ม แต่เจ้าหน้าที่ก็อยู่กับชาวบ้านอย่างสันติ อ่านๆทฤษฎีต่างๆเข้าไปทำงานงุดๆอยู่ในป่า พอมองออกมาในเมืองครั้งใดก็พบปัญหาความขัดแย้งที่ใหญ่โตซับซ้อน สอดคล้องกับเรื่องทฤษฎีที่อ่านมาเสียทุกที
น่าตกใจว่าผมเริ่มทำงานที่ว่าในป่ามาสิบปี ความขัดแย้งทางการเมืองที่ปรากฏขึ้น ก็คู่ขนานมาจนจะครบสิบปี เช่นเดียวกัน หากนับแต่สังคมเริ่มมีข้อสงสัยในการทำงานและผลประโยชน์บางเรื่องของผู้นำพรรคไทยรักไทยในขณะโน้น
หนังสือแปลของคุณหมอวันชัย วัฒนศัพท์ ที่พิมพ์โดยสถาบันพระปกเกล้า เรื่อง การขัดแย้งและการขอโทษ อธิบาย เรื่อง พลวัตรของความขัดแย้ง (Dynamic of Conflict) และ การขยายตัวของความขัดแย้ง (Escalation of Conflict) ไว้ว่าจะมีพลวัตรไปในทางที่จะก่อความเสียหาย และพลวัตรที่สร้างสรรค์
เมื่อเริ่มมีมีการใช้อำนาจในการที่ผิด จากนั้น ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียมีปฏิกิริยาต่อต้านและแก้แค้น ความรุนแรงของปัญหาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่ง มีความรู้สึกเป็นศัตรูกันของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียปรากฏชัดเจน ความไว้วางใจ การติดต่อระหว่างกันและการพูดจา อย่างเที่ยงตรงได้สิ้นสุดลง มีการโต้เถียงโจมตีระหว่างกัน จากนั้น องค์กรทางสังคมเปลี่ยนแปลงไป มีการแบ่งฝ่ายว่าจะเลือกอยู่กับประเด็นไหนหรืออยู่กับฝ่ายใด ต่อเนืองกับ การว่ากล่าวโจมตีกันด้วยวาจารุนแรง ถึงขนาดทำลายความเป็นมนุษย์และกล่าวหากันไปในการชั่วร้าย จนลามไปถึง มีการทำร้ายร่างกาย ความรุนแรงเกิดขึ้น และสุดท้าย มีการใช้ความรุนแรงระหว่างกลุ่ม ที่แบ่งแยกขั้ว กระจายออกไปจนเหมือนโรคระบาดต่อสู้กันทั่วไป นี่เป็นพลวัตรในทางที่จะก่อความเสียหาย
ส่วนอีกทิศทางหนึ่งบอกว่า เมื่อเริ่มมีการใช้อำนาจในทางที่ผิด จะผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเจรจากับตัวแทนหรือบุคลที่สาม พูดกับคู่กรณีน้อยลง บุคคลที่สามที่มีแนวคิดสร้างสรรค์ วิเคราะห์ ป้องกันการขยายตัวของความขัดแย้ง สร้างความสัมพันธ์ และหาทางแก้ปัญหา บุคคลที่สามไม่ค่อยสร้างสรรค์อาจจะขัดขวางการวิเคราะห์ช่วยให้เกิดการนินทาว่าร้าย เติมเชื้อความรุนแรง ช่วยให้เกิดการขยายตัวความขัดแย้งทำลายความสัมพันธ์ และสกัดกั้นการแก้ปัญหา การตัดสินใจอาจถูกบ่อนทำลายโดยพฤติกรรมปกปิดซ่อนเร้น จากนั้น ความไว้วางใจซึ่งกันและกันน้อย การติดต่อสื่อสารไม่ค่อยมีและเริ่มบิดเบือนประเด็นต่างๆดูจะขยายตัวออกไปเรื่อยๆ และเช่นกัน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมองว่าอีกฝ่ายหรือหลายๆฝ่าย ล้วนเป็น “ตัวปัญหา” และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างก็โทษอีกฝ่ายว่าเป็นผู้ที่ทำให้เกิดปัญหาขึ้นมา แต่สุดท้าย
ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเจรจากันอย่างสร้างสรรค์ ให้เกียรติซึ่งกันและกันในประเด็นต่างๆ ประเด็นมีลักษณะเฉพาะเจาะจง ฝ่ายคู่กรณีมีการให้ความเชื่อใจกันบ้าง ไม่มีการใช้อำนาจในทางที่ผิดการตัดสินใจได้มีการนำไปปฏิบัติ นี่เป็นพลวัตรในทางสร้างสรรค์ ทฤษฎีเขาว่าไว้อย่างนี้
จริงๆแล้วทั้งสองแบบก็มีปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างทางเป็นความขัดแย้งเหมือนกัน แต่สุดท้ายทางออกก็จะแตกต่างกัน พลิกนิดหน่อยก็ทะลุไปสู่ความเสียหาย หากมีคลิ๊กอะไร ดีๆ ก็อาจจะพลิกมาสร้างสรรค์ก็ได้
ผมมานั่งนึกๆ ดู เทียบกับ การเมืองที่ขัดแย้งไปสู่พลวัตรต่างๆ แต่ยังไม่ถึงขั้นสุดท้ายของพลวัตรในทางที่ก่อเกิดความเสียหาย เหมือนที่เคยเกิดมาเมื่อสามสี่ปีที่แล้ว ก็ได้แต่หวังว่า จะเกิดปรากฏการณ์พลวัตรในทางสร้างสรรค์ในภาพสุดท้าย ส่วนจะมาอย่างไร มาได้หรือเปล่า คงไม่มีใครรู้ได้ เว้นว่าจะมีการวางเกมลึกลับอะไรทางไหนกันไว้
อย่างไรก็ตามส่วนตัวแล้วยังเห็นส่วนความหวังที่เกิดจากการตื่นรู้ทางการเมืองของมวลชนจำนวนมากทั้งสองสามฝ่ายที่ต่างบ่มเพาะคู่ขนานมากับความขัดแย้ง และส่วนนี้เป็นความหวังที่จะป้องกันความรุนแรง และพลิกเกมไปสู่ทางสร้างสรรค์ร่วมกันในที่สุด
ที่มา https://www.facebook.com/notes/sasin-chalermlarp/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99/10152204237860539