เห็นสถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้แล้วอยากให้คนไทยได้ดู Do the Right Thing (1989) ผลงานหนังแจ้งเกิดของผกก. Spike Lee มากๆ...
Do the Right Thing เป็นหนังตลกเสียดสี/สะท้อนสังคมผ่านเรื่องราวของหนังที่ว่าด้วยวิถีชีวิตของผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ,ศาสนา,และสาขาอาชีพในย่านคนดำแห่งหนึ่งในบรู๊คลิน สไตล์การเล่าเรื่องของหนังเรื่องนี้จะคล้ายๆกับหนังอย่าง Traffic, Babel คือหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่บอกเล่าเรื่องผ่านมุมมองของหลากหลายผู้คนที่อาศัยอยู่ในย่านคนดำแห่งนี้ โดยมีตัวละครพระเอกของเรื่องที่รับบทโดยตัว Spike Lee เองทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของเรื่องราวทั้งหมด
ด้วยความที่หนังนำเสนอเรื่องราวผ่านมุมมองของหลายๆตัวละคร คนดูจึงได้รับรู้ว่าผู้คนหลากหลายเชื้อชาติในย่านคนดำแห่งนี้ล้วนมี“อคติ”ต่อกันและกันอย่างเข้มข้น(คนดำเกลียดคนขาว,คนอิตาเลียนเกลียดคนดำ,คนเอเชียนโดนทุกคนเกลียด ฯลฯ)และล้วนต้องการให้ความเป็นไปในย่านแห่งนี้เป็นไปในแบบที่พวกตัวเองต้องการโดยไม่เห็นหัวคนอื่น(ฟังดูคุ้นๆมั้ยครับ?) บรรยากาศความกดดันในย่านคนดำในหนังเรื่องนี้จึงไม่ต่างอะไรไปจากภูเขาไฟที่พร้อมจะปะทุได้ตลอดเวลา
หนังนำเสนอได้ดีมากๆในแง่ที่ว่าถ้าหากว่าผู้คนในสังคมไม่มียอมใคร ไม่มีใครยอมเข้าใจหรืออย่างน้อยก็ยอมประนีประนอมผ่อนผันต่อความแตกต่างของกันและกัน(ไม่ว่าจะในแง่ของเชื้อชาติ,ศาสนา,การเมือง) ผลที่ตามมาย่อมเป็นความแตกแยกและความวุ่นวาย(และบางครั้งอาจจบลงด้วยความตาย)เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นในฉากไคลแม็กซ์ของหนังเรื่องนี้เสมอ
Do the Right Thing ไม่ได้เป็นหนังสะท้อนสังคมที่ take itself seriously แบบหนังอย่าง Hotel Rwanda, Crash เสียทีเดียว เพราะยังไงๆหนังเรื่องนี้ก็ยังเป็นหนังตลก(ถึงจะเป็นตลกแบบตลกร้าย ดาร์คๆหน่อย) หลายๆช่วงของหนังตลกมากและการกำกับของ Spike Lee ก็หวือหวา เฟี้ยวฟ้าวใช่เล่น(ลูกพี่ลูกน้องของผมที่กำลังเรียนภาควิชาภาพยนตร์อยู่ที่อเมริกาตอนนี้ก็เล่าให้ผมฟังว่าอาจารย์เปิดหนังเรื่องนี้ให้ดูในคลาส) แต่ภายใต้อารมณ์ขันอันชาลฉลาดและสไตล์การกำกับอันมีเอกลักษณ์ หนังเรื่องนี้ยังเป็นหนังที่มี“ประเด็น”ที่ลึกซึ้งและร่วมสมัยเอามากๆ(จนบางคนยังก่นด่ากรรมการออสการ์มาถึงทุกวันนี้ที่“บังอาจ”ให้ Driving Miss Daisy ได้รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมไปแทนที่ Do the Right Thing)
ในขณะที่หนังสะท้อนสังคมแนวๆนี้มักจะจบแบบมีความหวังหรืออย่างน้อยก็ให้คำตอบกับคนดูว่าความขัดแย้งสามารถยุติได้ด้วยวิธีใดบ้าง ผกก. Spike Lee กลับเลือกที่จะจบหนังของเขาด้วยตอนจบแบบปลายเปิด พร้อมกับให้เหตุผล(ทำนอง)ว่า“ในเมื่อความขัดแย้งทั้งหลายในโลกแห่งความเป็นจริงมันยังไม่ได้จางหายไปไหน ผมจะไปมีหน้าให้คำตอบคนดูเกี่ยวกับวิธีการยุติความขัดแย้งด้วยหนังของผมได้ยังไง?”
...สถานการณ์ในไทยตอนนี้ก็คงไม่ต่างกัน
ตัวอย่างหนัง

ฝากเพจคุยเรื่องหนัง,เพลง,เกม,การ์ตูนแบบจิปาถะแบบตามใจตัวเองของผมด้วยนะครับ >>>
https://www.facebook.com/appleoneoone
### [หนังที่ผมอยากให้คนไทยตอนนี้ได้ดู] Do the Right Thing (1989) ผลงานหนังตลกเสียดสี/สะท้อนสังคมของผกก. Spike Lee ###
เห็นสถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้แล้วอยากให้คนไทยได้ดู Do the Right Thing (1989) ผลงานหนังแจ้งเกิดของผกก. Spike Lee มากๆ...
Do the Right Thing เป็นหนังตลกเสียดสี/สะท้อนสังคมผ่านเรื่องราวของหนังที่ว่าด้วยวิถีชีวิตของผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ,ศาสนา,และสาขาอาชีพในย่านคนดำแห่งหนึ่งในบรู๊คลิน สไตล์การเล่าเรื่องของหนังเรื่องนี้จะคล้ายๆกับหนังอย่าง Traffic, Babel คือหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่บอกเล่าเรื่องผ่านมุมมองของหลากหลายผู้คนที่อาศัยอยู่ในย่านคนดำแห่งนี้ โดยมีตัวละครพระเอกของเรื่องที่รับบทโดยตัว Spike Lee เองทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของเรื่องราวทั้งหมด
ด้วยความที่หนังนำเสนอเรื่องราวผ่านมุมมองของหลายๆตัวละคร คนดูจึงได้รับรู้ว่าผู้คนหลากหลายเชื้อชาติในย่านคนดำแห่งนี้ล้วนมี“อคติ”ต่อกันและกันอย่างเข้มข้น(คนดำเกลียดคนขาว,คนอิตาเลียนเกลียดคนดำ,คนเอเชียนโดนทุกคนเกลียด ฯลฯ)และล้วนต้องการให้ความเป็นไปในย่านแห่งนี้เป็นไปในแบบที่พวกตัวเองต้องการโดยไม่เห็นหัวคนอื่น(ฟังดูคุ้นๆมั้ยครับ?) บรรยากาศความกดดันในย่านคนดำในหนังเรื่องนี้จึงไม่ต่างอะไรไปจากภูเขาไฟที่พร้อมจะปะทุได้ตลอดเวลา
หนังนำเสนอได้ดีมากๆในแง่ที่ว่าถ้าหากว่าผู้คนในสังคมไม่มียอมใคร ไม่มีใครยอมเข้าใจหรืออย่างน้อยก็ยอมประนีประนอมผ่อนผันต่อความแตกต่างของกันและกัน(ไม่ว่าจะในแง่ของเชื้อชาติ,ศาสนา,การเมือง) ผลที่ตามมาย่อมเป็นความแตกแยกและความวุ่นวาย(และบางครั้งอาจจบลงด้วยความตาย)เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นในฉากไคลแม็กซ์ของหนังเรื่องนี้เสมอ
Do the Right Thing ไม่ได้เป็นหนังสะท้อนสังคมที่ take itself seriously แบบหนังอย่าง Hotel Rwanda, Crash เสียทีเดียว เพราะยังไงๆหนังเรื่องนี้ก็ยังเป็นหนังตลก(ถึงจะเป็นตลกแบบตลกร้าย ดาร์คๆหน่อย) หลายๆช่วงของหนังตลกมากและการกำกับของ Spike Lee ก็หวือหวา เฟี้ยวฟ้าวใช่เล่น(ลูกพี่ลูกน้องของผมที่กำลังเรียนภาควิชาภาพยนตร์อยู่ที่อเมริกาตอนนี้ก็เล่าให้ผมฟังว่าอาจารย์เปิดหนังเรื่องนี้ให้ดูในคลาส) แต่ภายใต้อารมณ์ขันอันชาลฉลาดและสไตล์การกำกับอันมีเอกลักษณ์ หนังเรื่องนี้ยังเป็นหนังที่มี“ประเด็น”ที่ลึกซึ้งและร่วมสมัยเอามากๆ(จนบางคนยังก่นด่ากรรมการออสการ์มาถึงทุกวันนี้ที่“บังอาจ”ให้ Driving Miss Daisy ได้รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมไปแทนที่ Do the Right Thing)
ในขณะที่หนังสะท้อนสังคมแนวๆนี้มักจะจบแบบมีความหวังหรืออย่างน้อยก็ให้คำตอบกับคนดูว่าความขัดแย้งสามารถยุติได้ด้วยวิธีใดบ้าง ผกก. Spike Lee กลับเลือกที่จะจบหนังของเขาด้วยตอนจบแบบปลายเปิด พร้อมกับให้เหตุผล(ทำนอง)ว่า“ในเมื่อความขัดแย้งทั้งหลายในโลกแห่งความเป็นจริงมันยังไม่ได้จางหายไปไหน ผมจะไปมีหน้าให้คำตอบคนดูเกี่ยวกับวิธีการยุติความขัดแย้งด้วยหนังของผมได้ยังไง?”
...สถานการณ์ในไทยตอนนี้ก็คงไม่ต่างกัน
ตัวอย่างหนัง
ฝากเพจคุยเรื่องหนัง,เพลง,เกม,การ์ตูนแบบจิปาถะแบบตามใจตัวเองของผมด้วยนะครับ >>> https://www.facebook.com/appleoneoone