เรื่องเล่าจากสาวเอ๋อ :: Snoopy boy in Thailand!!

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด หลังจากที่หายหน้าหายตาไปเดือนกว่า เพราะมัวแต่เก็บของ แพคของ และเตรียมตัวกลับเมืองไทยกับสัมภาระกองมหึมาและแพลนสำหรับอีตาสนูปี้ที่จะมาเที่ยวเมืองไทยค่า ^^" หวังว่าจะยังไม่ลืม และไม่เบื่อที่จะอ่านกันซะก่อนนะคะ(เพราะชีอัพกระทู้ได้ช้ามากกกกกกกกกกกก)

ในที่สุด จขกท ก็กลับมาถึงเมืองไทยโดยสวัสดิภาพและไม่ไปกวนประสาทใครจนโดนรุมประชาทัณฑ์ไปซะก่อน ฮ่าๆๆๆ

และในที่สุด นาย ช. หรือสนูปี้บอยก็เดินทางมาถึงเมืองไทยในวันเดียวกันนั่นเองค่ะ ยิ้ม


15 มกราคม 2014...
จขกท เดินออกจากประตูทางออกในสนามบิน เดินมาเรื่อยๆจนถึงจุดนัดพบ และก็เจอท่านแม่ ลูกพี่ลูกน้อง และ...ผู้ชายตัวผอมๆ สูงๆ สิวเยอะๆยิ้มรออยู่ตรงนั้น บอกตรงๆเลยว่า ไปไม่เป็นเลยค่ะ เพราะว่าคุณชายยิ้มน่ารักมากกกก และครั้งล่าสุดท่าเราเจอกันแบบตัวเป็นๆนั่นก็อีตอนที่เรายังเป็นเพื่อนกันอยู่เลย มันก็แอบทำตัวไม่ถูกไปนิดนึง

...แต่สุดท้าย ไมรู้ว่ายังไง จขกท ก็ถูกรวบเข้าไปกอด(หรือเรากอดเค้าก่อนหว่า)โดยหนุ่มแห้งจนได้ หุหุหุ

สนูปี้บอยเดินทางมาถึงเมืองไทยก่อน จขกท สามชั่วโมงค่ะ ก็เลยวานให้พี่สาวไปรับหน่อย และพี่สาวก็น่ารักมาก โดยการพิมพ์ป้ายไปด้วย เผื่อหากันไม่เจอด้วยคำว่า Snoopy Boy โดยที่บอก จขกท ว่า ชั้นอายแทนเค้าจริงๆว่ะแก ="=

เป็นอันตกลงว่า คุณชายมานอนที่บ้าน จขกท ซึ่งเป็นตึกแถวเก่าๆ แต่น้องชายกั้นห้องให้เรียบร้อยพร้อมติดแอร์ มารู้ทีหลังว่าติดแอร์เพื่อนให้อีตาคนนี้มานอนห้องนี้โดยเฉพาะ ซึ่งถ้าฮีเกิดจะย้ายไปนอนที่อื่นคงโดนฆ่าอย่างแน่นอน

คำถามแรกที่ฮีถม จขกท ก็คือ...ห้องน้ำใช้ยังไงอะ เพราะมันเป็นชักโครก แต่ไม่มีที่กด ต้องใช้น้ำราดเอา มีสายชำระซึ่งฮีคงไม่เคยใช้มาก่อนในชีวิต และเมือสาธิตวิธีการใช้ให้เรียบร้อย ฮีก็ยิ้มแหยๆ เหมือนจะรู้ว่า ทริปหฤโหดนี้ยังอีกยาวไกลนัก แน่นอนว่านี่มันเป้นแค่จุดเริ่มต้นนะจ๊ะเด็กน้อย หุหุหุ

จะว่าโชคดีของ จขกท ก็คงใช่ ช่วงที่กลับมาเป้นช่วงที่เมืองไทยกลับมาอากาศเย็นลงอีกครั้ง ไม่อย่างนั้นคนที่เพิ่งมาจากอากาศติดลบอย่าง จขกท ก็คงขาดใจตายเพราะความร้อนเป้นแน่แท้ แต่ถึงกระนั้น ในขณะที่ชาวบ้านใส่เสื้อกันหนาวกัน จขกท ก็ยังคงต้องใส่เสื้อยืดเดินโท่งๆอยู่ดี เพราะมันร้อน TT^TT

เราเริ่มทริปกันในวันถัดมา โดยที่ จขกท โดนปลุดแต่เช้ามืดเพื่อเข้าไปนั่งหลับต่อในรถซึ่งกำลังจะเดินทางไปโคราช โดยที่สนูปี้บอยก็มึนไม่แพ้กันแต่ก็ไม่ได้บ่นอะไรซักคำ น่ารักจริงๆ

ไม่ขอเล่าความน่าเบื่อระหว่างเดินทาง ก็จะขอข้ามไปถึงอาหารไทยมื้อแรก(ไม่นับระหว่างทาง)ของฮีเลยดีกว่า เราไปกินร้านอาหารอีสานซึ่งเจ้าของเป็นเพื่อนของท่านพ่อ จขกท เองค่ะ ไม่ยักรู้ว่าสนูปี้บอยจะสามารถกินอาหารเผ็ดได้มากกว่า จขกท ซะอีกค่ะ แน่นอนว่าฮีชอบส้มตำไทยอย่างสุดๆ และไก่ย่างซึ่งเป็นอาหารขายดีสุดๆของร้านนี้ รวมทั้งลาบเห็ดซึ่งต้องตบตีกับ จขกท นิดหน่อยเพราะมันคือจานโปรดของเก๊าอะนะ

ไม่อยากจะบอกเลยว่า คนที่ควรจะเจ็ทแลกเพราะเปลี่ยนโซนเวลาอย่างชนิดกลับตารปัตรดันไม่ใช่ จขกท แต่เป็นคนที่มาจากประเทศที่เวลาเร็วกว่าแค่สองชั่วโมงอย่างฮีซะงั้น จะว่าฮีเหนื่อย เพราะวันที่เดินทางฮีเพิ่งสอนบัลเล่ต์เสร์ตแล้วตรงไปสนามบินเลยก็ไม่น่าจะใช่ เพราะฮีเล่นนอนหลับทั้งวัน และที่แย่คือนอนบนรถ ซึ่งถ้าใครเคยทำมาก่อนจะรู้ว่ามันทำให้ร่างกายเพลียได้มากขนาดไหน (คนอื่นไม่รู้ แต่ จขกท เป้นก้ะ) และด้วยความที่รถ จขกท เป้นรถรุ่นเก่า เล็ก และแอร์ไม่เย็น ทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งสองที่นั่งอยู่เบาะหลังเกิดอาการน๊อคเอาท์กันแบบกู่ไม่กลับเลยทีเดียว

หลังจากวันนั้นเราก็ตอกย้ำความเหนื่อยด้วยการขับไปอัมพวาอีก และก็แวะกินข้าวที่ร้านอาหารของเพื่อนพ่อ(อีกแล้ว) ซึ่งสองสามวันนั้น คุณชายดูจะเริ่มหมดพลังงานลงเรื่อยๆ จนดูเหมือนคนป่วยไม่มีผิด ส่วน จขกท เองก็ไม่ได้นอนให้เต็มที่เลยตั้งแต่กลับมา สุดท้ายก้เลยฟิวส์ขาด เพราะเริ่มโมโหที่ไม่ว่าเราจะพาไปเที่ยวไหน เค้าก็ดูไม่ค่อยสนุกเลยสักที่ และเมื่อถามว่าอยากไปไหน อยากทำอะไร ก็ไม่ได้คำตอบอื่นนอกจากคำว่า แล้วแต่เธอ ก็เลยเกิดการ"ฉะ"กันขึ้นเป็นครั้งแรก (จริงๆไม่ควรเรียกว่าฉะ ควรเรียกว่า จขกท โวยวายอยู่คนเดียวมากกว่า ^^")

ในที่สุด ก็ได้ข้อสรุปว่า...ปล่อยฮีไปเหอะ...เพราะเราเองก็เหนื่อยมากแล้ว บางทีเราควรจะมานั่งห่วงตัวเองก่อนอาจจะดีกว่า ณ จุดนั้น

สำหรับใครที่อาจเป็นห่วงเรื่องอาหารการกิน ขอบอกเลยว่าสบายใจได่ค่ะ สนูปี้บอยกินง่ายมาก (อาจจะกินน้อย แต่กินได้เนะ) โดยที่ของโปรดคือเฉาก๊วย ขนมครก ส้มตำ และบุฟเฟ่ต์เนื้อย่าง ซึ่งเพราะมีแฟนเป้นมนุษย์ที่มีหลุมดำในกระเพาะอย่าง จขกท ก็เลยได้ตะลุยกินสารพัดอาหาร street food ทั้งหลาย ชอบบ้าง ไม่ชอบบ้าง ก็คละๆกันไปล่ะนะ

และเนื่องจาก จขกท ต้องเดินสายเจอเพื่อนหลายกลุ่ม หลายคน ฮีก็ติดสอยห้อยตามไปด้วยอย่างไม่ปริปากบ่น แต่ทำหน้าเหมือนน้องหมาขาดสารอาหารเกือบตลอดเวลา พอถามว่าเป้นไร ก็บอกแค่ ง่วง หรือเหนื่อย จนกระทั่ง จขกท ทนไม่ไหวอีกรอบ ก็เลยเริ่มวีนแตกอีกครั้ง (เพราะจนบัดนั้นก็ยังไม่ได้นอนชาร์จแบตตัวเองให้เต็มซะที)

จนกระทั้งวันพฤหัส หนึ่งสัปดาห์หลังจากที่ฮีเดินทางมาเมืองไทย เราก็นัดแขกพิเศษ ซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์ของฮีที่กลับมาเมืองไทยพอดี(คนนี้ครึ่งญี่ปุ่นค่ะ) เราก็เลยนัดกันไปเดินเล่นแถวพร้อมพงษ์ และไปเที่ยวเอเชียธีคกันต่อ และนั่นก็ดูเหมือนจะเป็นวันแรกจริงๆตั้งแต่ฮีมาถึง ที่ฮีสามารถยิ้มได้ หัวเราะได้เต็มที่จริงๆ อาจเพราะมีเพื่อนที่ค่อนข้างสนิทมากมาเจอ และมีคนให้พูดภาษาญี่ปุ่นด้วย ก็เลยดูลั้นลามีความสุข ซึ่งก็ทำเอา จขกท แอบน้อยใจพอสมควร เพราะไม่ว่าเราจะพยายามขนาดไหนก็ไม่สามารถทำให้ฮียิ้มได้ขนาดนั้นเลยจริงๆ (ชั้นเหนื่อยแทบตายทำไมไม่ยิ้มให้มันได้ยังงี้ตอนอยู่กะชั้นมั่งล่ะยะ ห๊าาาาา) แต่ก็ไม่อยากพูดอะไร เดี๋ยวฮีเลิกยิ้ม ซึ่งเช้าวันศุกร์(24มกรา)ฮีก็ยังยิ้ม เพราะมันเป้นวันเกิดของฮี และเราก็จะไปกินซีฟู้ดกันตอนเย็น เย้ๆๆๆๆๆ

เรื่องซีฟู้ดนี้ยังไงก็ต้องพาไปค่ะ เพราะมันเป็นรีเควสต์แค่หนึ่งในสองข้อของคุณชายเลยว่าอยากไปทะเล และอยากกินอาหารทะเล(แอบสงสัยว่าประเทศเธอก็เป็นเกาะ ทะเลล้อมรอบ อาหารทะเลเพียบ ทำไมยังอยากกินอีกล่ะน่ะ ="=) ก็เลยพาไปแถวบ้าน ตรงบางขุนเทียนชายทะเล เลือกร้านประจำของ จขกท และจัดการหม่ำ โดยคนที่ฟินที่สุดก็คือ จขกท เองค่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆ

ในที่สุดก็อายุครบ25นะจ๊ะเด็กน้อย ^^

หลังจากนั้นเราก็กลับมาเตรียมเก็บของไปเที่ยวทะเลกัน เย้ๆๆ

จริงๆ จขกท แพลนเอาไว้ว่าจะพาฮีไปเที่ยวเสม็ดค่ะ แต่ด้วยเหตุผลหลายๆอย่างเราเลยต้องเปลี่ยนแพลน ไปทีที่ใกล้กว่า สวยอาจจะไม่เท่า แต่ก็สวยมากสำหรับละแวกนี้ ก็คือเกาะล้านค่ะ โดยที่น้องชาย จขกท เป้นคนขับรถ จัดการหาที่พักให้เรียร้อย และเป้นคนขับมอเตอร์ไซท์ทัวร์รอบเกาะกันอย่างเมามันส์ ตบท้ายด้วยอาหารทะเลสดๆแกล้มเบียร์(จขกท ดื่มเบียร์ไม่เป็นก้ะ) ค้า1คืนแล้วกลับบ้านกันวันรุ่งขึ้น

แต่รีเควสต์ย่อยของคุณชายก็คือ อยากเล่นน้ำทะเล ซึ่งก็ได้เล่นสมใจค่ะ แต่อยู่ในน้ำได้แค่สิบกว่านาทีก็สั่นงั่กๆแล้ว ในขณะที่ จขกท ซึ่งปกติเป้นคนขี้หนาวสุดๆดันยืนชิวแบบไม่รู้สึกอะไรเลย และต้องแบกฮีซึ่งสั่นเป้นหมาน้อยตกน้ำกลับเข้าฝั่งในที่สุด

หลังจากนั้นก็พาฮีไปกินอาหารจานสำคัญซึ่งไม่กินเดี๋ยวจะว่ามาไม่ถึงไทย ก็คือปูผัดผงกะหรี่ค่ะ ร้านไหนน่าจะพอนึกกันออกเนาะ ^^ ซึ่งแน่นอนว่าคุณชายก็หลับตาพริ้ม พร้อมแสยะยิ้มอย่างมีความสุข(เย่ย)

และสุดท้าย คุณชายก็เฉยออกมาในที่สุดว่าสาเหตุของอาการน้องหมาขาดสารอาหารที่ว่าก็คือฮีอยากซ้อมบัลเล่ต์ ซึ่ง จขกท ต้องไปหาครูบัลเล่ต์สุดที่รักแถวลาดพร้าวพอดี ก็เลยพาฮีไปด้วย และตบท้ายด้วยคำแนะนำจากคุณครูให้พาฮีไปเรียนกับคอมปะนีคลาสที่Bangkok city Ballet ซึ่งอยู่แถวทองหล่อในวันอังคารและวันพุธ และในที่สุด จขกท ก็ได้เห็นฮียิ้มจริงๆจังๆซะที โฮ่วววววววววว แน่นอนว่าฮีก็คงรู้สึกเหมือนได้กลับบ้านค่ะ เพราะเท่าที่เห็นในคลาส เป็นคนญี่ปุ่นซะราวๆครึ่งห้องเข้าไปแล้ว แบบนี้จะไม่มีความสุขยังไงไหว T^T

ไม่อยากจะบอกเลยว่า หลังจากนั้น ฮีก็ต้องกลับมาแพคกระเป๋า เพราะต้องเดินทางกลับวันพฤหัสกลางคืน ซึ่ง จขกท ก็นั่งงอแงมาตั้งแต่เช้าวันพุธแล้วล่ะค่ะ โดยที่วันสุดท้าย ก็เลยกะจะทำพานาคอตต้าให้ฮีกินปลอบใจจากที่ได้แต่ดูรูปมาสองสามครั้ง แต่ก็เปลี่ยนแผน มาทำเต้าฮวยฟรุตสลัด(ซึ่งถูกกว่ามากกกก)ให้กินแทน และฮีก็ร้องจะไปชอปปิ้งอีกครั้งก่อนกลับ ตอนนั้นปาเข้าไปสี่โมงแล้ว เราต้องออกจากบ้านกันสองทุ่ม แต่ก็เอ้า ไปก็ไป และเย็นนั้นเอง จขกท ก็ได้เสื้อแจ็กเก็ตมานอนกอดหนึ่งตัว จากการแอบซื้อให้ของฮีนั่นเองค่ะ ขอบอกว่ารสนิยมกุ๊กกิ๊กมากกกกก เสื้อเป้นสีขาว ลายตัวอักษรสีชมพู ซึ่งเราเองก็ไม่กล้าจะบอกเลยว่ามันไม่ใช่รสนิยมช้าน มันน่ารักเกิ๊นนนนนนนน

และแล้ว สองวีคก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุด จขกท ก็พบว่าตัวเองมายืนอยู่ในแอร์พอร์ต กำลังจะ่ส่งฮีขึ้นเครื่องกลับญี่ปุ่นซะแล้ว หลังจากที่ร้องไห้ตาบวมมาตั้งแต่ก่อนขึ้นรถ เพราะนั่งอยู่ในห้องฮี ดูฮีเก็บกระเป๋ารอบสุดท้าย แล้วเตรียมขนลงมาชั้นล่าง เพิ่งรู้จริงๆว่าไอ้ฟีลวิ่งตามรถไฟในหนังหรือเอ็มวีเก่าๆนี่มันเกิดขึ้นได้จริงๆ เพียงแค่ จกท คงไม่มีปัญญาไปวิ่งไล่เครื่องบินบนรันเวย์ก็เท่านั้นล่ะค่ะ

...แล้วฮีก็บินกลับประเทศไป...


วันถัดมา จขกท เกิดอาการพารานอยด์ตตั้งแต่เช้า เพราะตื่นนอนก็เดินลงมาชั้นสองเพื่อปลุกฮีตามปกติ และก็ค้นพบว่า ที่นอนที่เคยอยู่กลางห้องก็โดนลากไปเก้บไว้ที่มุมนึงซะแล้ว และตรงกลางห้องที่เคยมีใครบางคนนั่งอ่านหนังสือหรือนั่งดูวีดีโอบัลเล่ต์อยู่ ก็ไม่มีใครอีก มีแต่ห้องเปล่าๆ มันใจหายเหมือนกันนะ คงเพราะ จขกท ไม่อยู่บ้านนานมากกกก เกือบปีได้ และตั้งแต่วันแรกที่มาถึงเราก็มีเค้าอยุ่ที่บ้านด้วย พอวันนึงเค้ากลับไป ก็รู้สึกว่ามันโหวงๆจริงๆ โดยที่ท่านแม่ก็บอกอยู่เหมือนกันว่า ปกติกลับบ้านมาก็จะเรียกฮีลงมานั่งหน้าหงอยชวนสงสารอยู่ที่โต๊ะกินข้าว พอวันนี้กลับบ้านมาแล้วไม่มีใคร ก็อดไม่ได้เหมือนกันที่จะรู้สึกแปลกๆ

...แหงเสะ รู้หรือยังล่ะว่าทำไมลูกสาวนั่งปาดน้ำตาป้อยๆ...ฮือๆๆๆ

ถามว่าตอนนี้หายงอแงหรือยัง ตอบได้เลยค่ะว่ายัง เพราะมันเพิ่งเมื่อสองสามวันก่อนเอง แต่หลังจากเฟสไทม์ไปแล้วก็รู้สึกดีขึ้นบ้าง ยังต้องร้องเพลงกล่อมให้นอนเหมือนเดิม...แล้วเดี๋ยววันนึง เราก็จะได้เจอกันอีก ถึงจะไม่รู้เมื่อไหร่ก็เถอะ เพราะมันเป้นคิวของ จขกท ที่จะต้องไปหาที่ญี่ปุ่น...เค้าขอหางานหาการทำ เก็บตังค์ก่อนนะตัว สัญญาว่าจะไม่เกินสิ้นปีนะฮ้าาาาาาา

ถึงตอนนั้น ก้คงมีเรื่องพิลึกๆมาเล่าให้ฟังอีกแน่นอนค่ะ ^^

แถมให้...หลังจากเอาฮีมาหากินซะหลายกระทู้ เอารูปมาลงให้ดูกันสักรูปแล้วกันค่ะ จะได้จินตนาการกันง่ายขึ้นว่าหนุ่มผอมแห้งสิวเพียบคนนี้หน้าตาเป้นยังไง ฮ่าๆๆๆ



เผ่นดีกว่า หุหุหุ

ปล. เรื่องนิวยอร์คยังไม่จบนะก๊ะ เดี๋ยวจะมาเล่าต่อแน่นอน ถึงตัวจะกลับมาแต่วีรกรรมไม่มีทางลืมได้ชัวร์ๆๆๆ

ปล.2 วันก่อนไปเซ็นทรัลเวิลด์ มีพี่คนนึงที่เพิ่งมาจากนิวยอร์คเหมือนกันมาทักด้วยว่านั่นใช่หนุ่ม snoopy boy รึเปล่า555 จำได้จากรูปในเฟสบุคน่ะเอง เลยแซวฮีว่า ดังนะเราเนี่ย อิอิอิ ขอบคุณมากๆนะคะที่จำกันได้ด้วย ^^ (ฮีบอก เค้าจำเสื้อแจ็กเก็ตเราได้แน่ๆ เพราะฮีใส่อยู่ตัวเดียวตลอดปีตลอดชาติ ^^")


เต้นบัลเล่ต์ออกฉากแบบเีนียนๆ ฮิ้ววววววววววววว

เม่าบัลเล่ต์เม่าบัลเล่ต์เม่าบัลเล่ต์เม่าบัลเล่ต์เม่าบัลเล่ต์

ปล. อีกรอบ อัพทู้ใหม่แล้วค่า ใครอยากเห็นรูปหนุ่มนุปปี้เพิ่มเชิญเลยนะก๊ะ ^^ pantip.com/topic/31610061
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่