เพื่อนๆคะ อยากให้เพื่อนๆ อ่านเนื้อเรื่องข้างล่างนี้ และช่วยวิเคาระห์ปัญหาของมันว่ามีอะไีรบ้าง เป็นๆข้อๆให้เข้าใจทีคะ ว่าการวิเคราะห์ปัญหา คืออะไร ทำไมถึงเกิดเรื่องนี้ขึ้น จนกลายเป็นเรื่องใหญ่โต*-* เราจะแก้ปัญหานี้ได้ยังไง บ้างคะ
(เป็นเรื่องที่เกิดมานานแล้วคะ)
เมื่อวันเสาร์ที่ 3 มีนาคม 2550 เวลาประมาณ 20.00 น. ดิฉันและครอบครัว
ได้แวะไปทาน Swensen’s สาขาโลตัส บางกะปิ ชั้น 1 (บริเวณใต้บันใดเลื่อน) โดยได้พาพี่สาว ,
หลานสาวอยู่ชั้น ป.5 และหลานชายอยู่ชั้น อนุบาล 3 รวมทั้งหมด 4 คน
Order ที่สั่งมีดังนี้
1. Fifty nine 2 ถ้วย ของพี่สาว 1 ถ้วย, ส่วนอีก 1 ถ้วย หลานสาวขอเป็นรสช็อคโกแลตทั้ง 3 ลูก
2. หลานชาย สั่งช็อคโกแลตซันเดย์ 1 ลูก
3. New favorite beverage โกโก้เย็น 1 แก้ว สำหรับตัวดิฉันเอง
ขณะรับประทานไปได้ไม่ถึง 5 นาที หลานสาว (เด็กหญิงกรบูร สุดดี) บอกว่าไม่รู้
มีอะไรอยู่ในปาก พร้อมกับรีบคายออกมา ปรากฏว่าเห็นเศษชิ้นส่วนที่มีขนาดใหญ่คล้าย ๆ กับเศษน้ำแข็ง
และหลานสาวเข้าใจว่าเป็นน้ำแข็งจึงได้กัด เศษดังกล่าวแตกกระจายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย... พอ
คายออกมา ดิฉันและพี่สาวก็ยังคงเข้าใจว่าเป็นน้ำแข็ง แต่พอมาจับดู จึงรู้สึกผิดปกติ เพราะแข็งมาก
เมื่อนำมาดูใกล้ ๆ จึงพบว่าเป็นเศษพลาสติกที่มีความหนาและมีความคม ด้วยความตกใจ จึงเรียก
พนักงานในร้านให้รีบมาดูว่ามันคืออะไร
ปรากฏว่ามีพนักงานหญิงเสื้อลายขาวดำ 1 ราย เดินเข้ามาดู แล้วบอกว่าขอโทษ
จากนั้น จึงนำเศษดังกล่าวนั้นไป ส่วนดิฉันเองเกรงว่าปากของหลานสาวจะมีอันตรายจากความคมดัง
กล่าว จึงให้พี่สาวพาหลานสาวไปบ้วนปากว่าเกิดแผลในช่องปากหรือไม่ แต่ไม่พบร่องรอยของบาดแผลจึง
โล่งใจ
จากนั้น จึงเรียกพนักงานมาสอบถามอีกครั้ง ว่าชิ้นส่วนเมื่อซักครู่คืออะไร เพราะ
ดิฉันไม่แน่ใจถึงความปลอดภัยของหลานสาว ... พนักงานทุกคนในร้าน ได้แต่ยืนอยู่เฉย ๆ ราวกับว่าไม่
ได้มีอะไรเกิดขึ้น ทุกสายตามองมาที่โต๊ะ คล้ายกับว่าโต๊ะดิฉันทำตัววุ่นวาย .. จนดิฉันเริ่มเกิดความรู้สึก
ที่ไม่ดี เพราะไม่มีใครทุกข์ร้อนอะไรจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น .. ซักพักจึงมีผู้หญิงเสื้อแดง
(ทราบภายหลังว่าเป็น ผู้ช่วยผู้จัดการฯ ของร้าน) เดินเข้ามา แล้วก็บอกกล่าวขอโทษ พร้อมกับแจ้งว่า
ชิ้นส่วนดังกล่าว พนักงานในร้านได้ทิ้งขยะไปแล้ว .. จากนั้นก็ไม่มีการแสดงความรับผิดชอบใด ๆ ออก
มาเลย
ไม่นานนัก หลานสาวได้กลับมาที่โต๊ะอีกครั้ง และได้สอบถามหลายอีกครั้งเพื่อความ
แน่ใจว่าได้กลืนชิ้นส่วนนั้นลงไปหรือไม่ ซึ่งหลานสาวบอกว่าไม่แน่ใจ เพราะเข้าใจว่าเป็นน้ำแข็ง จึงได้
กัดชิ้นส่วนของคำแรก ซึ่งก่อนหน้าของคำนี้มีชิ้นเล็ก ๆ คล้ายแบบชิ้นใหญ่นี้และเคี้ยวไปแล้ว แต่พอกัดคำนี้
แล้วรู้สึกว่าใหญ่ และแข็งมาก จึงได้คายออกมา ... ดิฉันจึงได้ให้พนักงานคนดังกล่าวไปค้นหาชิ้นส่วนดัง
กล่าวให้เจอ จะมาแจ้งเพียงว่าทิ้งไปแล้วเฉย ๆ ไม่ได้ เพราะไม่ทราบว่าเป็นอะไร หรือมีสารอะไร
ปนอยู่ เกรงว่าหลานสาวอาจเกิดอันตรายได้
สุดท้าย พนักงานนำชิ้นส่วนที่ดิฉันส่งไปให้ ซึ่งมี 3-4 ชิ้น คืนมาได้เพียงชิ้นส่วนเล็ก
เพียงชิ้นเดียว (ปัจจุบันได้ส่งให้ผู้จัดการร้านเก็บไว้เป็นหลักฐานแล้ว) ซึ่งเมื่อดิฉันได้มาดูใกล้ ๆ อีกครั้ง
ด้วยความตั้งใจแล้ว จึงพบว่าเป็นเศษแก้วที่มีขนาดใหญ่พอสมควร อีกทั้งมีความคมมาก .. และไม่อยาก
จะเชื่อสายตาของตนเองเลยว่า ร้านไอศกรีมที่มีชื่อเสียง และครอบครัวดิฉันชื่นชอบมาโดยตลอด ทานมา
นานนับเป็นสิบปี อีกทั้งเป็นสมาชิกทุกปี จะมีความสะเพร่าขนาดนี้
โดยขณะที่กำลังสอบถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับพนักงาน ซึ่งได้แต่ยืนฉงน ไม่มีคำ
ตอบใด ๆ ให้กับดิฉันว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร ก็มีพนักงานเสื้อแดง
(ทราบภายหลังว่าเป็นผู้จัดการร้าน ชื่อคุณอรอุมา จิตวุธ) เข้ามาสอบถามเรื่องราว พร้อมยกมือไหว้ขอ
โทษขอโพยเป็นการใหญ่ รวมทั้งสอบถามถึงอาการของน้องด้วยความห่วงใย จึงทำให้คลายความกังวล
และความโกรธที่มี ให้ลดลงไปได้บ้าง
และด้วยความเป็นห่วงหลานสาวดิฉัน จึงบอกว่าขอเช็คบิลเลย (ที่รอเช็คบิล
เพราะบัตรสมาชิกอยู่กับพี่สาว จึงต้องรอให้พี่สาวมาก่อน ซึ่งหมายเลขสมาชิกปีนี้คือ 07120893 บริษัทฯ
สามารถตรวจสอบการเข้าใช้บริการได้ว่าบ่อยเพียงใด) เพราะจะรีบพาหลานไปตรวจที่โรง
พยาบาลรามคำแหง... คุณอรอุมาฯ จึงแสดงความรับผิดชอบเบื้องต้นว่าไม่ขอคิดค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น
เพราะเหตุเกิดเพราะร้านเอง อีกทั้งบอกว่าจะขอเดินทางไปที่โรงพยาบาลด้วย และขอรับผิดชอบค่าใช้
จ่ายทุกอย่าง
เมื่อจะออกมาเรียกแท็กซี่ ปรากฎว่าเป็นช่วงใกล้ปิดห้างแล้ว จึงมีผู้ใช้บริการอยู่
มาก และรถแท็กซี่มีน้อยคันที่จะว่างมา ยืนรออยู่ประมาณ 15 นาที เมื่อมีรถแท็กซี่ว่างมา ดิฉันได้ขอร้อง
จากผู้โดยสารที่อยู่คอยอยู่บริเวณแถวนั้น ว่าขอพาหลานไปโรงพยาบาลก่อน.. จึงได้แท็กซี่มา 1 คัน ..
แต่เมื่อเรียกแท็กซี่คันดังกล่าว ปรากฎว่าแท็กซี่ไม่ไป บอกว่ารถติดมาก.. คุณอรอุมาก็ช่วยขอร้องแท็กซี่ให้
ว่ามีเหตุจำเป็นจริง ๆ และจะขอจ่ายพิเศษให้กับรถแท็กซี่คันดังกล่าว จึงทำให้สามารถเดินทางมายังโรง
พยาบาลได้
เมื่อมาถึงโรงพยาบาลรามคำแหง
(เนื่องจากครอบครัวดิฉันมีประวัติการรักษาอยู่ที่นี่ทุกคน จึงเลือกมาที่โรงพยาบาลนี้) คุณหมอตรวจดูแล้ว
แจ้งว่าหากต้องการให้หลานปลอดภัยจริง ๆ ต้องทำการล้างท้อง เนื่องจากไม่แน่ใจว่าเศษแก้วดังกล่าว
ได้ทำลายช่องทางเดินอาหารด้วยหรือไม่ ต้องใช้วิธีการสอดสายยางผ่านรูจมูก จนถึงกระเพาะอาหาร
.. ซึ่งหลานสาวดิฉันอยู่เพียงชั้น ป.5 แต่ต้องมาได้รับการทุกข์ทรมานจากการทานไอศกรีมที่ตนชื่นชอบ
ดิฉันคิดว่าไม่คุ้มเอาเสียเลย แต่เนื่องจากไม่มีทางเลือก และเพื่อความปลอดภัยของหลานสาว จึงทำให้
ดิฉันต้องตัดสินใจให้หลานล้างท้อง แม้จะต้องทนเห็นภาพที่แสนทรมานสายตาก็ตาม
หลานสาวร้องไห้ทรมานมาก เพราะการสอดสายยางผ่านจากรูจมูกของเด็กจนถึง
กระเพาะอาหาร เพื่อส่งน้ำเกลือเข้าไปล้างกระเพาะครั้งแล้วครั้งแล้ว นานนับชั่วโมง ... เนื่องจาก
ต้องล้างกระเพาะจนกว่าน้ำเกลือจะใส... ทุกคนเห็นแล้วสลดใจมาก
เมื่อล้างท้องเสร็จคุณหมอได้นัดตรวจอีกครั้งเพื่อความปลอดภัย (ใบเสร็จ, ใบ
รับรองแพทย์ และค่าใช้จ่าย คุณอรอุมาฯ เป็นตัวแทนดำเนินการให้และจัดเก็บเอกสารทั้งหมด) ซึ่ง
เหตุการณ์ต่าง ๆ สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้จากคุณอรอุมาฯ เนื่องจากได้อยู่กับครอบครัวดิฉันตลอด จน
กระทั่งคุณหมอทำการตรวจเสร็จ... ภาพความทรงจำในห้องล้างท้องของหลานสาว คงจะติดตาติดใจ
คุณอรอุมาฯ ไปอีกนาน ทั้งนี้ ตลอดเวลาที่เดินทางและอยู่ในโรงพยาบาลคุณอรอุมาฯ ได้กล่าวถึงการ
แสดงความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ และขอออกค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทุกบาททุกสตางค์ จนทำให้ครอบครัวดิฉัน
ไม่อยากที่จะเอาเรื่องกับ Swensen’s
(ถาม) "การวิเคราะห์ปัญหา" ต้องเริ่มจากอะไรบ้างคะ ช่วยอธิบายทีคะ
(เป็นเรื่องที่เกิดมานานแล้วคะ)
เมื่อวันเสาร์ที่ 3 มีนาคม 2550 เวลาประมาณ 20.00 น. ดิฉันและครอบครัว
ได้แวะไปทาน Swensen’s สาขาโลตัส บางกะปิ ชั้น 1 (บริเวณใต้บันใดเลื่อน) โดยได้พาพี่สาว ,
หลานสาวอยู่ชั้น ป.5 และหลานชายอยู่ชั้น อนุบาล 3 รวมทั้งหมด 4 คน
Order ที่สั่งมีดังนี้
1. Fifty nine 2 ถ้วย ของพี่สาว 1 ถ้วย, ส่วนอีก 1 ถ้วย หลานสาวขอเป็นรสช็อคโกแลตทั้ง 3 ลูก
2. หลานชาย สั่งช็อคโกแลตซันเดย์ 1 ลูก
3. New favorite beverage โกโก้เย็น 1 แก้ว สำหรับตัวดิฉันเอง
ขณะรับประทานไปได้ไม่ถึง 5 นาที หลานสาว (เด็กหญิงกรบูร สุดดี) บอกว่าไม่รู้
มีอะไรอยู่ในปาก พร้อมกับรีบคายออกมา ปรากฏว่าเห็นเศษชิ้นส่วนที่มีขนาดใหญ่คล้าย ๆ กับเศษน้ำแข็ง
และหลานสาวเข้าใจว่าเป็นน้ำแข็งจึงได้กัด เศษดังกล่าวแตกกระจายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย... พอ
คายออกมา ดิฉันและพี่สาวก็ยังคงเข้าใจว่าเป็นน้ำแข็ง แต่พอมาจับดู จึงรู้สึกผิดปกติ เพราะแข็งมาก
เมื่อนำมาดูใกล้ ๆ จึงพบว่าเป็นเศษพลาสติกที่มีความหนาและมีความคม ด้วยความตกใจ จึงเรียก
พนักงานในร้านให้รีบมาดูว่ามันคืออะไร
ปรากฏว่ามีพนักงานหญิงเสื้อลายขาวดำ 1 ราย เดินเข้ามาดู แล้วบอกว่าขอโทษ
จากนั้น จึงนำเศษดังกล่าวนั้นไป ส่วนดิฉันเองเกรงว่าปากของหลานสาวจะมีอันตรายจากความคมดัง
กล่าว จึงให้พี่สาวพาหลานสาวไปบ้วนปากว่าเกิดแผลในช่องปากหรือไม่ แต่ไม่พบร่องรอยของบาดแผลจึง
โล่งใจ
จากนั้น จึงเรียกพนักงานมาสอบถามอีกครั้ง ว่าชิ้นส่วนเมื่อซักครู่คืออะไร เพราะ
ดิฉันไม่แน่ใจถึงความปลอดภัยของหลานสาว ... พนักงานทุกคนในร้าน ได้แต่ยืนอยู่เฉย ๆ ราวกับว่าไม่
ได้มีอะไรเกิดขึ้น ทุกสายตามองมาที่โต๊ะ คล้ายกับว่าโต๊ะดิฉันทำตัววุ่นวาย .. จนดิฉันเริ่มเกิดความรู้สึก
ที่ไม่ดี เพราะไม่มีใครทุกข์ร้อนอะไรจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น .. ซักพักจึงมีผู้หญิงเสื้อแดง
(ทราบภายหลังว่าเป็น ผู้ช่วยผู้จัดการฯ ของร้าน) เดินเข้ามา แล้วก็บอกกล่าวขอโทษ พร้อมกับแจ้งว่า
ชิ้นส่วนดังกล่าว พนักงานในร้านได้ทิ้งขยะไปแล้ว .. จากนั้นก็ไม่มีการแสดงความรับผิดชอบใด ๆ ออก
มาเลย
ไม่นานนัก หลานสาวได้กลับมาที่โต๊ะอีกครั้ง และได้สอบถามหลายอีกครั้งเพื่อความ
แน่ใจว่าได้กลืนชิ้นส่วนนั้นลงไปหรือไม่ ซึ่งหลานสาวบอกว่าไม่แน่ใจ เพราะเข้าใจว่าเป็นน้ำแข็ง จึงได้
กัดชิ้นส่วนของคำแรก ซึ่งก่อนหน้าของคำนี้มีชิ้นเล็ก ๆ คล้ายแบบชิ้นใหญ่นี้และเคี้ยวไปแล้ว แต่พอกัดคำนี้
แล้วรู้สึกว่าใหญ่ และแข็งมาก จึงได้คายออกมา ... ดิฉันจึงได้ให้พนักงานคนดังกล่าวไปค้นหาชิ้นส่วนดัง
กล่าวให้เจอ จะมาแจ้งเพียงว่าทิ้งไปแล้วเฉย ๆ ไม่ได้ เพราะไม่ทราบว่าเป็นอะไร หรือมีสารอะไร
ปนอยู่ เกรงว่าหลานสาวอาจเกิดอันตรายได้
สุดท้าย พนักงานนำชิ้นส่วนที่ดิฉันส่งไปให้ ซึ่งมี 3-4 ชิ้น คืนมาได้เพียงชิ้นส่วนเล็ก
เพียงชิ้นเดียว (ปัจจุบันได้ส่งให้ผู้จัดการร้านเก็บไว้เป็นหลักฐานแล้ว) ซึ่งเมื่อดิฉันได้มาดูใกล้ ๆ อีกครั้ง
ด้วยความตั้งใจแล้ว จึงพบว่าเป็นเศษแก้วที่มีขนาดใหญ่พอสมควร อีกทั้งมีความคมมาก .. และไม่อยาก
จะเชื่อสายตาของตนเองเลยว่า ร้านไอศกรีมที่มีชื่อเสียง และครอบครัวดิฉันชื่นชอบมาโดยตลอด ทานมา
นานนับเป็นสิบปี อีกทั้งเป็นสมาชิกทุกปี จะมีความสะเพร่าขนาดนี้
โดยขณะที่กำลังสอบถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับพนักงาน ซึ่งได้แต่ยืนฉงน ไม่มีคำ
ตอบใด ๆ ให้กับดิฉันว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร ก็มีพนักงานเสื้อแดง
(ทราบภายหลังว่าเป็นผู้จัดการร้าน ชื่อคุณอรอุมา จิตวุธ) เข้ามาสอบถามเรื่องราว พร้อมยกมือไหว้ขอ
โทษขอโพยเป็นการใหญ่ รวมทั้งสอบถามถึงอาการของน้องด้วยความห่วงใย จึงทำให้คลายความกังวล
และความโกรธที่มี ให้ลดลงไปได้บ้าง
และด้วยความเป็นห่วงหลานสาวดิฉัน จึงบอกว่าขอเช็คบิลเลย (ที่รอเช็คบิล
เพราะบัตรสมาชิกอยู่กับพี่สาว จึงต้องรอให้พี่สาวมาก่อน ซึ่งหมายเลขสมาชิกปีนี้คือ 07120893 บริษัทฯ
สามารถตรวจสอบการเข้าใช้บริการได้ว่าบ่อยเพียงใด) เพราะจะรีบพาหลานไปตรวจที่โรง
พยาบาลรามคำแหง... คุณอรอุมาฯ จึงแสดงความรับผิดชอบเบื้องต้นว่าไม่ขอคิดค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น
เพราะเหตุเกิดเพราะร้านเอง อีกทั้งบอกว่าจะขอเดินทางไปที่โรงพยาบาลด้วย และขอรับผิดชอบค่าใช้
จ่ายทุกอย่าง
เมื่อจะออกมาเรียกแท็กซี่ ปรากฎว่าเป็นช่วงใกล้ปิดห้างแล้ว จึงมีผู้ใช้บริการอยู่
มาก และรถแท็กซี่มีน้อยคันที่จะว่างมา ยืนรออยู่ประมาณ 15 นาที เมื่อมีรถแท็กซี่ว่างมา ดิฉันได้ขอร้อง
จากผู้โดยสารที่อยู่คอยอยู่บริเวณแถวนั้น ว่าขอพาหลานไปโรงพยาบาลก่อน.. จึงได้แท็กซี่มา 1 คัน ..
แต่เมื่อเรียกแท็กซี่คันดังกล่าว ปรากฎว่าแท็กซี่ไม่ไป บอกว่ารถติดมาก.. คุณอรอุมาก็ช่วยขอร้องแท็กซี่ให้
ว่ามีเหตุจำเป็นจริง ๆ และจะขอจ่ายพิเศษให้กับรถแท็กซี่คันดังกล่าว จึงทำให้สามารถเดินทางมายังโรง
พยาบาลได้
เมื่อมาถึงโรงพยาบาลรามคำแหง
(เนื่องจากครอบครัวดิฉันมีประวัติการรักษาอยู่ที่นี่ทุกคน จึงเลือกมาที่โรงพยาบาลนี้) คุณหมอตรวจดูแล้ว
แจ้งว่าหากต้องการให้หลานปลอดภัยจริง ๆ ต้องทำการล้างท้อง เนื่องจากไม่แน่ใจว่าเศษแก้วดังกล่าว
ได้ทำลายช่องทางเดินอาหารด้วยหรือไม่ ต้องใช้วิธีการสอดสายยางผ่านรูจมูก จนถึงกระเพาะอาหาร
.. ซึ่งหลานสาวดิฉันอยู่เพียงชั้น ป.5 แต่ต้องมาได้รับการทุกข์ทรมานจากการทานไอศกรีมที่ตนชื่นชอบ
ดิฉันคิดว่าไม่คุ้มเอาเสียเลย แต่เนื่องจากไม่มีทางเลือก และเพื่อความปลอดภัยของหลานสาว จึงทำให้
ดิฉันต้องตัดสินใจให้หลานล้างท้อง แม้จะต้องทนเห็นภาพที่แสนทรมานสายตาก็ตาม
หลานสาวร้องไห้ทรมานมาก เพราะการสอดสายยางผ่านจากรูจมูกของเด็กจนถึง
กระเพาะอาหาร เพื่อส่งน้ำเกลือเข้าไปล้างกระเพาะครั้งแล้วครั้งแล้ว นานนับชั่วโมง ... เนื่องจาก
ต้องล้างกระเพาะจนกว่าน้ำเกลือจะใส... ทุกคนเห็นแล้วสลดใจมาก
เมื่อล้างท้องเสร็จคุณหมอได้นัดตรวจอีกครั้งเพื่อความปลอดภัย (ใบเสร็จ, ใบ
รับรองแพทย์ และค่าใช้จ่าย คุณอรอุมาฯ เป็นตัวแทนดำเนินการให้และจัดเก็บเอกสารทั้งหมด) ซึ่ง
เหตุการณ์ต่าง ๆ สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้จากคุณอรอุมาฯ เนื่องจากได้อยู่กับครอบครัวดิฉันตลอด จน
กระทั่งคุณหมอทำการตรวจเสร็จ... ภาพความทรงจำในห้องล้างท้องของหลานสาว คงจะติดตาติดใจ
คุณอรอุมาฯ ไปอีกนาน ทั้งนี้ ตลอดเวลาที่เดินทางและอยู่ในโรงพยาบาลคุณอรอุมาฯ ได้กล่าวถึงการ
แสดงความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ และขอออกค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทุกบาททุกสตางค์ จนทำให้ครอบครัวดิฉัน
ไม่อยากที่จะเอาเรื่องกับ Swensen’s