การเลือกตั้งทั่วไปคราวนี้ เป็นครั้งที่ยุ่งยากที่สุดและมืดมนที่สุด ไม่รู้อนาคตและไม่ทราบว่าจะนำประเทศไปสู่ชะตากรรมใด เมื่อรัฐบาลและ กกต. ตัดสินใจให้เดินหน้าเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ เนื่องจากรัฐบาลยืนกรานไม่ยอมเลื่อน เพราะถึงเลื่อนออกไปปัญหาก็ไม่จบ เดินหน้าต่อไปปัญหาก็ไม่จบ จึงสุ่มเสี่ยงเดินหน้า ถึงแม้จะต้องใช้เวลาถึงครึ่งปี
กกต. หวังจะยึดคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อเลื่อนการเลือกตั้งออก ไป เนื่องจากมีปัญหาและอุปสรรคมากมาย ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสุจริตเที่ยงธรรม แต่คำวินิจฉัยของศาลเพียงแต่ “แนะนำ” ว่าอาจเลื่อนการเลือกตั้งออกไปได้ โดยให้เป็น อำนาจของนายกรัฐมนตรีกับประธาน กกต. หารือกัน แต่ไม่บังคับว่าจะต้องเลื่อน
เมื่อรัฐบาลยืนกรานไม่เลื่อนกกต. จึงไม่มีทางเลือกเป็นอย่างอื่น เพราะอำนาจในการออกพระราชกฤษฎีกาเลื่อนการเลือกตั้งเป็นของนายกรัฐมนตรี รัฐบาล อ้างว่าไม่มีกฎหมายรองรับ กลัวว่านายกรัฐ- มนตรีจะโดนฟ้อง อันที่จริงไม่น่าห่วงเรื่องนี้ เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีผลผูกพันทุกองค์กรรวมทั้งศาล จึงสามารถอ้างเป็นข้อต่อสู้ในศาลได้
แต่เหตุผลที่แท้จริงของรัฐบาลคือการรักษาอำนาจ ต้องเลือกตั้งโดยเร็วที่สุด เพราะเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะ แล้วอ้างต่อชาวโลกได้ว่า ได้รับการสนับสนุนจากประ- ชาชน มากกว่า “มวลมหาประชาชน” กปปส. ที่ปักหลักชุมนุมขับไล่รัฐบาลมาสามเดือน รัฐบาลจึงมีความชอบธรรมที่จะอยู่ในอำนาจต่อไป ต้องเลือกตั้งก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะถูก ป.ป.ช. “สอย”
ส่วน กกต.พยายามชี้ให้เห็นว่าถ้าไม่เลื่อนการเลือกตั้ง จะมีปัญหาขาดกรรม- การประจำหน่วย ไม่มีบัตรเลือกตั้งในหลายหน่วย และมีการชุมนุมขัดขวางการเลือกตั้ง อาจปะทะกับกลุ่มที่เห็นต่าง นำไปสู่เหตุรุน- แรง และถึงจะเลือกตั้งตามกำหนด ก็จะไม่ได้ ส.ส.พอที่จะเปิดประชุมสภา ไม่สามารถเลือกนายกรัฐมนตรีเพื่อจัดตั้งรัฐบาลใหม่ และเกิดสุญญากาศการเมือง
เนื่องจากไม่มีผู้สมัคร ส.ส.ใน 28 เขต จึงขาด ส.ส.ไป 28 คน และไม่สามารถประกาศผลการเลือกตั้ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่ออีก 125 คน เพราะต้องนับคะแนนรวมทั้งประ- เทศ ทั้งยังจะต้องจัดตั้งเลือกตั้งใหม่ซ้ำซาก ต้องใช้เวลาถึง 6 เดือน ว่างทั้งรัฐสภาและรัฐบาล ถาวร การตัดสินใจเดินหน้าเลือกตั้ง พิสูจน์ว่า นักการเมืองสอบตกวิชาปฏิรูปการเมือง
เป็นการสอบตกขั้นพื้นฐานของการปฏิรูปการเมือง ประการแรกคือสุ่มเสี่ยงต่อการนำไปสู่ความรุนแรง ถึงแม้จะมีเหตุร้ายในวันเลือกตั้งล่วงหน้า เป็นหนังตัวอย่าง ยังก้าวไม่ถึงการแก้ปัญหาโดยสันติวิธี ประการที่สอง สอบตกในเรื่อง “จิตสาธารณะ” ยึดถือประโยชน์สุขของบ้านเมืองเป็นตัวตั้ง เพราะ มุ่งรักษาอำนาจตนและพรรคพวกเป็นหลักใหญ่.
ปล.บอกแล้ว ปฎิรูปก่อนเลือกตั้งเถอะ...เอิ๊ก ๆ ๆ
ที่มา:
http://www.thairath.co.th/column/pol/editor/399926
.......สอบตกปฏิรูปขั้นพื้นฐาน........
กกต. หวังจะยึดคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อเลื่อนการเลือกตั้งออก ไป เนื่องจากมีปัญหาและอุปสรรคมากมาย ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสุจริตเที่ยงธรรม แต่คำวินิจฉัยของศาลเพียงแต่ “แนะนำ” ว่าอาจเลื่อนการเลือกตั้งออกไปได้ โดยให้เป็น อำนาจของนายกรัฐมนตรีกับประธาน กกต. หารือกัน แต่ไม่บังคับว่าจะต้องเลื่อน
เมื่อรัฐบาลยืนกรานไม่เลื่อนกกต. จึงไม่มีทางเลือกเป็นอย่างอื่น เพราะอำนาจในการออกพระราชกฤษฎีกาเลื่อนการเลือกตั้งเป็นของนายกรัฐมนตรี รัฐบาล อ้างว่าไม่มีกฎหมายรองรับ กลัวว่านายกรัฐ- มนตรีจะโดนฟ้อง อันที่จริงไม่น่าห่วงเรื่องนี้ เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีผลผูกพันทุกองค์กรรวมทั้งศาล จึงสามารถอ้างเป็นข้อต่อสู้ในศาลได้
แต่เหตุผลที่แท้จริงของรัฐบาลคือการรักษาอำนาจ ต้องเลือกตั้งโดยเร็วที่สุด เพราะเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะ แล้วอ้างต่อชาวโลกได้ว่า ได้รับการสนับสนุนจากประ- ชาชน มากกว่า “มวลมหาประชาชน” กปปส. ที่ปักหลักชุมนุมขับไล่รัฐบาลมาสามเดือน รัฐบาลจึงมีความชอบธรรมที่จะอยู่ในอำนาจต่อไป ต้องเลือกตั้งก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะถูก ป.ป.ช. “สอย”
ส่วน กกต.พยายามชี้ให้เห็นว่าถ้าไม่เลื่อนการเลือกตั้ง จะมีปัญหาขาดกรรม- การประจำหน่วย ไม่มีบัตรเลือกตั้งในหลายหน่วย และมีการชุมนุมขัดขวางการเลือกตั้ง อาจปะทะกับกลุ่มที่เห็นต่าง นำไปสู่เหตุรุน- แรง และถึงจะเลือกตั้งตามกำหนด ก็จะไม่ได้ ส.ส.พอที่จะเปิดประชุมสภา ไม่สามารถเลือกนายกรัฐมนตรีเพื่อจัดตั้งรัฐบาลใหม่ และเกิดสุญญากาศการเมือง
เนื่องจากไม่มีผู้สมัคร ส.ส.ใน 28 เขต จึงขาด ส.ส.ไป 28 คน และไม่สามารถประกาศผลการเลือกตั้ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่ออีก 125 คน เพราะต้องนับคะแนนรวมทั้งประ- เทศ ทั้งยังจะต้องจัดตั้งเลือกตั้งใหม่ซ้ำซาก ต้องใช้เวลาถึง 6 เดือน ว่างทั้งรัฐสภาและรัฐบาล ถาวร การตัดสินใจเดินหน้าเลือกตั้ง พิสูจน์ว่า นักการเมืองสอบตกวิชาปฏิรูปการเมือง
เป็นการสอบตกขั้นพื้นฐานของการปฏิรูปการเมือง ประการแรกคือสุ่มเสี่ยงต่อการนำไปสู่ความรุนแรง ถึงแม้จะมีเหตุร้ายในวันเลือกตั้งล่วงหน้า เป็นหนังตัวอย่าง ยังก้าวไม่ถึงการแก้ปัญหาโดยสันติวิธี ประการที่สอง สอบตกในเรื่อง “จิตสาธารณะ” ยึดถือประโยชน์สุขของบ้านเมืองเป็นตัวตั้ง เพราะ มุ่งรักษาอำนาจตนและพรรคพวกเป็นหลักใหญ่.
ปล.บอกแล้ว ปฎิรูปก่อนเลือกตั้งเถอะ...เอิ๊ก ๆ ๆ
ที่มา:http://www.thairath.co.th/column/pol/editor/399926