เห็นข่าวภาคเที่ยงของช่อง "ผลาญภาษี" แล้ว
เล่นเอาผม "ขรำ" เหมือนตอนที่ "ฮุนเซ็น" หัวเราะ "ไอ้เทือก"
เมื่อครั้งที่ "ไอ้เทือก" แบบไปขอเจรจาลับกับเขมร และ ติดใจ "แกงเลียง" ขแมร์เลยขอรับ !!!!!
ในข่าวนั้นเขาไปสัมภาษณ์ "ม๊อบไอ้เทือก"
ที่แต่ละคนประสานเสียงบอกว่า "จะไม่ไปเลือกตั้ง"
แต่ที่ทำให้ผมฮาก็คือมันบอกว่าการไม่ไปเลือกตั้งคือ "อารยะขัดขืน" ครับ
"ขรำ" จนสำลักน้ำดอกคำฝอยเลยกรู !!!!!!!
วาทกรรม "อารยะขัดขืน" มันมาฮิตในบ้านเรา
จากเหตุการณ์ที่ไอ้อาจารย์ผมยาวของ ม.สามย่าน
ได้ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง และ เลือกที่จะฉีกบัตรเพื่อแสดงออกว่าไม่เห็นด้วยกับการเลือกตั้ง
แถมไอ้หมอนี่ยังไม่มีความผิดอีกต่างหาก (ลองเป็นตาสีตาสารับรองว่าติดคุก 7 ชั่วโคตร)
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น
ไอ้อาจารย์ผมยาวจอมฉีกบัตร
มันก็ยังไปแสดงตัวเพื่อ "ใช้สิทธิ์" นะครับ
เพียงแต่เลือกที่จะไม่ลงคะแนน และ ฉีกบัตรสนองตัณหาของมันเอง
ซึ่งตรงข้ามกับ "ม๊อบไอ้เทือก"
ที่บอกว่าจะไม่ไปใช้สิทธิ์ แต่เศือกเคลมว่าเป็น "อารยะขัดขืน"
"สิทธิ์" ที่ว่านี้
มันไม่ใช่ "สิทธิ์ของรัฐบาล" นะครับ
หากแต่มันคือ "สิทธิ์ของพวกเมิงเอง" ที่เมิง "ขัดขืน"
"อารยะขัดขืน" หรือ "Civil Disobedience"
มันคือการที่ใครซักคนโดน "ละเมิดสิทธิ์" จากอำนาจที่ไม่ชอบธรรม
จากนั้นพวกเขาจึงพากันแสดงออกด้วยการไม่ปฏิบัติตามกฎกติกาต่างๆ
โดยที่ผลของการกระทำของคนเหล่านี้น มันขัดต่อข้อกฏหมายบ้านเมืองครับ
แต่การที่พวกเมิงไม่ไปใช้สิทธิ์
มันไม่ได้ผิดกฏหมายอะไรเลยซักนิด
เพราะ "สิทธิ์" ที่ว่านี้มันคือ "สิทธิ์" ของพวกเมิงทั้งนั้น
หาใช่ "สิทธิ์" ของคนอื่นเขา
และบทลงโทษที่ตราไว้
มันก็คือบทลงโทษที่ "เสียสิทธิ์ทางการเมือง"
หาใช่การโดนลงโทษ จองจำ เอาไปประหาร 7 ชั่วโคตร
"สิทธิ์" ก็เป็นของเมิง.......แล้วตกลงเมิง "อารยะขัดขืน" ตรงไหนว๊ะ ????
ตัวอย่างของ "อารยะขัดขืน" ที่ชัดเจน
คือกรณีของการต่อสู้เพื่อให้ได้สิทธิความเท่าเทียมกันของคนผิวสีที่เมืองลุงแซม
ที่รณรงค์โดยกลุ่ม Civil Rights Movement ที่ต่อต้านกฏที่ให้คนดำ และ คนขาว ต้องแยกห้องน้ำ
และ แยกการใช้งานในพื้นที่สาธารณะอื่นๆ เช่น ร้านอาหาร โรงเรียน และ รถโดยสาร ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของคนดำ
( ใครสนใจก็ลองเข้าไปดูที่นี่ครับ
http://www.crmvet.org/ )
ในปี 1955 Rosa Parks หญิงผิวสี ไม่ยอมลุกให้คนขาวนั่งบนรถเมล์
โดยที่ตอนนั้นมีกฏหมายตราไว้ว่าให้คนดำต้องสละที่นั่งเพื่อให้คนขาวนั่ง
จะเหลือเหรอครับ......Rosa โดนจับขึ้นศาล และ โดน "ตลก เมืองลุงแซม" ตัดสินจำคุก !!!!
เลยทำให้คนผิวสีรวมตัวกันประท้วง
และ ในท้ายที่สุดต้องยกเลิกกฏหมายฉบับนี้
พวกเขาเรียกการประท้วงนี้ว่า Montgomery Bus Boycott ครับ
http://www.montgomeryboycott.com/ (ม๊อบไอ้เทือกลงอไปอ่านดูนะคร๊าฟฟฟฟฟฟ)
แบบที่ป้า Rosa ทำนี่แหละครับ
ที่มันคือ "อารยะขัดขืน" ของจริง
เพราะเป็นการทำเพื่อต่อสู้ในสิทธิ์ที่ตนเองพึงมีพึงได้
ในขณะที่ "ม๊อบไอ้เทือก" ร่วมกันอารยะขัดขืน "สิทธิ์" ที่จริงๆแล้วเป็นของพวกมันเอง (ฮา)
การเริ่มต้นต่อสู้ของ Rosa
เป็นการจุดประกายให้คนผิวสีออกมารวมพลัง
จนท้ายที่สุดมันตามมาด้วยการออกกฏหมายเลือกตั้งที่ชื่อ Voting Rights Act ในปี 1965
และ กฎหมายสิทธิพลเมืองที่เขาเรียกกันว่า Civil Rights Act ในปี 1968 เพื่อให้คน (ไม่ว่าจะผิวสีไหน) มีสิทธิ์เท่าๆกัน !!!
และหากจะเอาแบบใกล้ตัวมาอีกนิด
ก็คงหนีไม่พ้นการ "อารยะขัดขืน" ของ "มหาตะมะ คานธี" ครับ
แถมยังเป็นการต่อสู้แบบ "อหิงสา" อีกต่างหาก (ไม่เหมือนพวก "ไอ้เทือก" ที่ขนอาวุธมาชนิดไปรับจ้างรบที่ลิเบียได้เลย)
อินเดียในยุคที่เป็นอาณานิคมของอังกฤษนั้น
พวกผู้ปกครองเมืองผู้ดีออกกฏหมาย "ห้ามอาบังทำเกลือใช้เอง"
อย่าลืมว่าสมัยก่อนเกลือมีราคาแพงนะครับ เพราะมันคือสิ่งที่ถูกนำมาใช้ในการแปรรูป และ ถนอมอาหาร
การห้ามแขกทำเกลือใช้เอง มันก็คือการบีบให้แขกซื้อเกลือจากฝรั่งนั่นแหละครับ !!!
แถมฝรั่งอังกฤษยังเอารัดเอาเปรียบ
ด้วยการขึ้นภาษีเกลือ ซึ่งทำให้แขกเหลืออดอีกต่างหาก
แหมมมม....ช่างคล้ายกับ "วิกฤติน้ำมันปาล์ม" ในยุคหนึ่งจริงๆโว๊ยยยยย !!!!
คานธีจึงเริ่มทำการประท้วงแบบอหิงสาครับ
เขารวบรวมพลพรรคได้ 78 คน และออกเดินเท้าจากเมือง Sabarmati ไปยังเมือง Dansi
ระหว่างทางที่เดินไปก็จะมีชาวบ้านแห่ออกมาร่วมเดินด้วยนับพัน (แต่คานธีไม่ทำตัวเป็น "ขอทาน" ถือถุงรับบริจาคเงินจากใครครับ)
เมื่อเดินไปจนถึงจุดหมาย
คานธี และ พลพรรค ก็ทำการ "อารยะขัดขืน"
ด้วยการลงมือทำเกลือเพื่อเอาไว้ใช้เอง ซึ่งเป็นการกระทำในเชิงสัญญลักษณ์
การ "อารยะขัดขืน" ของมหาบุรุษผู้นี้ดังไปทั่วโลก
และ จุดประกายให้บรรดาอาบังทั้งหลายลุกขึ้นมาผลิตเกลือใช้เอง
และ ลงท้ายด้วยคานธีพร้อมทั้งประชาชนจำนวนมากโดนจับไปคุมขังครับ
ประชาชนชาวภารตะก็เลยลุกฮือทั้งประเทศ
จนผู้สำเร็จราชการเมืองผู้ดีต้องยอมแก้กฎหมายให้ "สิทธิ์" การทำเกลือกับคนแขก
โลกนิยามเหตุการณ์นี้ว่า The Salt March ซึ่งท้ายที่สุดมันลงเอยด้วยเอกราชของคนอินเดียครับ
http://www.history.com/topics/salt-march
"อารยะขัดขืน" มันควรมาจากการที่เราโดน "ละเมิดสิทธิ์"
แต่หากเมิง "มีสิทธิ์" ที่ว่านั้นอยู่กับตัวเมิงแล้ว แต่เมิงเลือกที่จะ "ไม่ใช้สิทธิ์"
แบบนั้นเขาไม่เรียก "อารยะขัดขืน" หรอกครับ แต่มันน่าจะเรียกว่า "เขลา ขัด ขืน" ซะมากกว่า
แต่พวกกรูต่างหากที่โดนเมิง "ละเมิดสิทธิ์"
และ พวกกรูจะออกไป "ใช้สิทธิ์" ครับ
++++++++++ .......... เ ฮ้ ....!!!!!!!!!!..........ต า ม ส บ า ย เ ล ย เ ทื อ ก .......... ++++++++++
เล่นเอาผม "ขรำ" เหมือนตอนที่ "ฮุนเซ็น" หัวเราะ "ไอ้เทือก"
เมื่อครั้งที่ "ไอ้เทือก" แบบไปขอเจรจาลับกับเขมร และ ติดใจ "แกงเลียง" ขแมร์เลยขอรับ !!!!!
ในข่าวนั้นเขาไปสัมภาษณ์ "ม๊อบไอ้เทือก"
ที่แต่ละคนประสานเสียงบอกว่า "จะไม่ไปเลือกตั้ง"
แต่ที่ทำให้ผมฮาก็คือมันบอกว่าการไม่ไปเลือกตั้งคือ "อารยะขัดขืน" ครับ
"ขรำ" จนสำลักน้ำดอกคำฝอยเลยกรู !!!!!!!
วาทกรรม "อารยะขัดขืน" มันมาฮิตในบ้านเรา
จากเหตุการณ์ที่ไอ้อาจารย์ผมยาวของ ม.สามย่าน
ได้ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง และ เลือกที่จะฉีกบัตรเพื่อแสดงออกว่าไม่เห็นด้วยกับการเลือกตั้ง
แถมไอ้หมอนี่ยังไม่มีความผิดอีกต่างหาก (ลองเป็นตาสีตาสารับรองว่าติดคุก 7 ชั่วโคตร)
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น
ไอ้อาจารย์ผมยาวจอมฉีกบัตร
มันก็ยังไปแสดงตัวเพื่อ "ใช้สิทธิ์" นะครับ
เพียงแต่เลือกที่จะไม่ลงคะแนน และ ฉีกบัตรสนองตัณหาของมันเอง
ซึ่งตรงข้ามกับ "ม๊อบไอ้เทือก"
ที่บอกว่าจะไม่ไปใช้สิทธิ์ แต่เศือกเคลมว่าเป็น "อารยะขัดขืน"
"สิทธิ์" ที่ว่านี้
มันไม่ใช่ "สิทธิ์ของรัฐบาล" นะครับ
หากแต่มันคือ "สิทธิ์ของพวกเมิงเอง" ที่เมิง "ขัดขืน"
"อารยะขัดขืน" หรือ "Civil Disobedience"
มันคือการที่ใครซักคนโดน "ละเมิดสิทธิ์" จากอำนาจที่ไม่ชอบธรรม
จากนั้นพวกเขาจึงพากันแสดงออกด้วยการไม่ปฏิบัติตามกฎกติกาต่างๆ
โดยที่ผลของการกระทำของคนเหล่านี้น มันขัดต่อข้อกฏหมายบ้านเมืองครับ
แต่การที่พวกเมิงไม่ไปใช้สิทธิ์
มันไม่ได้ผิดกฏหมายอะไรเลยซักนิด
เพราะ "สิทธิ์" ที่ว่านี้มันคือ "สิทธิ์" ของพวกเมิงทั้งนั้น
หาใช่ "สิทธิ์" ของคนอื่นเขา
และบทลงโทษที่ตราไว้
มันก็คือบทลงโทษที่ "เสียสิทธิ์ทางการเมือง"
หาใช่การโดนลงโทษ จองจำ เอาไปประหาร 7 ชั่วโคตร
"สิทธิ์" ก็เป็นของเมิง.......แล้วตกลงเมิง "อารยะขัดขืน" ตรงไหนว๊ะ ????
ตัวอย่างของ "อารยะขัดขืน" ที่ชัดเจน
คือกรณีของการต่อสู้เพื่อให้ได้สิทธิความเท่าเทียมกันของคนผิวสีที่เมืองลุงแซม
ที่รณรงค์โดยกลุ่ม Civil Rights Movement ที่ต่อต้านกฏที่ให้คนดำ และ คนขาว ต้องแยกห้องน้ำ
และ แยกการใช้งานในพื้นที่สาธารณะอื่นๆ เช่น ร้านอาหาร โรงเรียน และ รถโดยสาร ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของคนดำ
( ใครสนใจก็ลองเข้าไปดูที่นี่ครับ http://www.crmvet.org/ )
ในปี 1955 Rosa Parks หญิงผิวสี ไม่ยอมลุกให้คนขาวนั่งบนรถเมล์
โดยที่ตอนนั้นมีกฏหมายตราไว้ว่าให้คนดำต้องสละที่นั่งเพื่อให้คนขาวนั่ง
จะเหลือเหรอครับ......Rosa โดนจับขึ้นศาล และ โดน "ตลก เมืองลุงแซม" ตัดสินจำคุก !!!!
เลยทำให้คนผิวสีรวมตัวกันประท้วง
และ ในท้ายที่สุดต้องยกเลิกกฏหมายฉบับนี้
พวกเขาเรียกการประท้วงนี้ว่า Montgomery Bus Boycott ครับ
http://www.montgomeryboycott.com/ (ม๊อบไอ้เทือกลงอไปอ่านดูนะคร๊าฟฟฟฟฟฟ)
แบบที่ป้า Rosa ทำนี่แหละครับ
ที่มันคือ "อารยะขัดขืน" ของจริง
เพราะเป็นการทำเพื่อต่อสู้ในสิทธิ์ที่ตนเองพึงมีพึงได้
ในขณะที่ "ม๊อบไอ้เทือก" ร่วมกันอารยะขัดขืน "สิทธิ์" ที่จริงๆแล้วเป็นของพวกมันเอง (ฮา)
การเริ่มต้นต่อสู้ของ Rosa
เป็นการจุดประกายให้คนผิวสีออกมารวมพลัง
จนท้ายที่สุดมันตามมาด้วยการออกกฏหมายเลือกตั้งที่ชื่อ Voting Rights Act ในปี 1965
และ กฎหมายสิทธิพลเมืองที่เขาเรียกกันว่า Civil Rights Act ในปี 1968 เพื่อให้คน (ไม่ว่าจะผิวสีไหน) มีสิทธิ์เท่าๆกัน !!!
และหากจะเอาแบบใกล้ตัวมาอีกนิด
ก็คงหนีไม่พ้นการ "อารยะขัดขืน" ของ "มหาตะมะ คานธี" ครับ
แถมยังเป็นการต่อสู้แบบ "อหิงสา" อีกต่างหาก (ไม่เหมือนพวก "ไอ้เทือก" ที่ขนอาวุธมาชนิดไปรับจ้างรบที่ลิเบียได้เลย)
อินเดียในยุคที่เป็นอาณานิคมของอังกฤษนั้น
พวกผู้ปกครองเมืองผู้ดีออกกฏหมาย "ห้ามอาบังทำเกลือใช้เอง"
อย่าลืมว่าสมัยก่อนเกลือมีราคาแพงนะครับ เพราะมันคือสิ่งที่ถูกนำมาใช้ในการแปรรูป และ ถนอมอาหาร
การห้ามแขกทำเกลือใช้เอง มันก็คือการบีบให้แขกซื้อเกลือจากฝรั่งนั่นแหละครับ !!!
แถมฝรั่งอังกฤษยังเอารัดเอาเปรียบ
ด้วยการขึ้นภาษีเกลือ ซึ่งทำให้แขกเหลืออดอีกต่างหาก
แหมมมม....ช่างคล้ายกับ "วิกฤติน้ำมันปาล์ม" ในยุคหนึ่งจริงๆโว๊ยยยยย !!!!
คานธีจึงเริ่มทำการประท้วงแบบอหิงสาครับ
เขารวบรวมพลพรรคได้ 78 คน และออกเดินเท้าจากเมือง Sabarmati ไปยังเมือง Dansi
ระหว่างทางที่เดินไปก็จะมีชาวบ้านแห่ออกมาร่วมเดินด้วยนับพัน (แต่คานธีไม่ทำตัวเป็น "ขอทาน" ถือถุงรับบริจาคเงินจากใครครับ)
เมื่อเดินไปจนถึงจุดหมาย
คานธี และ พลพรรค ก็ทำการ "อารยะขัดขืน"
ด้วยการลงมือทำเกลือเพื่อเอาไว้ใช้เอง ซึ่งเป็นการกระทำในเชิงสัญญลักษณ์
การ "อารยะขัดขืน" ของมหาบุรุษผู้นี้ดังไปทั่วโลก
และ จุดประกายให้บรรดาอาบังทั้งหลายลุกขึ้นมาผลิตเกลือใช้เอง
และ ลงท้ายด้วยคานธีพร้อมทั้งประชาชนจำนวนมากโดนจับไปคุมขังครับ
ประชาชนชาวภารตะก็เลยลุกฮือทั้งประเทศ
จนผู้สำเร็จราชการเมืองผู้ดีต้องยอมแก้กฎหมายให้ "สิทธิ์" การทำเกลือกับคนแขก
โลกนิยามเหตุการณ์นี้ว่า The Salt March ซึ่งท้ายที่สุดมันลงเอยด้วยเอกราชของคนอินเดียครับ
http://www.history.com/topics/salt-march
"อารยะขัดขืน" มันควรมาจากการที่เราโดน "ละเมิดสิทธิ์"
แต่หากเมิง "มีสิทธิ์" ที่ว่านั้นอยู่กับตัวเมิงแล้ว แต่เมิงเลือกที่จะ "ไม่ใช้สิทธิ์"
แบบนั้นเขาไม่เรียก "อารยะขัดขืน" หรอกครับ แต่มันน่าจะเรียกว่า "เขลา ขัด ขืน" ซะมากกว่า
แต่พวกกรูต่างหากที่โดนเมิง "ละเมิดสิทธิ์"
และ พวกกรูจะออกไป "ใช้สิทธิ์" ครับ