30 มกราคม2557
ถึงลูกของพ่อ
เมื่อวันก่อนลูกโทรถามพ่อว่าในวันอาทิตย์หน้าพ่อจะไปเลือกตั้งสส.หรือไม่ พ่อจำได้ว่าพ่อบอกเอ็งว่าพ่อขอคิดดูก่อน เห็นลูกทำท่างงๆแล้วก็เฉยไป ความจริงพ่ออยากจะตอบคำถามของลูกในวันนั้นเหมือนกันแต่แล้วก็คิดว่าน่าจะลองตรึกตรอง และหาคำตอบที่เป็นเหตุเป็นผลจากใจจริงๆของพ่อ จึงตัดสินใจเขียนจดหมายนี้มาถึงลูกอีกสักครั้ง
ในวันอาทิตย์หน้าพ่อจะไปเลือกตั้งสส. ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าเค้าจะมีให้เลือกหรือเปล่า(เพราะเห็น กกต.ทำท่าอยากจะอ้วกเมื่อพูดถึงการเลือกตั้ง)พ่อมีเหตุผลส่วนตัวอยู่หลายอย่าง ก่อนอื่นพ่อจะเล่าประวัติให้ลูกฟังว่า เมื่อครั้งตอนที่พ่ออายุ 12 ขวบตอนนั้นบ้านเรามีการเลือก สส.เป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่พ่อเกิดมาพ่อจำได้ว่า ปู่ของเอ็งซึ่งตอนนั้นรับราชการอยู่ต่างจังหวัดอุตส่าห์กลับบ้านมาที่กรุงเทพเพื่อจะเลือก สส.ตอนนั้นในกรุงเทพบ้านเราก็มีพรรคการเมืองที่สู้กันอยู่แค่พรรคประชาธิปัตย์ ตอนนั้นรู้สึกว่าเมียนายควง อภัยวงศ์ จะเป็นหัวหน้าพรรค(ภายหลังจากเกิดศึกฟ้องแย่งชื่อพรรค) กับพรรคสหประชาไทยของจอมพลถนอม กิตติขจร พ่อจำได้แม่นยำว่าปู่ของเอ็ง(ซึ่งตอนนั้นเป็นพันตรีทหารบก)พาพ่อไปเลือกตั้งด้วย เราสองคนพ่อลูกเข้าไปในคูหาเลือกตั้งด้วยกัน(ตอนนั้นกระทรวงมหาดไทยเป็นคนจัดการเลือกตั้ง ซึ่งถ้าคนจัดเป็น กกต.ชุดปัจจุบันเขาคงจะไม่ให้เข้าทั้งพ่อทั้งลูก)
ปู่เอ็งบอกกับกรรมการเลือกตั้งว่าอยากให้ลูกเข้าไปเลือกตั้งด้วยมันจะได้รู้จักประชาธิปไตยซึ่งเขาก็อนุญาต(โชคดีในตอนนั้นไม่มีคณะกรรมการชุดใดมาปิดหน่วยเลือกตั้งพ่อกับปู่จึงไม่ต้องปีนเข้าไป)พ่อเข้าไปเห็นปู่กาบัตรเลือกตั้งแล้วก็เอามาหย่อนใส่ตู้แล้วสองคนพ่อลูกก็เดินกลับไปกินข้าวบ้าน ระหว่างทางพ่อถามปู่ว่า “เลือกใคร?” ปู่หันกลับมามองหน้า แล้วพูดเบาๆว่า“เลือกพรรคประชาธิปัตย์(ไม่รู้ว่ากลัวคนอื่นได้ยินหรือกลัวพ่อโกรธ)”พ่อฟังแล้วก็เฉยๆ เพราะตอนนั้นยังเป็นเด็กไม่รู้จักว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นใคร รู้แต่ว่าปู่ชอบอ่านหนังสือพิมพ์ แล้วชมเปาะว่า“พรรคประชาธิปัตย์นี้มันเก่ง มันกล้าด่าทหาร มันกล้าด่าจอมพลถนอม(หลายครั้งปู่เคยพูดว่ามันกล้าด่าแม้พวกเดียวกัน)”
ตอนนั้นพ่อก็ไม่ได้คิดอะไรคิดแต่ว่าการเลือกตั้งเป็นของเล่นของผู้ใหญ่เพราะรู้จากปู่ว่าพรรคสหประชาไทยของจอมพลถนอมก็ชนะการเลือกตั้ง และหลังจากนั้นไม่กี่ปีจอมพลถนอมก็ทำการรัฐประหารยุบสภา ล้มรัฐธรรมนูญ เห็นพรรคประชาธิปัตย์ก็เฉยๆ ไม่ได้มากระดี๊กระด๊าตื่นเต้นโวยวายหรือคัดค้านอะไร(มารู้ตอนหลังที่เรียนธรรมศาสตร์ว่าคนของพรรคประชาธิปัตย์เคยจ้างคนไปตะโกนในโรงหนังเฉลิมกรุงว่านายปรีดีพนมยงค์ฆ่าในหลวง ร.8)
ที่เล่ามายืดยาวเพียงจะให้ลูกได้รู้ว่าเมื่อตอนพ่ออายุ 12 ขวบก็รู้จักการเลือกตั้งแล้ว หลังจากนั้นเมื่อพ่ออายุครบเกณฑ์ที่เขาให้สิทธิ์พ่อก็ไปเลือกตั้งทุกครั้ง
พ่อจะไปเลือกตั้งในวันที่อาทิตย์ที่2 กุมภาพันธ์นี้เพราะอะไร พ่อมีเหตุผลอยู่สี่ห้าอย่าง
ประการแรก การที่พ่อจะไปเลือกตั้งลงคะแนนเสียงนั้นไม่ได้แปลว่าพ่ออยากจะเอาชนะคะคานกับไอ้คนที่มาสั่งห้ามไม่ให้พ่อไปเลือกตั้ง(เพราะถ้าคนแบบไอ้พวกนี้มาสั่งให้พ่อไปเลือกตั้งพ่อก็จะไปเลือกตั้งอยู่ดี เพราะพ่อตั้งใจอยู่แล้ว) และพ่อก็ไม่ได้คิดว่าเสียงของพ่อจะมีความหมายถึงขนาดเปลี่ยนแปลงประเทศไทยได้แ
ต่พ่อคิดว่าพ่อไปเลือกตั้งเพื่อแสดงว่าพ่อไม่ชอบระบอบเผด็จการตั้งแต่สมัยถนอมประภาส สุจินดาพ่อไม่ชอบให้ใครเอากำลังทหารมาข่มขู่คนนู้นคนนี้หรือเอาม้อบมาบีบบังคับคนโน้นคนนี้ (รวมทั้งมาหลอกล่อว่าจะปฏิรูปให้เสร็จก่อนแล้วจึงจะให้มีการเลือกตั้ง ทั้ง ๆ ที่ตัวมันก็ยังไม่รู้ว่าจะปฏิรูปอะไร)
อีกอันหนึ่งลูกอาจจะถามพ่อว่าแล้วจะมีประโยชน์อะไร เพราะพวก กกต.เขาก็บอกว่าเลือกตั้งไปแล้วก็ไม่สมบูรณ์ สส.ไม่ครบเปิดประชุมสภาไม่ได้พ่อคิดว่าประชาชนอย่างพ่อเมื่อ
ไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งก็เป็นการใช้สิทธิ์ของพ่อเท่านั้นการที่จะมี สส.ครบหรือไม่ครบเปิดประชุมสภาได้หรือไม่ได้เป็นเรื่องที่ต้องว่ากันต่อไป(เพราะที่ผ่านมาเวลาเขามี สส. อยู่เต็มสภา แล้วมีทหารลากรถถังออกมารัฐประหารล้มรัฐธรรมนูญ ยกเลิกรัฐสภาก็ไม่เห็น กำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ หรือกำนันสมชัย ศรีสุทธิยากร ออกมามีเสียงหืออือหรือเป่านกหวีดเป่าแตรอะไรทั้งสิ้น)
คนเค้าอาจจะถามเราว่ามันจะมีความวุ่นวายถ้ามีการเลือกตั้งเพราะจะต้องมีการชุมนุมประท้วงปิดหน่วยเลือกตั้ง ขัดขวางการเลือกตั้ง บ้านเมืองจะวุ่นวาย(อันนี้เป็นความเห็นของ กกต.กำนันสมชัย ศรีสุทธิยากร)และเป็นการเปลืองเงินเปลืองทองงบประมาณของชาติโดยใช่เหตุ(อันนี้เป็นความเห็นของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินซึ่ง
ปกติเวลาเขาซื้อเครื่องบิน รถถัง เรือรบหรือผู้หลักผู้ใหญ่เอาเงินหลวงส่งลูกเรียนปริญญาโทที่เมืองนอก เห็นเงียบฉี่ไม่เห็นเคยให้ความเห็นเรื่องเปลืองเงินเปลืองทองเลยซักครั้งเดียว อันนี้ไม่ได้นินทาทหารหรือตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชุดปัจจุบันแต่อย่างใดทั้งสิ้น)
พ่อยังเห็นอีกอย่างว่ามันมีคนโพนทะนาว่าเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นโมฆะ(ทั้งๆที่ยังไม่มีการเลือกตั้งเกิดขึ้นเลยแสดงว่าต้องเป็นความฝันของกกต.กำนันสมชัยอย่างแน่นอนเพราะคราวที่แล้วก็แม่นชนิดเซียนหวยอ้าปากหวอ) พ่ออยากจะบอกลูกว่า
การเลือกตั้งจะเป็นโมฆะหรือไม่มันเป็นคนละเรื่องกับว่าเราจะไปเลือกตั้งหรือเปล่าเพราะวันที่พ่อไปขอแม่เอ็งเป็นเมียพ่อก็ยังไม่รู้ว่าในอนาคตจะได้อยู่กินด้วยกันถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชรเหมือนวันนี้หรือไม่เพราะหากพ่อไปกลัวเสียตั้งแต่ยังไม่ได้ไปขอเมียว่าจะต้องเลิกกันเสียชาตินี้คงไม่ต้องมีเมียแน่(ขอโทษที่ยกตัวอย่างออกไปทางอีโรติคเสียนิดหน่อยความจริงน่าจะยกตัวอย่างว่า ทำไมวันที่กกต.กำนันสมชัยไปสมัครเป็นกกต.อุตส่าห์แสดงนโยบายโวหารเสียเยอะแยะ ไม่เคยคิดไว้ก่อนหรือว่าเป็นกกต.ได้สองวันแล้วจะต้องเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุกะทันหัน ทำให้ประเทศชาติเสียเงินเสียทองเสียเวลาในการคัดสรรลากตั้งกกต.กำนันสมชัยมาเป็นกกต.ในวันนี้)
อีกอย่างหนึ่งเมื่อเช้าพ่อได้อ่านหนังสือพิมพ์เห็นเขาเอาความเห็นของนายมีชัย ฤชุพันธุ์ (ท่านเป็นอดีตนักกฎหมายใหญ่ เคยอยู่กฤษฎีกา และเป็นรัฐมนตรีดูแลเรื่องกฎหมายของรัฐบาลเปรมรัฐบาลสุจินดาอยู่ยาวนานรวมทั้งเป็นคนที่ร่างกฎหมายนิรโทษกรรมให้รัฐบาลสุจินดาพ้นผิดในกรณีมีคนตายจากการชุมนุมในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬในปี 2535) ท่านให้ความเห็นในหัวข้อว่า ประชาชนควรไปใช้สิทธิเลือกตั้งในวันที่ 2กุมภานี้ (ซึ่งถ้าลูกได้อ่านโดยใช้สติสัมปชัญญะของวิญญูชนแล้วลูกจะเห็นว่ามันเป็นบทความที่ชี้ให้เห็นว่าจะช่วยกันทำอย่างไรให้การเลือกตั้งในวันที่2 กุมภาพันธ์นี้เกิดขึ้นไม่ได้) พ่ออ่านแล้วก็เลยเกิดความเชื่อมั่นว่าสิ่งที่พ่อคิดมันน่าจะถูกเพราะตั้งแต่จบกฎหมายที่ธรรมศาสตร์มาเวลากำนันมีชัยมีความเห็นอย่างไรพ่อมักจะรู้สึกว่ามันเพี้ยนไปทุกที(ล่าสุดกำนันมีชัยเคยให้ความเห็นว่าพรบ.นิรโทษกรรมฉบับที่กำนันสุเทพต่อต้านนั้นเป็นพรบ.นิรโทษกรรมที่ผิดหลักกฎหมายทั้งที่ก็ไม่ได้แตกต่างกับพรบ.นิรโทษกรรมรัฐบาลสุจินดาที่แกเขียนแต่อย่างใด อันนี้พลตรีจำลอง พี่พิภพ ธงไชย อาจารย์ปริญญา เทวานฤมิตรกุล ฯลฯ และบรรดาเพื่อนพ้องของท่านรวมทั้งตัวพ่อเองที่ได้ช่วยกันเรียกร้องนายกที่มาจากการเลือกตั้งในเหตุการณ์นั้นน่าจะรู้ดี) พ่อเลยยิ่งเชื่อว่า พ่อต้องไปเลือกตั้งแน่ๆ
ไหนๆก็บอกว่าจะไปเลือกตั้งแล้ว พ่ออยากจะบอกลูกว่าถ้าพ่อไปเลือกตั้งและมีคนของกำนันสุเทพ มาชุมนุมโดยสงบ (แต่เป่านกหวีด ตะโกนด่าพ่อและใช้รถเครื่องขยายเสียงปราศรัยข่มขู่) โดยสันติ(แต่เอาชายฉกรรจ์และผู้คนจำนวนหนึ่งใส่หมวกแก๊บ รูปร่างสูงใหญ่และด่าเก่ง มายืนปิดกั้นขวางไม่ให้มีทางเข้าออกหน่วยเลือกตั้ง)และปราศจากอาวุธ(อันนี้ไม่แน่ใจเพราะดูจากโทรทัศน์เห็นอะไรที่ไม่คิดว่าจะเห็นจากกลุ่มนี้)รวมทั้งใช้หลักอหิงสา(สงสัยจะแปลผิดเพราะดูจากข่าวแล้วเห็นว่าใช้หลักอหิงสาด้วยการบีบคอคนที่จะเข้าไปเลือกตั้งหรืออหิงสาแบบฉุดกระชากลากถูไม่ให้เข้าไปใช้สิทธิเลือกตั้ง) แล้วพ่อจะทำยังไง
อยากจะบอกว่าเอ็งไม่ต้องห่วงพ่อพ่อมีวิธีการที่จะเข้าไปใช้สิทธิในหน่วยเลือกตั้งได้อยู่แล้ว แม้ว่าจะแก่แม้ว่าจะมีอายุมากไม่สามารถปีนรั้วข้ามไปเหมือนสาวๆในข่าวทีวีแต่พ่อก็ไม่ยอมให้ใครมาบีบคอเหมือนไอ้หนุ่มคนนั้น พ่อคิดว่าจะพยายามคุยกับบรรดาลูกน้องกำนันสุเทพดีๆว่าพ่อมาใช้สิทธิเลือกตั้งโดยสงบสันติ ปราศจากอาวุธ และโดยหลักอหิงสาซึ่งกำนันสุเทพอนุญาตให้มาใช้ได้(อันนี้พ่อ

)ขอพวกอย่าได้มาขัดขวางเลย ซึ่งถ้าเค้าไม่ยอมคงจะต้องคิดหาทางแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากัน
แต่ที่พ่อห่วงก็คือแม่เอ็งที่จะต้องไปใช้สิทธิเลือกตั้งพร้อมกับพ่อเพราะถ้าพวกของกำนันสุเทพใช้ไม้เด็ดโดยเอาพระหนุ่มที่เป็นหลวงปู่(ปู่ของใครพ่อก็ไม่รู้)มากีดขวางทางเข้าหน่วยเลือกตั้งและยื้อยุดฉุดกระชากไม่ให้คนเข้าเลือกตั้งแม่เอ็งคงหมดสิทธิเข้าไปใช้สิทธิเลือกตั้งเพราะแม่เค้าถือเรื่องที่จะผู้หญิงจะต้องไปถูกผ้าเหลืองเพราะจะทำให้ศาสนาเสื่อมและพระองค์นั้นจะต้องอาบัติ(ซึ่งพ่อก็บอกไปหลายทีแล้วว่าท่านอาบัติเรื่องอื่นไปหลายหนแล้วโดนอีกซักครั้งคงไม่เป็นไรมั้ง)
ที่เขียนมาทั้งหมดก็เพื่อจะบอกลูกว่า ถ้าวันที่ 2 กุมภา เค้ายังจะมีการเลือกตั้งกันอยู่พ่อก็จะไปเลือกตั้ง แต่เหนือกว่าการไปเลือกตั้งก็เหมือนกับที่พ่อเคยสอนลูกไว้ว่าประเทศไทยใหม่ที่รุ่งเรืองไพบูลย์นั้น ยังต้องเดินทางกันอีกยาวไกลเพราะการเริ่มต้นของเรานั้น มาจากจุดเริ่มต้นไม่ไกลนัก
บรรพวีรชนของเราที่เสียเลือดเสียเนื้อและร่วมแรงเปลี่ยนแปลงสังคมไทยในอดีตมาจนปัจจุบันต่างเผชิญปัญหาเดียวกับที่เรากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบันต้องแก้ไขและต่อสู้กับศัตรูที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง ซึ่งใช้เล่ห์เพทุบายหลากหลายวิธีการ ทั้งข่มขู่ คุกคาม หลอกลวง ปลิ้นปล้อน ซึ่งบรรดาท่านทั้งหลายเหล่านั้นนับแต่ ก.ศ.ร.กุหลาบ เทียนวรรณ ขบวนการร.ศ.130 คณะราษฎรล้วนแต่ต้องใช้ความอดทนและสติปัญญาในการแก้ปัญหาเพื่อตอบโต้กับอำนาจเก่าและความคิดของอำนาจเก่า ชัยชนะของประชาชนที่แท้จริงไม่ใช่มาในวันนี้พรุ่งนี้ล้วนแต่เป็นการสะสมชัยชนะในแต่ละครั้งแต่ละคราว และรวมทั้งสะสมประสบการณ์จากการพ่ายแพ้ในแต่ละครั้งมาเป็นบทเรียนเพื่อการต่อสู้แห่งชัยชนะในครั้งหน้า
ในวันนี้ หากเรานิ่งไม่ได้แปลว่าเราถอย หากเรายอมไม่ได้แปลว่าเราแพ้ เพียงแต่ว่าการนิ่งหรือการยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น เราทำขึ้นด้วยความเข้าใจว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้เพื่อให้อำนาจอยู่ในมือของประชาชนเพื่อทำการเปลี่ยนแปลงสังคมไทยให้รุ่งเรืองไพบูลย์ตามที่เราต้องการหรือไม่
ในวันนี้เป็นสถานการณ์ที่ดียิ่งและพ่อมีความสุขเพราะพ่อรู้และเชื่อว่าการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภานี้เมื่อมาถึงและผ่านไปไม่ว่าพ่อจะได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งหรือไม่ก็ตาม เมื่อมันผ่านไปแล้ว เราจะได้รู้ว่าใครเป็นใคร ใครคิดอย่างไรแท้จริงแล้วใครต่อสู้เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชนไทย ใครคิดถูก ใครคิดผิดและเมื่อเวลาผ่านไปประวัติศาสตร์จะจารึกชื่อใครไว้ในฐานะ นักคิด นักเคลื่อนไหวหรือในฐานะตัวตลก ในฐานะวีรบุรุษ ผู้กล้าหรือในฐานะโจร เพื่อที่เราจะได้เรียนรู้และสะสมประสบการณ์สำหรับการเคลื่อนไหวต่อสู้ในครั้งหน้า รู้จักว่าใครเป็นมิตร รู้จักว่าใครเป็นศัตรู ไม่ตกอยู่ในหลุมพรางของอำนาจเก่า เพื่อการต่อสู้ในครั้งต่อๆไปของประชาชนจะได้บรรลุชัยชนะโดยเร็ววัน
ด้วยรัก
จากพ่อ
ที่มา:
https://www.facebook.com/notes/sai-nutcharus/%E0%B8%88%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87/10152131954873808
จดหมายน้อยจากพ่อเรื่อง "พ่อจะไปเลือกตั้ง"
ถึงลูกของพ่อ
เมื่อวันก่อนลูกโทรถามพ่อว่าในวันอาทิตย์หน้าพ่อจะไปเลือกตั้งสส.หรือไม่ พ่อจำได้ว่าพ่อบอกเอ็งว่าพ่อขอคิดดูก่อน เห็นลูกทำท่างงๆแล้วก็เฉยไป ความจริงพ่ออยากจะตอบคำถามของลูกในวันนั้นเหมือนกันแต่แล้วก็คิดว่าน่าจะลองตรึกตรอง และหาคำตอบที่เป็นเหตุเป็นผลจากใจจริงๆของพ่อ จึงตัดสินใจเขียนจดหมายนี้มาถึงลูกอีกสักครั้ง
ในวันอาทิตย์หน้าพ่อจะไปเลือกตั้งสส. ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าเค้าจะมีให้เลือกหรือเปล่า(เพราะเห็น กกต.ทำท่าอยากจะอ้วกเมื่อพูดถึงการเลือกตั้ง)พ่อมีเหตุผลส่วนตัวอยู่หลายอย่าง ก่อนอื่นพ่อจะเล่าประวัติให้ลูกฟังว่า เมื่อครั้งตอนที่พ่ออายุ 12 ขวบตอนนั้นบ้านเรามีการเลือก สส.เป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่พ่อเกิดมาพ่อจำได้ว่า ปู่ของเอ็งซึ่งตอนนั้นรับราชการอยู่ต่างจังหวัดอุตส่าห์กลับบ้านมาที่กรุงเทพเพื่อจะเลือก สส.ตอนนั้นในกรุงเทพบ้านเราก็มีพรรคการเมืองที่สู้กันอยู่แค่พรรคประชาธิปัตย์ ตอนนั้นรู้สึกว่าเมียนายควง อภัยวงศ์ จะเป็นหัวหน้าพรรค(ภายหลังจากเกิดศึกฟ้องแย่งชื่อพรรค) กับพรรคสหประชาไทยของจอมพลถนอม กิตติขจร พ่อจำได้แม่นยำว่าปู่ของเอ็ง(ซึ่งตอนนั้นเป็นพันตรีทหารบก)พาพ่อไปเลือกตั้งด้วย เราสองคนพ่อลูกเข้าไปในคูหาเลือกตั้งด้วยกัน(ตอนนั้นกระทรวงมหาดไทยเป็นคนจัดการเลือกตั้ง ซึ่งถ้าคนจัดเป็น กกต.ชุดปัจจุบันเขาคงจะไม่ให้เข้าทั้งพ่อทั้งลูก)
ปู่เอ็งบอกกับกรรมการเลือกตั้งว่าอยากให้ลูกเข้าไปเลือกตั้งด้วยมันจะได้รู้จักประชาธิปไตยซึ่งเขาก็อนุญาต(โชคดีในตอนนั้นไม่มีคณะกรรมการชุดใดมาปิดหน่วยเลือกตั้งพ่อกับปู่จึงไม่ต้องปีนเข้าไป)พ่อเข้าไปเห็นปู่กาบัตรเลือกตั้งแล้วก็เอามาหย่อนใส่ตู้แล้วสองคนพ่อลูกก็เดินกลับไปกินข้าวบ้าน ระหว่างทางพ่อถามปู่ว่า “เลือกใคร?” ปู่หันกลับมามองหน้า แล้วพูดเบาๆว่า“เลือกพรรคประชาธิปัตย์(ไม่รู้ว่ากลัวคนอื่นได้ยินหรือกลัวพ่อโกรธ)”พ่อฟังแล้วก็เฉยๆ เพราะตอนนั้นยังเป็นเด็กไม่รู้จักว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นใคร รู้แต่ว่าปู่ชอบอ่านหนังสือพิมพ์ แล้วชมเปาะว่า“พรรคประชาธิปัตย์นี้มันเก่ง มันกล้าด่าทหาร มันกล้าด่าจอมพลถนอม(หลายครั้งปู่เคยพูดว่ามันกล้าด่าแม้พวกเดียวกัน)”
ตอนนั้นพ่อก็ไม่ได้คิดอะไรคิดแต่ว่าการเลือกตั้งเป็นของเล่นของผู้ใหญ่เพราะรู้จากปู่ว่าพรรคสหประชาไทยของจอมพลถนอมก็ชนะการเลือกตั้ง และหลังจากนั้นไม่กี่ปีจอมพลถนอมก็ทำการรัฐประหารยุบสภา ล้มรัฐธรรมนูญ เห็นพรรคประชาธิปัตย์ก็เฉยๆ ไม่ได้มากระดี๊กระด๊าตื่นเต้นโวยวายหรือคัดค้านอะไร(มารู้ตอนหลังที่เรียนธรรมศาสตร์ว่าคนของพรรคประชาธิปัตย์เคยจ้างคนไปตะโกนในโรงหนังเฉลิมกรุงว่านายปรีดีพนมยงค์ฆ่าในหลวง ร.8)
ที่เล่ามายืดยาวเพียงจะให้ลูกได้รู้ว่าเมื่อตอนพ่ออายุ 12 ขวบก็รู้จักการเลือกตั้งแล้ว หลังจากนั้นเมื่อพ่ออายุครบเกณฑ์ที่เขาให้สิทธิ์พ่อก็ไปเลือกตั้งทุกครั้ง
พ่อจะไปเลือกตั้งในวันที่อาทิตย์ที่2 กุมภาพันธ์นี้เพราะอะไร พ่อมีเหตุผลอยู่สี่ห้าอย่าง
ประการแรก การที่พ่อจะไปเลือกตั้งลงคะแนนเสียงนั้นไม่ได้แปลว่าพ่ออยากจะเอาชนะคะคานกับไอ้คนที่มาสั่งห้ามไม่ให้พ่อไปเลือกตั้ง(เพราะถ้าคนแบบไอ้พวกนี้มาสั่งให้พ่อไปเลือกตั้งพ่อก็จะไปเลือกตั้งอยู่ดี เพราะพ่อตั้งใจอยู่แล้ว) และพ่อก็ไม่ได้คิดว่าเสียงของพ่อจะมีความหมายถึงขนาดเปลี่ยนแปลงประเทศไทยได้แต่พ่อคิดว่าพ่อไปเลือกตั้งเพื่อแสดงว่าพ่อไม่ชอบระบอบเผด็จการตั้งแต่สมัยถนอมประภาส สุจินดาพ่อไม่ชอบให้ใครเอากำลังทหารมาข่มขู่คนนู้นคนนี้หรือเอาม้อบมาบีบบังคับคนโน้นคนนี้ (รวมทั้งมาหลอกล่อว่าจะปฏิรูปให้เสร็จก่อนแล้วจึงจะให้มีการเลือกตั้ง ทั้ง ๆ ที่ตัวมันก็ยังไม่รู้ว่าจะปฏิรูปอะไร)
อีกอันหนึ่งลูกอาจจะถามพ่อว่าแล้วจะมีประโยชน์อะไร เพราะพวก กกต.เขาก็บอกว่าเลือกตั้งไปแล้วก็ไม่สมบูรณ์ สส.ไม่ครบเปิดประชุมสภาไม่ได้พ่อคิดว่าประชาชนอย่างพ่อเมื่อไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งก็เป็นการใช้สิทธิ์ของพ่อเท่านั้นการที่จะมี สส.ครบหรือไม่ครบเปิดประชุมสภาได้หรือไม่ได้เป็นเรื่องที่ต้องว่ากันต่อไป(เพราะที่ผ่านมาเวลาเขามี สส. อยู่เต็มสภา แล้วมีทหารลากรถถังออกมารัฐประหารล้มรัฐธรรมนูญ ยกเลิกรัฐสภาก็ไม่เห็น กำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ หรือกำนันสมชัย ศรีสุทธิยากร ออกมามีเสียงหืออือหรือเป่านกหวีดเป่าแตรอะไรทั้งสิ้น)
คนเค้าอาจจะถามเราว่ามันจะมีความวุ่นวายถ้ามีการเลือกตั้งเพราะจะต้องมีการชุมนุมประท้วงปิดหน่วยเลือกตั้ง ขัดขวางการเลือกตั้ง บ้านเมืองจะวุ่นวาย(อันนี้เป็นความเห็นของ กกต.กำนันสมชัย ศรีสุทธิยากร)และเป็นการเปลืองเงินเปลืองทองงบประมาณของชาติโดยใช่เหตุ(อันนี้เป็นความเห็นของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินซึ่งปกติเวลาเขาซื้อเครื่องบิน รถถัง เรือรบหรือผู้หลักผู้ใหญ่เอาเงินหลวงส่งลูกเรียนปริญญาโทที่เมืองนอก เห็นเงียบฉี่ไม่เห็นเคยให้ความเห็นเรื่องเปลืองเงินเปลืองทองเลยซักครั้งเดียว อันนี้ไม่ได้นินทาทหารหรือตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชุดปัจจุบันแต่อย่างใดทั้งสิ้น)
พ่อยังเห็นอีกอย่างว่ามันมีคนโพนทะนาว่าเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นโมฆะ(ทั้งๆที่ยังไม่มีการเลือกตั้งเกิดขึ้นเลยแสดงว่าต้องเป็นความฝันของกกต.กำนันสมชัยอย่างแน่นอนเพราะคราวที่แล้วก็แม่นชนิดเซียนหวยอ้าปากหวอ) พ่ออยากจะบอกลูกว่าการเลือกตั้งจะเป็นโมฆะหรือไม่มันเป็นคนละเรื่องกับว่าเราจะไปเลือกตั้งหรือเปล่าเพราะวันที่พ่อไปขอแม่เอ็งเป็นเมียพ่อก็ยังไม่รู้ว่าในอนาคตจะได้อยู่กินด้วยกันถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชรเหมือนวันนี้หรือไม่เพราะหากพ่อไปกลัวเสียตั้งแต่ยังไม่ได้ไปขอเมียว่าจะต้องเลิกกันเสียชาตินี้คงไม่ต้องมีเมียแน่(ขอโทษที่ยกตัวอย่างออกไปทางอีโรติคเสียนิดหน่อยความจริงน่าจะยกตัวอย่างว่า ทำไมวันที่กกต.กำนันสมชัยไปสมัครเป็นกกต.อุตส่าห์แสดงนโยบายโวหารเสียเยอะแยะ ไม่เคยคิดไว้ก่อนหรือว่าเป็นกกต.ได้สองวันแล้วจะต้องเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุกะทันหัน ทำให้ประเทศชาติเสียเงินเสียทองเสียเวลาในการคัดสรรลากตั้งกกต.กำนันสมชัยมาเป็นกกต.ในวันนี้)
อีกอย่างหนึ่งเมื่อเช้าพ่อได้อ่านหนังสือพิมพ์เห็นเขาเอาความเห็นของนายมีชัย ฤชุพันธุ์ (ท่านเป็นอดีตนักกฎหมายใหญ่ เคยอยู่กฤษฎีกา และเป็นรัฐมนตรีดูแลเรื่องกฎหมายของรัฐบาลเปรมรัฐบาลสุจินดาอยู่ยาวนานรวมทั้งเป็นคนที่ร่างกฎหมายนิรโทษกรรมให้รัฐบาลสุจินดาพ้นผิดในกรณีมีคนตายจากการชุมนุมในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬในปี 2535) ท่านให้ความเห็นในหัวข้อว่า ประชาชนควรไปใช้สิทธิเลือกตั้งในวันที่ 2กุมภานี้ (ซึ่งถ้าลูกได้อ่านโดยใช้สติสัมปชัญญะของวิญญูชนแล้วลูกจะเห็นว่ามันเป็นบทความที่ชี้ให้เห็นว่าจะช่วยกันทำอย่างไรให้การเลือกตั้งในวันที่2 กุมภาพันธ์นี้เกิดขึ้นไม่ได้) พ่ออ่านแล้วก็เลยเกิดความเชื่อมั่นว่าสิ่งที่พ่อคิดมันน่าจะถูกเพราะตั้งแต่จบกฎหมายที่ธรรมศาสตร์มาเวลากำนันมีชัยมีความเห็นอย่างไรพ่อมักจะรู้สึกว่ามันเพี้ยนไปทุกที(ล่าสุดกำนันมีชัยเคยให้ความเห็นว่าพรบ.นิรโทษกรรมฉบับที่กำนันสุเทพต่อต้านนั้นเป็นพรบ.นิรโทษกรรมที่ผิดหลักกฎหมายทั้งที่ก็ไม่ได้แตกต่างกับพรบ.นิรโทษกรรมรัฐบาลสุจินดาที่แกเขียนแต่อย่างใด อันนี้พลตรีจำลอง พี่พิภพ ธงไชย อาจารย์ปริญญา เทวานฤมิตรกุล ฯลฯ และบรรดาเพื่อนพ้องของท่านรวมทั้งตัวพ่อเองที่ได้ช่วยกันเรียกร้องนายกที่มาจากการเลือกตั้งในเหตุการณ์นั้นน่าจะรู้ดี) พ่อเลยยิ่งเชื่อว่า พ่อต้องไปเลือกตั้งแน่ๆ
ไหนๆก็บอกว่าจะไปเลือกตั้งแล้ว พ่ออยากจะบอกลูกว่าถ้าพ่อไปเลือกตั้งและมีคนของกำนันสุเทพ มาชุมนุมโดยสงบ (แต่เป่านกหวีด ตะโกนด่าพ่อและใช้รถเครื่องขยายเสียงปราศรัยข่มขู่) โดยสันติ(แต่เอาชายฉกรรจ์และผู้คนจำนวนหนึ่งใส่หมวกแก๊บ รูปร่างสูงใหญ่และด่าเก่ง มายืนปิดกั้นขวางไม่ให้มีทางเข้าออกหน่วยเลือกตั้ง)และปราศจากอาวุธ(อันนี้ไม่แน่ใจเพราะดูจากโทรทัศน์เห็นอะไรที่ไม่คิดว่าจะเห็นจากกลุ่มนี้)รวมทั้งใช้หลักอหิงสา(สงสัยจะแปลผิดเพราะดูจากข่าวแล้วเห็นว่าใช้หลักอหิงสาด้วยการบีบคอคนที่จะเข้าไปเลือกตั้งหรืออหิงสาแบบฉุดกระชากลากถูไม่ให้เข้าไปใช้สิทธิเลือกตั้ง) แล้วพ่อจะทำยังไง
อยากจะบอกว่าเอ็งไม่ต้องห่วงพ่อพ่อมีวิธีการที่จะเข้าไปใช้สิทธิในหน่วยเลือกตั้งได้อยู่แล้ว แม้ว่าจะแก่แม้ว่าจะมีอายุมากไม่สามารถปีนรั้วข้ามไปเหมือนสาวๆในข่าวทีวีแต่พ่อก็ไม่ยอมให้ใครมาบีบคอเหมือนไอ้หนุ่มคนนั้น พ่อคิดว่าจะพยายามคุยกับบรรดาลูกน้องกำนันสุเทพดีๆว่าพ่อมาใช้สิทธิเลือกตั้งโดยสงบสันติ ปราศจากอาวุธ และโดยหลักอหิงสาซึ่งกำนันสุเทพอนุญาตให้มาใช้ได้(อันนี้พ่อ
แต่ที่พ่อห่วงก็คือแม่เอ็งที่จะต้องไปใช้สิทธิเลือกตั้งพร้อมกับพ่อเพราะถ้าพวกของกำนันสุเทพใช้ไม้เด็ดโดยเอาพระหนุ่มที่เป็นหลวงปู่(ปู่ของใครพ่อก็ไม่รู้)มากีดขวางทางเข้าหน่วยเลือกตั้งและยื้อยุดฉุดกระชากไม่ให้คนเข้าเลือกตั้งแม่เอ็งคงหมดสิทธิเข้าไปใช้สิทธิเลือกตั้งเพราะแม่เค้าถือเรื่องที่จะผู้หญิงจะต้องไปถูกผ้าเหลืองเพราะจะทำให้ศาสนาเสื่อมและพระองค์นั้นจะต้องอาบัติ(ซึ่งพ่อก็บอกไปหลายทีแล้วว่าท่านอาบัติเรื่องอื่นไปหลายหนแล้วโดนอีกซักครั้งคงไม่เป็นไรมั้ง)
ที่เขียนมาทั้งหมดก็เพื่อจะบอกลูกว่า ถ้าวันที่ 2 กุมภา เค้ายังจะมีการเลือกตั้งกันอยู่พ่อก็จะไปเลือกตั้ง แต่เหนือกว่าการไปเลือกตั้งก็เหมือนกับที่พ่อเคยสอนลูกไว้ว่าประเทศไทยใหม่ที่รุ่งเรืองไพบูลย์นั้น ยังต้องเดินทางกันอีกยาวไกลเพราะการเริ่มต้นของเรานั้น มาจากจุดเริ่มต้นไม่ไกลนักบรรพวีรชนของเราที่เสียเลือดเสียเนื้อและร่วมแรงเปลี่ยนแปลงสังคมไทยในอดีตมาจนปัจจุบันต่างเผชิญปัญหาเดียวกับที่เรากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบันต้องแก้ไขและต่อสู้กับศัตรูที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง ซึ่งใช้เล่ห์เพทุบายหลากหลายวิธีการ ทั้งข่มขู่ คุกคาม หลอกลวง ปลิ้นปล้อน ซึ่งบรรดาท่านทั้งหลายเหล่านั้นนับแต่ ก.ศ.ร.กุหลาบ เทียนวรรณ ขบวนการร.ศ.130 คณะราษฎรล้วนแต่ต้องใช้ความอดทนและสติปัญญาในการแก้ปัญหาเพื่อตอบโต้กับอำนาจเก่าและความคิดของอำนาจเก่า ชัยชนะของประชาชนที่แท้จริงไม่ใช่มาในวันนี้พรุ่งนี้ล้วนแต่เป็นการสะสมชัยชนะในแต่ละครั้งแต่ละคราว และรวมทั้งสะสมประสบการณ์จากการพ่ายแพ้ในแต่ละครั้งมาเป็นบทเรียนเพื่อการต่อสู้แห่งชัยชนะในครั้งหน้า
ในวันนี้ หากเรานิ่งไม่ได้แปลว่าเราถอย หากเรายอมไม่ได้แปลว่าเราแพ้ เพียงแต่ว่าการนิ่งหรือการยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น เราทำขึ้นด้วยความเข้าใจว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้เพื่อให้อำนาจอยู่ในมือของประชาชนเพื่อทำการเปลี่ยนแปลงสังคมไทยให้รุ่งเรืองไพบูลย์ตามที่เราต้องการหรือไม่
ในวันนี้เป็นสถานการณ์ที่ดียิ่งและพ่อมีความสุขเพราะพ่อรู้และเชื่อว่าการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภานี้เมื่อมาถึงและผ่านไปไม่ว่าพ่อจะได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งหรือไม่ก็ตาม เมื่อมันผ่านไปแล้ว เราจะได้รู้ว่าใครเป็นใคร ใครคิดอย่างไรแท้จริงแล้วใครต่อสู้เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชนไทย ใครคิดถูก ใครคิดผิดและเมื่อเวลาผ่านไปประวัติศาสตร์จะจารึกชื่อใครไว้ในฐานะ นักคิด นักเคลื่อนไหวหรือในฐานะตัวตลก ในฐานะวีรบุรุษ ผู้กล้าหรือในฐานะโจร เพื่อที่เราจะได้เรียนรู้และสะสมประสบการณ์สำหรับการเคลื่อนไหวต่อสู้ในครั้งหน้า รู้จักว่าใครเป็นมิตร รู้จักว่าใครเป็นศัตรู ไม่ตกอยู่ในหลุมพรางของอำนาจเก่า เพื่อการต่อสู้ในครั้งต่อๆไปของประชาชนจะได้บรรลุชัยชนะโดยเร็ววัน
ด้วยรัก
จากพ่อ
ที่มา: https://www.facebook.com/notes/sai-nutcharus/%E0%B8%88%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87/10152131954873808