นับตั้งแต่เกิดวิกฤตซับไพรม์ปี 2008 เป็นต้นมา Fed ทำการอัดฉีดเงินผ่านมาตรการที่เรียกว่า Quantitative Easing มาแล้วทั้งหมด 3 ครั้ง และ Operation Twist 1 ครั้ง ซึ่งผลกระทบต่อธนาคารกลางสหรัฐฯเองโดยตรงก็คือ ทำให้งบดุลของธนาคารกลาง เต็มไปด้วยพันธบัตรรัฐบาล และตราสารหนี้ประเภท MBS ซึ่งจากสถิติที่ดูมา นับตั้งแต่ปี 2008 จนถึงปัจจุบัน งบดุลโตขึ้นมาแล้ว 3 เท่าตัว ตอนนี้ Fed กลายเป็น Too Big Too Fail ตัวจริงเสียงจริง
ผลจากการอัดฉีดเงินจำนวนมหาศาล และกดอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้ต่ำติดดิน ก็คือ อัตราดอกเบี้ยทั้งตลาดปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ธนาคาร บริษัทเอกชน ในอเมริกา เข้าถึงเงินกู้ต้นทุนถูกๆได้ง่ายขึ้น นั้นคือสิ่งที่ Fed อยากเห็น และอยากให้นักลงทุนกู้ยืมเงิน เพื่อไปกระตุ้นเศรษฐกิจ
ผลบวกทางอ้อมอีกทางคือ สภาพคล่องที่ล้นระบบ การลงทุนในสหรัฐฯที่มีโอกาสไม่มาก ทำให้เม็ดเงินจากมาตรการ QE ไหลเข้าไปลงทุนในตลาดเกิดใหม่ ที่ให้ผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ยสูงกว่าฝั่งอเมริกา ตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่ จึงได้อานิสงส์ไปเต็มๆ จากการไหลเข้าของเงินร้อนที่ช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
แต่มาปี 2013 เราเริ่มเห็นแรงขายออก หลังประเทศขนาดเศรษฐกิจใหญ่ๆในตลาดเกิดใหม่อย่างอินเดีย บราซิล อินโดนีเซีย ตุรกี และแอฟริกาใต้ ประสบปัญหาขาดดุลบัญชี หลังเงินไหลเข้าต่อเนื่อง ในขณะที่เงินทุนสำรองก็ลดลงในทิศทางเดียวกัน จนนำมาซึ่งปัญหาความเชื่อมั่นเรื่องเสถียรภาพเศรษฐกิจ และแรงให้การไหลออกของเงินสกุลตลาดเกิดใหม่เร็วขึ้นไปอีก ค่าเงินก็อ่อนค่าอย่างรวดเร็ว จนหลายคนกังวลว่าจะเกิด Domino Effect ต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอเมริกาหรือไม่?
กลับมาฝั่งอเมริกา ดัชนี S&P500 ทะยานขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ (All Time High) พร้อมๆกับการปรับขึ้นของกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนดีที่สุดเป็นประวัติการณ์ (นำโดยกลุ่มธนาคารและวาณิชธนกิจ) จากการได้เงินต้นทุนถูก นำมาปล่อยกู้ นำมาบริหาร นำไปลงทุนในต่างประเทศ
ในช่วง 5 ปีหลังวิกฤตซับไพรม์มานั้น ถึงแม้เม็ดเงินอัดฉีดจะพุ่งเป้าไปที่ตลาดตราสารหนี้ในสหรัฐฯเป็นหลัก แต่เนื่องจากเกิดความผันผวนในเศรษฐกิจของประเทศมหาอำนาจอื่นๆอีกหลายต่อหลายครั้ง ทั้งยูโรโซน จีน และญี่ปุ่น ทำให้การเข้าออกของเม็ดเงินตลาดพันธบัตรสหรัฐฯมีความผันผวน บวกกับ ความไม่มั่นใจในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯเอง ทำให้นักลงทุนบางส่วน พยายามหาสินทรัพย์ทางเลือกเพื่อการลงทุนแทน ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว สหรัฐฯก็แสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจของประเทศตนเองกำลังเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป จึงมีนักลงทุนบางกลุ่ม (หรือพวกที่รู้ก่อนคนอื่น) พยายามขายพันธบัตรสหรัฐฯออกจากพอร์ตมาก่อน ตั้งแต่กลางปีที่แล้ว ส่งผลให้ Bond Yield เริ่มปรับตัวขึ้น ทั้งๆที่ ณ ตอนนั้น Fed ยังไม่ได้บอกว่าจะเริ่มทำ QE Tapering แต่อย่างใด
เครื่องมือวัดการฟื้นตัวของเศรษฐกิจตัวแรก ก็คือ GDP ซึ่งจะเห็นว่า นับตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2012 เป็นต้น เศรษฐกิจสหรัฐฯนั้นฟื้นตัวดีขึ้นเรื่อยๆจนสามารถเรียกได้ว่า พ้นจากภาวะ Recession เรียบร้อย
Inflation Target อยู่ที่ 2% ถ้ายังไม่เห็นตรงนั้น Fed ก็บอกไว้แล้วว่าจะยังไม่ขึ้นดอกเบี้ย หากดูการเคลื่อนไหวในปัจจุบัน ก็น่าจะแปลว่า ปีนี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯน่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำแบบนี้ต่อไปอีกซักปี
ตัวเลขที่ดีขึ้นชัดเจน และเป็นเป้าหมายของการทำ QE3 ที่ผ่านมาก็คือ อัตราการว่างงาน ซึ่งล่าสุดก็ลงมาต่ำกว่าระดับ 7% เป็นที่เรียบร้อย การลดลงของอัตราว่างงานอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2009 นับเป็นตัวที่ เบน เบอร์นันเก้ อ้างถึงว่าเป็นความสำเร็จของการทำ QE มาตลอด
บทสรุปของมาตรการ QE ที่กำลังจะจบ
1. QE ทำให้เศรษฐกิจอเมริกาฟื้นจริงหรือไม่นั้น คงเป็นที่ถกเถียงของนักเศรษฐศาสตร์กันต่อไป แต่ ณ ตอนนี้ เศรษฐกิจอเมริกาฟื้นแล้วจริงๆ
2. ถึงจะค่อยๆลดวงเงิน QE และสุดท้ายจะยกเลิกการปั๊มเงินไปแล้ว แต่เงินใน QE1-4 ที่อัดฉีดมาก่อนหน้า จะยังอยู่ในระบบการเงินโลกต่อไป
3. ที่เฟดเลือกทำ QE วันนั้น และ ลด QE วันนี้ เขาทำเพื่อเศรษฐกิจประเทศเขาเป็นหลัก ไม่ได้ผลกระทบต่อโลก ซึ่งปัญหาใหม่กำลังจะตามมา
4. ปัญหาใหม่ที่ว่า และได้เกิดขึ้นกับระบบทุนนิยมโลกไปแล้ว คือ สภาพคล่องล้นระบบ เงินท่วมโลก (Liquidity Flood)
5. สภาพคล่องที่มีอยู่มากนั้น การโยกย้ายของเงิน Fund Flow ของโลก จะรวดเร็วและผันผวนมากขึ้น เกิดความเสี่ยงแก่ประเทศที่มีภูมิต้านทานต่อกระแสเงินทุนที่ไหลแรงต่ำ ยกตัวอย่างเช่น กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่อย่างที่เราเห็น
6. เศรษฐกิจฝั่งตลาดเกิดใหม่ จะต้องต่อสู้กับกระแสเงินไหลออกด้วยนโยบายการเงินแบบตึงตัว เช่น การขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย และมาตรการอื่นๆอีกหลากหลาย ซึ่งจะเกิด Side Effect ต่อตลาดหุ้นทั่วโลกอย่างเลี่ยงไม่ได้
ปล. ภาพประกอบจาก Reuters
ปล2. มุมมองการวิเคราะห์ เป็นมุมมองส่วนตัว ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณของตัวท่านเอง
-------------------------------
โชคดีในการลงทุนครับ
$$... หลักฐานว่า Fed ทำถูกแล้วที่ลด QE ...$$
ผลจากการอัดฉีดเงินจำนวนมหาศาล และกดอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้ต่ำติดดิน ก็คือ อัตราดอกเบี้ยทั้งตลาดปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ธนาคาร บริษัทเอกชน ในอเมริกา เข้าถึงเงินกู้ต้นทุนถูกๆได้ง่ายขึ้น นั้นคือสิ่งที่ Fed อยากเห็น และอยากให้นักลงทุนกู้ยืมเงิน เพื่อไปกระตุ้นเศรษฐกิจ
ผลบวกทางอ้อมอีกทางคือ สภาพคล่องที่ล้นระบบ การลงทุนในสหรัฐฯที่มีโอกาสไม่มาก ทำให้เม็ดเงินจากมาตรการ QE ไหลเข้าไปลงทุนในตลาดเกิดใหม่ ที่ให้ผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ยสูงกว่าฝั่งอเมริกา ตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่ จึงได้อานิสงส์ไปเต็มๆ จากการไหลเข้าของเงินร้อนที่ช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
แต่มาปี 2013 เราเริ่มเห็นแรงขายออก หลังประเทศขนาดเศรษฐกิจใหญ่ๆในตลาดเกิดใหม่อย่างอินเดีย บราซิล อินโดนีเซีย ตุรกี และแอฟริกาใต้ ประสบปัญหาขาดดุลบัญชี หลังเงินไหลเข้าต่อเนื่อง ในขณะที่เงินทุนสำรองก็ลดลงในทิศทางเดียวกัน จนนำมาซึ่งปัญหาความเชื่อมั่นเรื่องเสถียรภาพเศรษฐกิจ และแรงให้การไหลออกของเงินสกุลตลาดเกิดใหม่เร็วขึ้นไปอีก ค่าเงินก็อ่อนค่าอย่างรวดเร็ว จนหลายคนกังวลว่าจะเกิด Domino Effect ต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอเมริกาหรือไม่?
กลับมาฝั่งอเมริกา ดัชนี S&P500 ทะยานขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ (All Time High) พร้อมๆกับการปรับขึ้นของกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนดีที่สุดเป็นประวัติการณ์ (นำโดยกลุ่มธนาคารและวาณิชธนกิจ) จากการได้เงินต้นทุนถูก นำมาปล่อยกู้ นำมาบริหาร นำไปลงทุนในต่างประเทศ
ในช่วง 5 ปีหลังวิกฤตซับไพรม์มานั้น ถึงแม้เม็ดเงินอัดฉีดจะพุ่งเป้าไปที่ตลาดตราสารหนี้ในสหรัฐฯเป็นหลัก แต่เนื่องจากเกิดความผันผวนในเศรษฐกิจของประเทศมหาอำนาจอื่นๆอีกหลายต่อหลายครั้ง ทั้งยูโรโซน จีน และญี่ปุ่น ทำให้การเข้าออกของเม็ดเงินตลาดพันธบัตรสหรัฐฯมีความผันผวน บวกกับ ความไม่มั่นใจในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯเอง ทำให้นักลงทุนบางส่วน พยายามหาสินทรัพย์ทางเลือกเพื่อการลงทุนแทน ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว สหรัฐฯก็แสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจของประเทศตนเองกำลังเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป จึงมีนักลงทุนบางกลุ่ม (หรือพวกที่รู้ก่อนคนอื่น) พยายามขายพันธบัตรสหรัฐฯออกจากพอร์ตมาก่อน ตั้งแต่กลางปีที่แล้ว ส่งผลให้ Bond Yield เริ่มปรับตัวขึ้น ทั้งๆที่ ณ ตอนนั้น Fed ยังไม่ได้บอกว่าจะเริ่มทำ QE Tapering แต่อย่างใด
เครื่องมือวัดการฟื้นตัวของเศรษฐกิจตัวแรก ก็คือ GDP ซึ่งจะเห็นว่า นับตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2012 เป็นต้น เศรษฐกิจสหรัฐฯนั้นฟื้นตัวดีขึ้นเรื่อยๆจนสามารถเรียกได้ว่า พ้นจากภาวะ Recession เรียบร้อย
Inflation Target อยู่ที่ 2% ถ้ายังไม่เห็นตรงนั้น Fed ก็บอกไว้แล้วว่าจะยังไม่ขึ้นดอกเบี้ย หากดูการเคลื่อนไหวในปัจจุบัน ก็น่าจะแปลว่า ปีนี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯน่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำแบบนี้ต่อไปอีกซักปี
ตัวเลขที่ดีขึ้นชัดเจน และเป็นเป้าหมายของการทำ QE3 ที่ผ่านมาก็คือ อัตราการว่างงาน ซึ่งล่าสุดก็ลงมาต่ำกว่าระดับ 7% เป็นที่เรียบร้อย การลดลงของอัตราว่างงานอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2009 นับเป็นตัวที่ เบน เบอร์นันเก้ อ้างถึงว่าเป็นความสำเร็จของการทำ QE มาตลอด
บทสรุปของมาตรการ QE ที่กำลังจะจบ
1. QE ทำให้เศรษฐกิจอเมริกาฟื้นจริงหรือไม่นั้น คงเป็นที่ถกเถียงของนักเศรษฐศาสตร์กันต่อไป แต่ ณ ตอนนี้ เศรษฐกิจอเมริกาฟื้นแล้วจริงๆ
2. ถึงจะค่อยๆลดวงเงิน QE และสุดท้ายจะยกเลิกการปั๊มเงินไปแล้ว แต่เงินใน QE1-4 ที่อัดฉีดมาก่อนหน้า จะยังอยู่ในระบบการเงินโลกต่อไป
3. ที่เฟดเลือกทำ QE วันนั้น และ ลด QE วันนี้ เขาทำเพื่อเศรษฐกิจประเทศเขาเป็นหลัก ไม่ได้ผลกระทบต่อโลก ซึ่งปัญหาใหม่กำลังจะตามมา
4. ปัญหาใหม่ที่ว่า และได้เกิดขึ้นกับระบบทุนนิยมโลกไปแล้ว คือ สภาพคล่องล้นระบบ เงินท่วมโลก (Liquidity Flood)
5. สภาพคล่องที่มีอยู่มากนั้น การโยกย้ายของเงิน Fund Flow ของโลก จะรวดเร็วและผันผวนมากขึ้น เกิดความเสี่ยงแก่ประเทศที่มีภูมิต้านทานต่อกระแสเงินทุนที่ไหลแรงต่ำ ยกตัวอย่างเช่น กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่อย่างที่เราเห็น
6. เศรษฐกิจฝั่งตลาดเกิดใหม่ จะต้องต่อสู้กับกระแสเงินไหลออกด้วยนโยบายการเงินแบบตึงตัว เช่น การขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย และมาตรการอื่นๆอีกหลากหลาย ซึ่งจะเกิด Side Effect ต่อตลาดหุ้นทั่วโลกอย่างเลี่ยงไม่ได้
ปล. ภาพประกอบจาก Reuters
ปล2. มุมมองการวิเคราะห์ เป็นมุมมองส่วนตัว ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณของตัวท่านเอง
-------------------------------
โชคดีในการลงทุนครับ