ขอเกริ่นนำเกี่ยวกับ "บ้านป่าบงเปียง" คร่าวๆ ก่อนนะค่ะ Smiley
นาขั้นบันได
บ้านป่าบงเปียง เป็นหมู่บ้านขอ
งชาวกะเหรี่ยงปกาเกอะญอ หรือ กะเหรี่ยงสกอร์ หรือ กะหร่าง แต่เราไม่ขอเรียกพวกเขาว่า "กะเหรี่ยง" แต่จะเรียกว่า "ชาวปกาเกอะญอ" ค่ะ
นาขั้นบันได บ้านป่าบงเปียง อยู่เกือบจะสุดปลายของ อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ อยู่เยื้องออกมาทางด้านหลังของดอยอินทนนท์ การเดินทางมาที่นี่ค่อนข้างจะโหดร้ายต่อยานพาหนะเดินทางสักหน่อย เนื่องจากยังเป็นเพียงทางลูกรัง เมื่อฤดูฝนผ่านไป เส้นทางลูกรังก็จะกลายเป็นหลุมเป็นบ่อ เลาะตามไหล่เขาไปเรื่อย ควรใช้รถขับเคลื่อน 4 ล้อ หรือ โฟร์วีล เท่านั้น แต่นักท่องเที่ยวส่วนมากนิยมมาเที่ยวกันช่วงฤดูทำนา ในหน้าฝนเพราะต้นข้าวกำลังเจริญงอกงาม เขียวขจีไปทั่วท้องทุ่ง
ช่วงฤดูทำนาของ "บ้านป่าบงเปียง" คือระหว่าง
เดือนสิงหาคม น่าจะเป็นช่วงที่เพิ่งปักดำนาไปได้ 1-4 สัปดาห์ต้นข้าวจึงยังไม่โต
ต้นเดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคม นาข้าวที่บ้านป่าบงเปียงจะโตเต็มวัยเป็นสีเขียวเข้ม เขียวขจีไปทั่วท้องทุ่ง
เมื่อเข้าสู่ช่วงเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม นาข้าวก็จะกลายเป็นสีทอง
การเดินทาง : บ้านป่าบงเปียงเข้าได้ 2 ทาง แต่สะดวกสุดก็คือเส้นทางอินทนนท์-แม่แจ่มจากดอยอินทนนท์ ไปทางแม่แจ่ม เลี้ยวเข้าไปทางน้ำตกแม่ปานเลยที่ทำการน้ำตกไปตามทางลูกรังอีกราว 2 กม. เส้นทางระยะนี้ถ้าให้ดีควรเป็นรถโฟร์วีลส์หรือกระบะแรงดี หรือจะเช่ารถสองแถวเหลืองสายจอมทอง-แม่แจ่ม ก็มีวิ่งบริการนอกเส้นทางเช่นกัน
ตามแผนที่วางไว้ว่าเช้ามาจะได้ขึ้นดอยอินทนนท์เลย และเบื่อบรรยากาศแบบรีสอร์ท ตื่นมาเห็นวิวดอกไม้ ผู้คนเจี๊ยวจ๊าวแล้ว หาข้อมูล เห็นรีวิวคนอื่นก็ตกหลุมรัก "บ้านป่าบงเปียง" ในทันที เพราะเราอยากเห็นวิวนาขั้นบันไดสวยๆ ที่ไม่ต้องดั้นด้นเดินทางไปถึงหยวนหยาง หรือ ซาปา ประเทศเวียดนาม (เห็นม๊ะว่า ประเทศไทยก็ไม่แพ้ชาติใดในโลก)
(ขอขอบคุณภาพประกอบการรีวิว จาก คุณขุนแผน คีย์บอร์ด ในเว็ป Pantip.com)
(ขอขอบคุณภาพประกอบการรีวิว จาก คุณ jt.man ในเว็ป Pantip.com) และขอบคุณบุคคลท่านอื่นอีกมากมายที่ไม่ได้กล่าวถึงหรือยกตัวอย่างรูปภาพ ณ ที่นี้ เพราะถ้าพวกคุณไม่รีวิว เราก็จะไม่เห็น และไม่ดั้นด้นไปให้เห็นกับตาตัวเอง
แต่สิ่งที่ยากกว่านั่นคือเบอร์ติดต่อคุณวิชัย ไม่ค่อยมีใครรีวิว และที่สำคัญคือ คุณวิชัยมีเบอร์โทรแค่เบอร์เดียวเท่านั้น ....ณ วินาทีนั้น...
เราภาวนาขอให้โทรติดต่อได้ ภาวนาขอให้เราโชคดีมีห้องว่าง ในที่สุดโชคก็เข้าข้างเรา ดีใจมาก....กกก เราตัดสินใจจองที่พักที่นี่กับคุณวิชัย คืนวันที่ 26 ธันวาคม 2556 1 คืน ในราคา 1,000 บาทต่อ 2 คน พร้อมอาหาร 2 มื้อ คือ มื้อเช้า และมื้อเย็น (ดีจัง ไม่ต้องออกไปหาซื้อของกินเอง) เมื่อแผนการทุกอย่างที่เตรียมไว้เป็นไปตามเป้าหมาย เรากับคุณแฟนก็ลั้นลา เฮฮา ปาจิงโกะ ไปเรื่อยเฝ้ารอวันเวลาไปเที่ยวเชียงใหม่ (ยัง..มันยังไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง...ยังไม่สำเนียก เพราะมันยังไม่ถึงเวลา) 5555
...................

..........

.............

...............

..................
ร่ายยาวมากแหละมาเข้าเรื่องกันดีกว่าจ้า ระยะเวลาเดินทางกับสายการบิน Thai Lion Air จาก กรุงเทพฯ สู่เชียงใหม่ ใช้เวลาแค่ 55 นาทีเองคะ เร็วมาก ยังไม่ทันหลับเลย พอรับกระเป๋าก็เดินแบกเป้ที่สองใบหนักรวมกันได้ 14 กิโล (ชั่งตอนโหลดกระเป๋าขามา) เราสองคนต้องหาทางไปสามแยกฟ้าธานีให้ได้ก่อน เลยออกเดินไปทางหน้าทางเข้าสนามบินตรงถนนใหญ่ (มีรถแดงขับวนเข้ามาในสนามบิน แต่ไม่ไปที่เราต้องการเลยต้องหาวิธีไปใหม่) ไม่ถึง 5 นาทีมีตุ๊กๆ บีบแตรเรียก ต่อรองราคากันได้ที่ 70 บาท จาก 80 ต่อไป 50 แกไม่ยอม Smiley เราเลยให้แกส่งหน้าร้านซะเลย เพราะถามแล้วแกบอกว่ารู้จักร้านไบกี้ ที่สามแยกฟ้าธานี เพราะคนมาเช่ารถเยอะ (ค่อยโล่งใจหน่อย นึกว่าร้านกะโหลก กะลาซะแล้ว) นี่คือรูปข้อมูล ราคา ที่หามาได้จากทางอินเตอร์เน็ทจ้า
แผนที่ร้านเอามาจากเฟสบุ๊ค ของร้านเลย Bikkychiangmai
ที่อยู่ 117 ถ. ห้วยแก้ว ต. สุเทพ อ.เมืองเชียงใหม่ 50200
โทร. 080 122 0985 หรือ 082 902 7890 (เวลาทำการ : 8.00 - 18.00 น.)
จัดการเลือกรถปุ๊บ ทำสัญญา ตรวจเช็คสภาพรถ อุปกรณ์ต่างๆ ก็จ่ายเงินเลยจ้า (ที่ร้านจะออกสำเนาใบเสร็จและสำเนาใบสัญญาเช่ารถให้เราเก็บไว้ด้วยนะ พร้อมขอเก็บบัตรประชาชนไว้ด้วย เราเลยเอาของเราให้ไป เพราะคุณแฟนเป็นคนขับ เดี๋ยวตำรวจเรียกดูแล้วไม่มีจะเดือดร้อน) ต่อไปก็ออกเดินทางไปหาปั๊มเติมน้ำมันเต็มถังก่อนขึ้นมุ่งหน้าขึ้นดอย และก็แวะทานข้าวกลางวันที่ตลาดแม่เหียะ ตุนเสบียงไส้อั่วไป 2 ขีด ข้าวเหนียวอีก 10 บาท กันไว้เผื่อหิว
ณ เวลานั่นก็บ่ายสองโมงครึ่งแล้ว จาก อ.เมืองเชียงใหม่ไปบ้านป่าบงเปียง ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ต้องรีบทำเวลามุ่งตรงไปอำเภอแม่แจ่มอย่างเดียวแล้ว กว่าจะได้ขึ้นดอยต้องผ่านตั้ง 4 อำเภอ คือ อ.เมืองเชียงใหม่ - - - อ. หางดง - - - อ.สันป่าตอง - - - อ.จอมทอง แล้วถึงใช้เส้นทางขึ้นดอยอินทนนท์ จากเชิงดอย หรือตีนดอยไปอีกประมาณ 24 -25 กิโล (ใครจะไปรู้ฟระ ว่ามันไกลขนาดนี้ ขับไปก็จะ 200 กิโลแล้วอ่า) พอถึงจุดตรวจที่ 1 (ทางขึ้นอุทยานฯ จะมีเจ้าหน้าที่เก็บเงินค่าขึ้นดอยดินทนนท์ เราก็บอกว่าเราจะไป อ. แม่แจ่ม ก็ไม่ต้องเสียเงินค่า ผ่านได้ฟรีโลด เอาละมาดูตามแผนที่นะค่ะ (พอย่อขนาดแล้วมองตัวหนังสือไม่ชัดเลยจัดเต็มขนาดใหญ่จ้า)

เราต้องขับรถให้ไปเจอด่านตรวจจุดที่ 2 ก่อน แล้วจึงเลี้ยวซ้ายแยกออกมา (เราจะทำรีวิวให้อย่างละเอียดเลยค่ะ เพราะเราหลงกันมาแล้ว จำได้แต่ว่าเจอด่านตรวจจุดที่ 2 ก่อน แล้วจึงเลี้ยวซ้าย แค่นั้น เรากะคุณแฟนก็ขับตรงไปเรื่องๆ จนมีป้ายบอกว่า "แม่ฮ่องสอน อีก 187 กิโล" เอ๊ะ ยังไงหว่า?? Smiley ทางก็คดเคี้ยว หักศอก หักมุม ได้ใจมาก ดูเวลาก็ 17.00 น. แล้ว คุณแฟนเริ่มบ่นปนด่า เลยโทรถามคุณวิชัย ปรากฏว่าเราขับเลยมาไกลเป็น 10 กิโลแล้ว Smiley จะไปทะลุแม่ฮ่องสอนแล้ว กรรมต้องขับย้อนกลับไปอีก (แผนที่ก็มี แต่ลืมหยิบมาดู) จะถามคนแถวข้างทางก็ไม่มี ถึงมีก็ไม่ใช่คนพื้นที่
โอ้ว....นรกบังเกิด เป้ก็หนัก หลงทาง เถียงกันอีก จะมืดแล้วด้วย Smiley คุณวิชัยบอกให้เราย้อยกลับมาตรงน้ำตกแม่ปานค่ะ
นี่ค่ะพอถึงเลยจุดตรวจที่ 2 มา 100 เมตรก็เลั้ยวไปทางซ้ายนี่เลย ป้ายเขียนว่า้น้ำตกแม่ออกฮู" / "น้ำพุร้อนเทพพนม" /"ศูนยหัตถกรรมผ้าตีนจกแม่แจ่ม"
พอขับไปเห็นป้ายตามรูปนี้ให้ไปทางขวานะจ๊ะ (อย่าไปทางซ้ายแบบเรา เดี๋ยวหลง)
ซูมป้ายให้ดู
ไปทางเข้าน้ำตกห้วยทรายเหลืองนี่ละ ถูกต้อง (เราขับย้อนมายืน เออๆ กับคุณแฟน จะหาคนถามก้ไม่มี สัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่มี ทั้ง Dtac และ AIS เน่าสนิท ซวยละตรูยังไม่ถึงที่พักเลย 17.10 น. แล้วอะ Smiley โชคดีที่มีพี่คนหนึ่งขับรถออกมาจากทางเข้าน้ำตกห้วยทรายเหลือง เราเลยถามว่าทางไปน้ำตกแม่ปาน หรือ ป่าบงเปียงใช่ไหม พอพี่แกบอกว่าใช่ เรางี้ กระโดดขึ้นรถกันสุดฤทธิ์ เพราะแกบอกว่ารีบๆ เข้าไปเลยจะเย็นแล้ว ทางมันไม่ค่อยดี ไปอีกประมาณ 8 กิโล )
พอเข้าไปจะเหมือนเป็นอุทยานเราก็ตรงเข้าไปถามทางกับเจ้าหน้าที่ แกก็ชี้ให้ตรงขึ้นไปตามป้ายเลย แกบอกว่าอีกประมาณ 5 กิโล (โอ้ว..แม่เจ้า จะถึงไหมวันนี้ Smiley) คุณแฟนเริ่มบ่นเป็นตาแก่ตลอดทาง
พอเจอทางเข้ายิ่งบ่นหนักกว่าเดิม อารมณ์บูดแล้ว ที่เรากลัวกว่าก็คือ ถ้ายางรถแตกตรูจะทำไงกันละเนี่ย จะหาร้านที่ไหน ใครจะมาเปิดร้านบนดอยวะ แต่มาแล้ว ไม่ถอยหลังอะ สู้โว้ย
เชื่อแล้วว่า 5 กิโลแม้วจริงๆ ถนนพอๆ กับเกาะเสม็ดเลยอะ ไอ้เราก็ดันขับมอไซต์กันมาได้ ไหนจะแบกแป้อีกตั้ง 2 ใบ กระเป๋าอีก 1 ใบใหญ่ รวมแล้วน้ำหนักเกือบ 200 โล
ไปถึงทางเข้าหมู่บ้าน 18.00 น. พอดี กว่าจะสื่อสารกับคุณแม่พี่วิชัยรู้เรื่อง และกว่าจะเดินไปที่พัก กว่าจะได้ทานข้าวเย็นก็มืดละ ระหว่างสำรวจที่พักก็ขอเก็บรูปพระอาทิตย์ตกดินหน่อยละกัน
ยังไม่ทันหกโมงครึ่งก็มืดแล้ว และที่สำคัญอุณหภูมิลดลงเร็วมาก หนาวขนาด เย็นจมูกมาก และที่สำคัญคุณแฟนเราดันไปรีบเปิดสวิตซ์ำไฟ โดยที่ไม่ถามเจ้าของบ้านเขาก่อนว่าต้องต่อยังไง ผลปรากฏว่าไฟติดมาพรึ่บเดียวไม่ถึง 2 วินาที แล้วก็ดับสนิททั้งกระท่อมมน้อยปลายทุ่งนาขอฉัน Smiley (มันหน้านัก ฮึมๆ) พอเราเดินไปดู คุณแม่พี่เขายังใจดีชี้ไปที่เทียนไขที่เหลือน้อยนิด "เราก็บอกว่าไม่มีไฟแช๊ค/ขอที่จุดเทียน/ขอไฟด้วยค่า ใช้มันทุกคำพูดที่คิดว่าจะสื่อสารกันรู้เรื่อง แล้วก็แจ้งขอเทียนเพิ่มด้วยค่า" ระหว่างรอเทียน ไฟแช๊ค และอาหารเย็น ก็ต้องใช้แสงสว่างจากโทรศัพท์มือถือไปพลางๆ หนาวก็หนาว Smiley สักครู่คุณแม่ก็เดินมาพร้อมอุปกรณ์ดำรงชีพแบบพื้นบ้านตามที่เราขอไป (น่ารักที่สุด แต่...เทียนมันอันเท่านิ้วชี้ และยาวแค่ 3 นิ้วเอง จะจุดพอไหมเนี่ย Smiley (โถ...ชีวิตหญิงมิเคยลำเค็ญ เยี่ยงนี้มาก่อนเลย 555 ล้อเล่นจ๊ะ ขอบอกว่ามันสนุกมาก พ่อเราสอนให้อดทน ให้ลุยๆ แบบลูกทุ่งมาตั้งแต่เด็ก แค่นี้จิ๊บๆ ส่วนคนที่เรื่องมากกลับกลายเป็นคุณแฟนเรา ที่เป็นชายอกสามศอกแท้ๆ Smiley สงสัยจะเกิดมาสลับเพศกันมากกว่า)
[CR] Review : ตอนที่ 3. การเดินทางสู่ นาขั้นบันได บ้านป่าบงเปียง โปรแกรมทริปเชียงใหม่ (วันที่ 26 – 29 ธันวาคม 2556)
นาขั้นบันได บ้านป่าบงเปียง เป็นหมู่บ้านของชาวกะเหรี่ยงปกาเกอะญอ หรือ กะเหรี่ยงสกอร์ หรือ กะหร่าง แต่เราไม่ขอเรียกพวกเขาว่า "กะเหรี่ยง" แต่จะเรียกว่า "ชาวปกาเกอะญอ" ค่ะ
นาขั้นบันได บ้านป่าบงเปียง อยู่เกือบจะสุดปลายของ อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ อยู่เยื้องออกมาทางด้านหลังของดอยอินทนนท์ การเดินทางมาที่นี่ค่อนข้างจะโหดร้ายต่อยานพาหนะเดินทางสักหน่อย เนื่องจากยังเป็นเพียงทางลูกรัง เมื่อฤดูฝนผ่านไป เส้นทางลูกรังก็จะกลายเป็นหลุมเป็นบ่อ เลาะตามไหล่เขาไปเรื่อย ควรใช้รถขับเคลื่อน 4 ล้อ หรือ โฟร์วีล เท่านั้น แต่นักท่องเที่ยวส่วนมากนิยมมาเที่ยวกันช่วงฤดูทำนา ในหน้าฝนเพราะต้นข้าวกำลังเจริญงอกงาม เขียวขจีไปทั่วท้องทุ่ง
ช่วงฤดูทำนาของ "บ้านป่าบงเปียง" คือระหว่าง
เดือนสิงหาคม น่าจะเป็นช่วงที่เพิ่งปักดำนาไปได้ 1-4 สัปดาห์ต้นข้าวจึงยังไม่โต
ต้นเดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคม นาข้าวที่บ้านป่าบงเปียงจะโตเต็มวัยเป็นสีเขียวเข้ม เขียวขจีไปทั่วท้องทุ่ง
เมื่อเข้าสู่ช่วงเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม นาข้าวก็จะกลายเป็นสีทอง
การเดินทาง : บ้านป่าบงเปียงเข้าได้ 2 ทาง แต่สะดวกสุดก็คือเส้นทางอินทนนท์-แม่แจ่มจากดอยอินทนนท์ ไปทางแม่แจ่ม เลี้ยวเข้าไปทางน้ำตกแม่ปานเลยที่ทำการน้ำตกไปตามทางลูกรังอีกราว 2 กม. เส้นทางระยะนี้ถ้าให้ดีควรเป็นรถโฟร์วีลส์หรือกระบะแรงดี หรือจะเช่ารถสองแถวเหลืองสายจอมทอง-แม่แจ่ม ก็มีวิ่งบริการนอกเส้นทางเช่นกัน
ตามแผนที่วางไว้ว่าเช้ามาจะได้ขึ้นดอยอินทนนท์เลย และเบื่อบรรยากาศแบบรีสอร์ท ตื่นมาเห็นวิวดอกไม้ ผู้คนเจี๊ยวจ๊าวแล้ว หาข้อมูล เห็นรีวิวคนอื่นก็ตกหลุมรัก "บ้านป่าบงเปียง" ในทันที เพราะเราอยากเห็นวิวนาขั้นบันไดสวยๆ ที่ไม่ต้องดั้นด้นเดินทางไปถึงหยวนหยาง หรือ ซาปา ประเทศเวียดนาม (เห็นม๊ะว่า ประเทศไทยก็ไม่แพ้ชาติใดในโลก)