[๖๕๔] ดูกรภารทวาชะ ได้ทราบกันดังนี้ว่า บรรดาพราหมณ์ทั้งหลาย ไม่มีพราหมณ์
แม้คนหนึ่งจะเป็นใครก็ตาม ที่ได้กล่าวอย่างนี้ว่า ข้อนี้เรารู้อยู่ ข้อนี้เราเห็นอยู่ว่า อย่างนี้เท่านั้นจริง
อย่างอื่นเปล่า ไม่มีใคร แม้คนหนึ่งซึ่งเป็นอาจารย์ เป็นปลาจารย์ของอาจารย์ ตลอด ๗ ชั่วอาจารย์
ของพราหมณ์ทั้งหลาย ที่ได้กล่าวอย่างนี้ว่า ข้อนี้เรารู้อยู่ ข้อนี้เราเห็นอยู่ว่า สิ่งนี้แหละจริง
สิ่งอื่นเปล่า แม้ฤาษีทั้งหลายผู้เป็นบฺรพาจารย์ของพวกพราหมณ์ คือ ฤาษีอัฏฐกะ ฤาษีวามกะ
ฤาษีวามเทพ ฤาษีเวสสามิตตะ ฤาษียมตัคคิ ฤาษีอังคีรสะ ฤาษีภารทวาชะ ฤาษีวาเสฏฐะ
ฤาษีกัสสปะ ฤาษีภคุ ซึ่งเป็นผู้แต่งมนต์ เป็นผู้ร่ายมนต์ พราหมณ์ทั้งหลายในปัจจุบันนี้ขับตาม
กล่าวตามซึ่งบทมนต์เก่านี้ ที่ท่านขับแล้ว บอกแล้ว รวบรวมไว้แล้ว กล่าวได้ถูกต้อง
บอกได้ถูกต้อง ตามที่ท่านได้กล่าวไว้ บอกไว้ แม้ท่านเหล่านั้นก็ไม่ได้กล่าวอย่างนี้ว่า ข้อนี้เรารู้อยู่
ข้อนี้เราเห็นอยู่ว่า อย่างนี้เท่านั้นจริง อย่างอื่นเปล่า ดังนี้. ดูกรภารทวาชะ เปรียบเหมือนแถวของ
คนตาบอด ซึ่งเกาะกันต่อๆ ไป แม้คนต้นก็ไม่เห็น แม้คนกลางก็ไม่เห็น แม้คนหลังก็ไม่เห็น
ฉันใด ภาษิตของพราหมณ์ทั้งหลายเห็นจะเปรียบได้กับกองแถวคนตาบอด ฉะนั้น คือ แม้คนชั้นต้น
ก็ไม่เห็น แม้คนชั้นกลางก็ไม่เห็น แม้คนชั้นหลังก็ไม่เห็น ดูกรภารทวาชะ ท่านจะเข้าใจความ
ข้อนั้นเป็นไฉน เมื่อเป็นเช่นนั้น ความเชื่อของพราหมณ์ทั้งหลายย่อมหามูลมิได้มิใช่หรือ?
กา. ท่านพระโคดม ในข้อนี้ พราหมณ์ทั้งหลาย ย่อมเล่าเรียนกันมา มิใช่ด้วยความเชื่อ
อย่างเดียว แต่ย่อมเล่าเรียนด้วยการฟังตามๆ กัน.
[๖๕๕] ดูกรภารทวาชะ ครั้งแรกท่านได้ไปสู่ความเชื่อ เดี๋ยวนี้ท่านกล่าวสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง
สืบๆ กันมา ดูกรภารทวาชะ ธรรม ๕ ประการนี้ มีวิบากเป็นสองส่วน คราวปัจจุบัน ๕ ประการ
เป็นไฉน? คือ ศรัทธา ความเชื่อ ๑ รุจิ ความชอบใจ ๑ อนุสสวะ การฟังตามกันมา ๑ อาการ
ปริวิตักกะ ความตรึกตามอาการ ๑ ทิฏฐินิชฌานขันติ ความทนได้ซึ่งความเพ่งด้วยทิฏฐิ ๑
ธรรม ๕ ประการนี้แล มีวิบากเป็นสองส่วนในปัจจุบัน ดูกรภารทวาชะ ถึงแม้ สิ่งที่เชื่อกัน
ด้วยดีทีเดียว แต่สิ่งนั้นเป็นช่อง เปล่าเป็นเท็จไปก็มี ถึงแม้สิ่งที่ไม่เชื่อด้วยดีทีเดียว แต่สิ่งนั้น
เป็นจริงเป็นแท้ ไม่เป็นอื่นก็มี อนึ่ง สิ่งที่ชอบใจดีทีเดียว ... สิ่งที่ฟังตามกันมาด้วยดีทีเดียว ...
สิ่งที่ตรึกไว้ด้วยดีทีเดียว ... สิ่งที่เพ่งแล้วด้วยดีทีเดียว เป็นของว่างเปล่าเป็นเท็จไปก็มี ถึงแม้
สิ่งที่ไม่ได้เพ่งด้วยดีทีเดียว แต่สิ่งนั้นเป็นจริงเป็นแท้ ไม่เป็นอื่นก็มี ดูกรภารทวาชะ บุรุษผู้รู้แจ้ง
เมื่อจะตามรักษาซี่งความจริง ไม่ควรจะถึงความตกลงในข้อนั้นโดยส่วนเดียวว่า สิ่งนี้แหละจริง
สิ่งอื่นเปล่า.
กา. ท่านพระโคดม ก็ด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่าไร จึงจะชื่อว่าเป็นการตามรักษาสัจจะ
บุคคลชื่อว่าตามรักษาสัจจะด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่าไร ข้าพเจ้าขอทูลถามท่านพระโคดมถึงการตาม
รักษาสัจจะ?
[๖๕๖] ดูกรภารทวาชะ ถ้าแม้ ศรัทธาของบุรุษมีอยู่ และเขาก็กล่าวอยู่ว่า
ความเชื่อของเรามีอย่างนี้ ดังนี้ชื่อว่า ตามรักษาไว้ซึ่งสัจจะ
เขาก็ อย่าเพ่อถึงซึ่งการสันนิษฐานโดยส่วนเดียวก่อนว่า อย่างนี้เท่านั้นจริง
สิ่งอื่นเปล่า ดูกรภารทวาชะ การตามรักษาซึ่งความจริงย่อมมีด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้
บุคคลชื่อว่าตามรักษาไว้ซึ่งสัจจะด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้
และเราย่อมบัญญัติการตามรักษาสัจจะด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้
แต่ยังไม่ชื่อว่าเป็นการตรัสรู้สัจจะก่อน ดูกรภารทวาชะ ถ้าแม้ ความชอบใจของบุรุษมีอยู่
อย่างนี้... มีเรื่องที่ฟังตาม ๆ กันมา อย่างนี้... มีความตรึกอาการไปตามเหตุผลที่แวดล้อม อย่างนี้
... มีการทนต่อการเพ่งด้วยทิฏฐิ ถ้าแม้ ข้อยุตติที่ทนได้ต่อการเพ่งพินิจด้วยความเห็นของเขามีอยู่
อย่างนี้ ดังนี้ ชื่อว่าตามรักษาสัจจะ แต่ยังไม่ชื่อว่าถึงความตกลงโดยส่วนเดียวก่อนว่า
เท่านั้นแหละจริง สิ่งอื่นเปล่า ดูกรภารทวาชะ การตามรักษาสัจจะย่อมมีด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้
บุคคลชื่อว่าการตามรักษาไว้ซี่งสัจจะด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้ และเราย่อมบัญญัติการ
ตามรักษาสัจจะด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้ แต่ยังไม่ชื่อว่าเป็นการตรัสรู้สัจจะก่อน.
กา. ท่านพระโคดม การตามรักษาสัจจะย่อมมีด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้ บุคคลชื่อว่า
ตามรักษาไว้ซึ่งสัจจะด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้ และเราทั้งหลายย่อมเพ่งเล็ง การรักษาสัจจะด้วยข้อ
ปฏิบัติเพียงเท่านี้ ท่านพระโคดม ก็การตรัสรู้สัจจะย่อมมีด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่าไร บุคคลย่อม
ตรัสรู้สัจจะด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่าไร ข้าพเจ้าขอทูลถามท่านพระโคดม ถึงการตรัสรู้สัจจะ?
ความจริงตามธรรมชาติตามแบบของชาวโลก
แม้คนหนึ่งจะเป็นใครก็ตาม ที่ได้กล่าวอย่างนี้ว่า ข้อนี้เรารู้อยู่ ข้อนี้เราเห็นอยู่ว่า อย่างนี้เท่านั้นจริง
อย่างอื่นเปล่า ไม่มีใคร แม้คนหนึ่งซึ่งเป็นอาจารย์ เป็นปลาจารย์ของอาจารย์ ตลอด ๗ ชั่วอาจารย์
ของพราหมณ์ทั้งหลาย ที่ได้กล่าวอย่างนี้ว่า ข้อนี้เรารู้อยู่ ข้อนี้เราเห็นอยู่ว่า สิ่งนี้แหละจริง
สิ่งอื่นเปล่า แม้ฤาษีทั้งหลายผู้เป็นบฺรพาจารย์ของพวกพราหมณ์ คือ ฤาษีอัฏฐกะ ฤาษีวามกะ
ฤาษีวามเทพ ฤาษีเวสสามิตตะ ฤาษียมตัคคิ ฤาษีอังคีรสะ ฤาษีภารทวาชะ ฤาษีวาเสฏฐะ
ฤาษีกัสสปะ ฤาษีภคุ ซึ่งเป็นผู้แต่งมนต์ เป็นผู้ร่ายมนต์ พราหมณ์ทั้งหลายในปัจจุบันนี้ขับตาม
กล่าวตามซึ่งบทมนต์เก่านี้ ที่ท่านขับแล้ว บอกแล้ว รวบรวมไว้แล้ว กล่าวได้ถูกต้อง
บอกได้ถูกต้อง ตามที่ท่านได้กล่าวไว้ บอกไว้ แม้ท่านเหล่านั้นก็ไม่ได้กล่าวอย่างนี้ว่า ข้อนี้เรารู้อยู่
ข้อนี้เราเห็นอยู่ว่า อย่างนี้เท่านั้นจริง อย่างอื่นเปล่า ดังนี้. ดูกรภารทวาชะ เปรียบเหมือนแถวของ
คนตาบอด ซึ่งเกาะกันต่อๆ ไป แม้คนต้นก็ไม่เห็น แม้คนกลางก็ไม่เห็น แม้คนหลังก็ไม่เห็น
ฉันใด ภาษิตของพราหมณ์ทั้งหลายเห็นจะเปรียบได้กับกองแถวคนตาบอด ฉะนั้น คือ แม้คนชั้นต้น
ก็ไม่เห็น แม้คนชั้นกลางก็ไม่เห็น แม้คนชั้นหลังก็ไม่เห็น ดูกรภารทวาชะ ท่านจะเข้าใจความ
ข้อนั้นเป็นไฉน เมื่อเป็นเช่นนั้น ความเชื่อของพราหมณ์ทั้งหลายย่อมหามูลมิได้มิใช่หรือ?
กา. ท่านพระโคดม ในข้อนี้ พราหมณ์ทั้งหลาย ย่อมเล่าเรียนกันมา มิใช่ด้วยความเชื่อ
อย่างเดียว แต่ย่อมเล่าเรียนด้วยการฟังตามๆ กัน.
[๖๕๕] ดูกรภารทวาชะ ครั้งแรกท่านได้ไปสู่ความเชื่อ เดี๋ยวนี้ท่านกล่าวสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง
สืบๆ กันมา ดูกรภารทวาชะ ธรรม ๕ ประการนี้ มีวิบากเป็นสองส่วน คราวปัจจุบัน ๕ ประการ
เป็นไฉน? คือ ศรัทธา ความเชื่อ ๑ รุจิ ความชอบใจ ๑ อนุสสวะ การฟังตามกันมา ๑ อาการ
ปริวิตักกะ ความตรึกตามอาการ ๑ ทิฏฐินิชฌานขันติ ความทนได้ซึ่งความเพ่งด้วยทิฏฐิ ๑
ธรรม ๕ ประการนี้แล มีวิบากเป็นสองส่วนในปัจจุบัน ดูกรภารทวาชะ ถึงแม้ สิ่งที่เชื่อกัน
ด้วยดีทีเดียว แต่สิ่งนั้นเป็นช่อง เปล่าเป็นเท็จไปก็มี ถึงแม้สิ่งที่ไม่เชื่อด้วยดีทีเดียว แต่สิ่งนั้น
เป็นจริงเป็นแท้ ไม่เป็นอื่นก็มี อนึ่ง สิ่งที่ชอบใจดีทีเดียว ... สิ่งที่ฟังตามกันมาด้วยดีทีเดียว ...
สิ่งที่ตรึกไว้ด้วยดีทีเดียว ... สิ่งที่เพ่งแล้วด้วยดีทีเดียว เป็นของว่างเปล่าเป็นเท็จไปก็มี ถึงแม้
สิ่งที่ไม่ได้เพ่งด้วยดีทีเดียว แต่สิ่งนั้นเป็นจริงเป็นแท้ ไม่เป็นอื่นก็มี ดูกรภารทวาชะ บุรุษผู้รู้แจ้ง
เมื่อจะตามรักษาซี่งความจริง ไม่ควรจะถึงความตกลงในข้อนั้นโดยส่วนเดียวว่า สิ่งนี้แหละจริง
สิ่งอื่นเปล่า.
กา. ท่านพระโคดม ก็ด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่าไร จึงจะชื่อว่าเป็นการตามรักษาสัจจะ
บุคคลชื่อว่าตามรักษาสัจจะด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่าไร ข้าพเจ้าขอทูลถามท่านพระโคดมถึงการตาม
รักษาสัจจะ?
[๖๕๖] ดูกรภารทวาชะ ถ้าแม้ ศรัทธาของบุรุษมีอยู่ และเขาก็กล่าวอยู่ว่า
ความเชื่อของเรามีอย่างนี้ ดังนี้ชื่อว่า ตามรักษาไว้ซึ่งสัจจะ
เขาก็ อย่าเพ่อถึงซึ่งการสันนิษฐานโดยส่วนเดียวก่อนว่า อย่างนี้เท่านั้นจริง
สิ่งอื่นเปล่า ดูกรภารทวาชะ การตามรักษาซึ่งความจริงย่อมมีด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้
บุคคลชื่อว่าตามรักษาไว้ซึ่งสัจจะด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้
และเราย่อมบัญญัติการตามรักษาสัจจะด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้
แต่ยังไม่ชื่อว่าเป็นการตรัสรู้สัจจะก่อน ดูกรภารทวาชะ ถ้าแม้ ความชอบใจของบุรุษมีอยู่
อย่างนี้... มีเรื่องที่ฟังตาม ๆ กันมา อย่างนี้... มีความตรึกอาการไปตามเหตุผลที่แวดล้อม อย่างนี้
... มีการทนต่อการเพ่งด้วยทิฏฐิ ถ้าแม้ ข้อยุตติที่ทนได้ต่อการเพ่งพินิจด้วยความเห็นของเขามีอยู่
อย่างนี้ ดังนี้ ชื่อว่าตามรักษาสัจจะ แต่ยังไม่ชื่อว่าถึงความตกลงโดยส่วนเดียวก่อนว่า
เท่านั้นแหละจริง สิ่งอื่นเปล่า ดูกรภารทวาชะ การตามรักษาสัจจะย่อมมีด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้
บุคคลชื่อว่าการตามรักษาไว้ซี่งสัจจะด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้ และเราย่อมบัญญัติการ
ตามรักษาสัจจะด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้ แต่ยังไม่ชื่อว่าเป็นการตรัสรู้สัจจะก่อน.
กา. ท่านพระโคดม การตามรักษาสัจจะย่อมมีด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้ บุคคลชื่อว่า
ตามรักษาไว้ซึ่งสัจจะด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้ และเราทั้งหลายย่อมเพ่งเล็ง การรักษาสัจจะด้วยข้อ
ปฏิบัติเพียงเท่านี้ ท่านพระโคดม ก็การตรัสรู้สัจจะย่อมมีด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่าไร บุคคลย่อม
ตรัสรู้สัจจะด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่าไร ข้าพเจ้าขอทูลถามท่านพระโคดม ถึงการตรัสรู้สัจจะ?