เรื่องที่ จขกท จะเล่านี้ขอเป็น 2 เรื่อง จริงๆเรื่องแรกกะจะลืมๆไป แต่พอมาเจอเรื่องที่สอง จึงจะขอพูดทั้งสองเรื่องเลยนะค่ะ
เรื่องแรก
เมื่อ2 สัปดาห์ที่ผ่านมา จขกท ไม่สบายรู้สึกตัวร้อน พออาการตัวร้อนหาย มีผื่นแดงเกิดขึ้นที่ต้นคอ ก็ไม่ได้วิตกกังวลอะไร พอเวลาผ่านไป รู้สึกคันจึงเกาเบาๆเพราะกลัวจะลุกลาม พออาการคันหายไป ปรากฏว่า เป็นรอยคล้ำๆไม่มากเกิดขึ้นที่ต้นคอและลุกลามมาที่กราม จึงไปพบหมอท่านหนึ่ง จขกท ใช้ประกันสังคมนะค่ะในตอนนั้น
พบหมอ จขกท เล่าอาการต่างๆที่เกิดขึ้นให้หมอฟัง คุณหมอสังเกตสักพัก ก็กล่าวว่า
หมอ:สงสัยจะเป็นฝ้าค่ะ
จขกท : ฝ้าเกิดขึ้นได้ยังไงค่ะ เกิดขึ้นที่ต้นคอเป็นด้วยหราค่ะ (ไม่รู้อ่า)
หมอไม่ตอบแต่กลับพูดว่า
หมอ: เดี๋ยวลองมาตรวจอีกที เดี๋ยวหมอจะให้ยาไปทา ยาตัวนี้ ไม่ใช่ยาของประกันสังคม ต้องเสียเงิน หมอจึงจะสามารถให้ยาตัวนี้กับคนไข้ได้ พร้อมสายตาที่มอง จขกท
จขกท สิ่งที่ตนไม่เข้าใจ จึงพูดออกไปว่า
จขกท : หมอค่ะ ยามีแบ่งแยกของประกันสังคมและของคนไข้ที่เสียเงินด้วยหรอค่ะ แล้วที่ดิฉันเสียเดือนละ 750 ทุกเดือน ถือว่าไม่ได้เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับเรื่องสุขภาพบ้างหรอค่ะ ไม่เป็นรายค่ะ ต้องเสียเท่าไหร่ค่ะถึงจะได้ยาตัวนี้
หมอไม่พูดอะไรพูดแต่บอกว่า 150 บาทค่ะ
อยากทราบว่า ทำไมคุณหมอ ไม่ตอบคำถามที่คนไข้ถามค่ะ ทำไมคุณถึงมองข้ามคำถามของคนไข้ อยากให้ คุณหมอใส่ใจคนไข้มากกว่านี้หน่อยนะค่ะ เข้าใจค่ะว่าคนไข้เยอะ แต่ก็ควรตอบบ้าง!!
จขกท ก็พอทราบมาบ้างนะค่ะ เรื่องการใช้สิทธิ์ต่างๆ กับการเสียเงิน การรักษามันต่างกัน แต่ไม่คิดว่า จะมาเจอกับตัวเอง พร้อมหลุดมาจากคำพูดหมอ "ยาตัวนี้ ไม่ใช่ยาของประกันสังคม ต้องเสียเงิน หมอจึงจะสามารถให้ยาตัวนี้กับคนไข้ได้" ประโยคนี้ รบกวนคุณหมอใช้รูปประโยคอื่นที่มันทำให้คนไข้รู้สึกดีขึ้นหรือ เบาๆลงหน่อยก็ดีนะค่ะ เป็นไปได้ ก็ไม่ควรพูดแบบนี้นะค่ะ
เรื่องที่สอง
เรื่องนี้เกิดขึ้นวันนี้ค่ะ จขกท เดินไปเจอลุงท่านหนึ่ง ท่านดูแก่มากแล้ว ข้าวของมากมายที่ท่านถือ ท่านพูดว่า เมื่อไหร่ขาจะหายเจ็บ
แล้วลุงก็หยิบรองเท้าขึ้นมาดู ขาดหมดแล้ว ใส่ไม่ได้ ลุงหยุดแล้วเอารองเท้ามาแหย๋ๆรู้เพื่อจะใส่ต่อได้บ้าง พอ จขกท เดินผ่าน ก็มีแม่ลูกคู่หนึ่งเดินมาพร้อมกัน
ลูก : แม่ครับทำไมคนบ้าใส่รองเท้าขาดๆเสื้อผ้าขาด
แม่ : ลูกอย่าไปใกล้คนบ้า เรากับเขามันต่างกัน
แล้วแม่ลูกก้พากันเดินไป จขกท ไม่ได้พูดอะไร อีกอย่างตัวเองรู้สึกสงสารแต่ก็ไม่ได้เข้าไปช่วย แค่คิด รู้ว่าฟังแล้วไม่ดีก็ไม่ควรพูด ควรเอาแต่สิ่งดีๆมาพูด
2 เรื่องนี้ ทำให้ จขกท ได้แต่ครุนคิดในใจ "ขนาดคนเรายังแบ่งชนชั้นคนรวยคนจน มันไม่แปลกอะไรที่ยาจะแบ่งแยกของประกันสังคมของคนที่เสียเงินในตอนนั้น"
ปล. ขอบคุณนะค่ะที่เข้ามาอ่าน
ปล.ถ้าพิมผิดขออภัย ณ ที่นี้ด้วยนะค่ะ 555555
ปล.ถ้ากระทบใครก็คงต้องขออภัยด้วยเช่นกันค่ะ
ขอพูดถึงเรื่องบัตรประกันสังคม ในการรักษาของหมอท่านหนึ่งในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง และเรื่องคุณลุงท่านหนึ่งค่ะ
เรื่องแรก
เมื่อ2 สัปดาห์ที่ผ่านมา จขกท ไม่สบายรู้สึกตัวร้อน พออาการตัวร้อนหาย มีผื่นแดงเกิดขึ้นที่ต้นคอ ก็ไม่ได้วิตกกังวลอะไร พอเวลาผ่านไป รู้สึกคันจึงเกาเบาๆเพราะกลัวจะลุกลาม พออาการคันหายไป ปรากฏว่า เป็นรอยคล้ำๆไม่มากเกิดขึ้นที่ต้นคอและลุกลามมาที่กราม จึงไปพบหมอท่านหนึ่ง จขกท ใช้ประกันสังคมนะค่ะในตอนนั้น
พบหมอ จขกท เล่าอาการต่างๆที่เกิดขึ้นให้หมอฟัง คุณหมอสังเกตสักพัก ก็กล่าวว่า
หมอ:สงสัยจะเป็นฝ้าค่ะ
จขกท : ฝ้าเกิดขึ้นได้ยังไงค่ะ เกิดขึ้นที่ต้นคอเป็นด้วยหราค่ะ (ไม่รู้อ่า)
หมอไม่ตอบแต่กลับพูดว่า
หมอ: เดี๋ยวลองมาตรวจอีกที เดี๋ยวหมอจะให้ยาไปทา ยาตัวนี้ ไม่ใช่ยาของประกันสังคม ต้องเสียเงิน หมอจึงจะสามารถให้ยาตัวนี้กับคนไข้ได้ พร้อมสายตาที่มอง จขกท
จขกท สิ่งที่ตนไม่เข้าใจ จึงพูดออกไปว่า
จขกท : หมอค่ะ ยามีแบ่งแยกของประกันสังคมและของคนไข้ที่เสียเงินด้วยหรอค่ะ แล้วที่ดิฉันเสียเดือนละ 750 ทุกเดือน ถือว่าไม่ได้เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับเรื่องสุขภาพบ้างหรอค่ะ ไม่เป็นรายค่ะ ต้องเสียเท่าไหร่ค่ะถึงจะได้ยาตัวนี้
หมอไม่พูดอะไรพูดแต่บอกว่า 150 บาทค่ะ
อยากทราบว่า ทำไมคุณหมอ ไม่ตอบคำถามที่คนไข้ถามค่ะ ทำไมคุณถึงมองข้ามคำถามของคนไข้ อยากให้ คุณหมอใส่ใจคนไข้มากกว่านี้หน่อยนะค่ะ เข้าใจค่ะว่าคนไข้เยอะ แต่ก็ควรตอบบ้าง!!
จขกท ก็พอทราบมาบ้างนะค่ะ เรื่องการใช้สิทธิ์ต่างๆ กับการเสียเงิน การรักษามันต่างกัน แต่ไม่คิดว่า จะมาเจอกับตัวเอง พร้อมหลุดมาจากคำพูดหมอ "ยาตัวนี้ ไม่ใช่ยาของประกันสังคม ต้องเสียเงิน หมอจึงจะสามารถให้ยาตัวนี้กับคนไข้ได้" ประโยคนี้ รบกวนคุณหมอใช้รูปประโยคอื่นที่มันทำให้คนไข้รู้สึกดีขึ้นหรือ เบาๆลงหน่อยก็ดีนะค่ะ เป็นไปได้ ก็ไม่ควรพูดแบบนี้นะค่ะ
เรื่องที่สอง
เรื่องนี้เกิดขึ้นวันนี้ค่ะ จขกท เดินไปเจอลุงท่านหนึ่ง ท่านดูแก่มากแล้ว ข้าวของมากมายที่ท่านถือ ท่านพูดว่า เมื่อไหร่ขาจะหายเจ็บ
แล้วลุงก็หยิบรองเท้าขึ้นมาดู ขาดหมดแล้ว ใส่ไม่ได้ ลุงหยุดแล้วเอารองเท้ามาแหย๋ๆรู้เพื่อจะใส่ต่อได้บ้าง พอ จขกท เดินผ่าน ก็มีแม่ลูกคู่หนึ่งเดินมาพร้อมกัน
ลูก : แม่ครับทำไมคนบ้าใส่รองเท้าขาดๆเสื้อผ้าขาด
แม่ : ลูกอย่าไปใกล้คนบ้า เรากับเขามันต่างกัน
แล้วแม่ลูกก้พากันเดินไป จขกท ไม่ได้พูดอะไร อีกอย่างตัวเองรู้สึกสงสารแต่ก็ไม่ได้เข้าไปช่วย แค่คิด รู้ว่าฟังแล้วไม่ดีก็ไม่ควรพูด ควรเอาแต่สิ่งดีๆมาพูด
2 เรื่องนี้ ทำให้ จขกท ได้แต่ครุนคิดในใจ "ขนาดคนเรายังแบ่งชนชั้นคนรวยคนจน มันไม่แปลกอะไรที่ยาจะแบ่งแยกของประกันสังคมของคนที่เสียเงินในตอนนั้น"
ปล. ขอบคุณนะค่ะที่เข้ามาอ่าน
ปล.ถ้าพิมผิดขออภัย ณ ที่นี้ด้วยนะค่ะ 555555
ปล.ถ้ากระทบใครก็คงต้องขออภัยด้วยเช่นกันค่ะ