“พี่ครับ… ทำยังไงถึงจะได้ทำอาชีพนักท่องเที่ยว”

วันหนึ่ง ขณะที่ผมกำลังนั่งจับกลุ่มพูดคุยเรื่องสัพเพเหระในร้านหนังสือแห่งหนึ่ง มีน้องนักศึกษาคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้าน เลือกหนังสือสักพัก และเริ่มเข้ามาแจมในวง ไม่นานก็ตั้งคำถามนี้ขึ้น
ร้านหนังสือร้านนั้นมีชื่อร้านหนังสือเดินทาง เมื่อสิบกว่าปีก่อน อยู่ตรงถนนพระอาทิตย์ ตรงข้ามป้อมพระสุเมรุ เป้นร้านหนังสือที่ไม่ได้เน้นแค่หนังสือเกี่ยวกับท่องเที่ยว แต่เพราะเจ้าของร้านเชื่อว่า หนังสือจะสามารถพาเราเดินทางได้ และเมื่อเป็นดังนั้น คนเขียนหนังสือ โดยส่วนใหญ่ก็ต้องเดินทางเพื่อออกไปเก็บโลกมาใส่ในหนังสือ
ตอนนั้นผมเพิ่งเรียนจบมหา’ลัย ได้ปีกว่าๆ และทำงานอยู่ในกองบรรณาธิการสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งซึ่งทำหนังสือคู่มือท่องเที่ยวเป็นอาชีพ ส่วนเพื่อนๆ ที่นั่งคุยในกลุ่มตอนนั้นก็เป็นคนคุ้นหน้าที่เจอกันที่ร้านหนังสือแห่งนี้แหล่ะ พวกเราได้ฟังคำถามเรื่องการทำอาชีพนักท่องเที่ยว แล้วมองหน้ากันสองวินาที ก่อนตอบกลับไปประมาณว่า ใครๆ ก็เป็นนักท่องเที่ยวได้ครับ ถ้าเราชอบเที่ยว
ผมเก็บคำถามที่ชวนคิด และคำตอบที่ผมคิดว่ามันยังไม่สมบูรณ์ เอาไปคิดต่ออีกหลายๆ วัน ตอนแรกก็ขำเล็กน้อย กับคำว่าอาชีพนักท่องเที่ยว เพราะเรารู้จักอาชีพหลายนัก ทั้งนักวิทยาศาสตร์ นักบิน นักบัญชี นักดาราศาสตร์ นักการเมือง และอีกหลายๆ นัก แต่นักท่องเที่ยวนี่ใครๆ ก็เป็นได้ แต่เป็นอาชีพที่มักทำแล้วใช้เงิน แตกต่างกับอาชีพทั่วไปที่ทำแล้วได้เงิน
ยังมีอีกหลายอาชีพที่นับได้ว่าเป็นนักเดินทางมืออาชีพ เพราะต้องเดินทางเพื่อประกอบอาชีพ เช่น อย่างไกด์นำเที่ยวนี่ไม่ต้องสงสัย เซลล์ต่างจังหวัดที่ต้องเดินสายหาลูกค้านี่ก็ใช่ แม่ค้าออกบูธงานวัดงานกาชาดนี่ก็ต้องเดินทางกันใช่เล่น นักแสดงลิเก หมอลำ หางเครื่องวงลูกทุ่งก็ต้องเดินทางรอนแรมไปทั่วประเทศกันทีละเป็นเดือนๆ บางทีผมก็สนใจชีวิตของนักเดินทางที่ต้องรอนแรมในเรือหาปลา เรือเดินสมุทร ที่ออกทะเลกันทีละเป็นแรมเดือนหรือแรมปี หรือคนขับเรือบรรทุกทรายในแม่น้ำเจ้าพระยาที่เดินทางจากนครสวรรค์มากรุงเทพฯโดยใช้เวลาหลายๆ วัน โชเฟอร์ขับรถทัวร์เชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน ที่ได้พิชิต 1,890 โค้ง วันละสองรอบ หรือกับตันสายการบินที่บินไปยังจุดหมายในฝันของใครบางคน และอยู่ที่นั่นเพียง 30 นาที ก่อนบินกลับ โดยที่ยังไม่ได้เดินลงมาเหยียบพื้นเลยด้วยซ้ำ
เชื่อได้ว่า บางอาชีพที่ต้องเดินทาง บางครั้งนักเดินทางเหล่านั้นก็ไม่ได้สนุกสนานเหมือนเวลาที่ได้เราได้ท่องเที่ยวหรอก ผมนึกถึงคำๆ หนึ่งที่เพื่อรุ่นพี่ที่เคารพเคยบอกไว้ว่า “ถ้าชอบทำอะไร ก็อย่าทำเป็นอาชีพ เพราะมันจะไม่สนุก”
.....
รู้ตัวอีกที เวลาผ่านไปร่วมสิบกว่าปี เราก็ได้ทำอาชีพนักท่องเที่ยวมาตลอดจริงๆ เป็นอาชีพที่ต้องเดินทาง และเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวโดยตรง สัปดาห์ที่แล้วผมโพสรูปถ่ายทิวทัศน์ที่เก็บมาตลอดสิบปี(เพิ่งโพสเฉพาะยุคที่เปลี่ยนจากฟิล์มมาใช้ดิจิตัล) และมีหลายความเห็นบอกว่า น่าอิจฉาที่ผมได้ทำสิ่งที่ตัวเองรัก ผมจึงนึกขึ้นได้ว่า เราควรจะดีใจที่ได้ทำในสิ่งที่เรารัก เพราะเราจะทำได้ดีและมีความสุขกับมัน
เพราะบางครั้ง ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่าน เมื่อผมเอาสิ่งที่รักมาทำเป็นอาชีพ บางที พอมันเยอะเกินไป มันก็จะพาลชินชา เพราะคนเราก็ไม่ได้มีอารมณ์อยากเดินทางตลอดเวลา และบางที เมื่อมันเป็นงาน โจทย์ของงานก็ทำให้เราไม่ได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำไปเสียทุกอย่าง แต่เมื่อคิดในเชิงบวก เปลี่ยนวิธีคิด เราก็มีความสุข และรู้สึกท้าทายกับการทำงานได้เสมอ
ชีวิตการเดินทางของผมเริ่มต้นจากนิตยสารถ่ายภาพฉบับหนึ่งที่หยิบจากแผงเมื่อตอนมัธยม 3 (ราว พ.ศ. 2536) จากนั้นก็พยายามเก็บหอมรอมริบซื้อกล้อง และเมื่อขึ้นมัธยมปลายก็ไปแฝงตัวอยู่ในนิตยสารฉบับนั้น ผมได้ความรู้มากมายจากพี่ๆ ที่นั่น และก็พยายามเขียนบทความไปลงนิตยสาร แต่มาประสบความสำเร็จ ได้มีผลงามตีพิมพ์ครั้งแรกหลังจากนั้น 2 ปี ในนิตยสารท่องเที่ยวอีกเล่มหนึ่ง
ตลอดช่วงสองปีแรกของการเรียนมหาวิทยาลัย ผมจึงใช้เวลากับการทำงานในกองบรรณาธิการของนิตยสารท่องเที่ยวฉบับนั้นเป็นส่วนใหญ่ ได้เก็บประสบการณ์มากมาย และท้ายที่สุด ก็ได้ทำงานกับบริษัทอีกแห่งหนึ่งที่ให้โอกาสเต็มที่ในการสร้างสิ่งที่เชื่อ ตอนนี้ผมกลายเป็นบรรณาธิการบริหารของนิตยสารท่องเที่ยวฉบับหนึ่ง และสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง และหน่วยงานโปรดักชั่นเอเจนซี่ที่ทำสื่อด้านท่องเที่ยวให้หน่วยงานอื่นๆ แต่ยังคงมีความสุขเสมอกับการทำงานในทุกขั้นตอน ผมยังคงเป็นช่างภาพคนหนึ่ง นักเขียนคนหนึ่ง เซลล์ขายโฆษณาคนหนึ่ง และคนขับรถอีกตำแหน่งหนึ่ง
ชื่อนามแฝง นายรอนแรม ในพันทิพ ออกจะเป็นที่ขำขันในหมู่เพื่อนฝูงที่รู้จักกันในปัจจุบัน ชื่อนั้นตั้งเอาไว้ตั้งแต่สมัยที่ยังนั่งรถทัวร์ ป.2 ไปถ่ายรูปต่างจังหวัด แล้วโบกรถเที่ยวต่อ นอนโรงแรมคืนละร้อยกว่าบาท บางทีนอนเต้นท์ แต่ถ้าเดินป่าก็ผูกเปลนอน
หลังจากนั้นอีกยุคหนึ่ง ผมเริ่มขับรถคนเดียว ตะเวนไปหลายพันกิโลเมตร ทีละครึ่งเดือน เพื่อเก็บภาพให้ดีที่สุด รู้ตัวอีกที เดี๋ยวนี้การเดินทางของผมก็เปลี่ยนไป ด้วยภาระหน้าที่ที่หนักขึ้น บางทีไปเชียงใหม่แค่ 2 วัน แต่ประสบการณ์เดินทางที่ได้ก็แตกต่างกันออกไป ผมได้นั่งเครื่องบินสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก ถ่ายภาพหมู่เกาะภาคใต้ของเราที่สวยที่สุดในโลก ผมได้ดำดิ่งลงไปถ่ายภาพใต้ทะเลลึก ได้นอนพักโรงแรมรีสอร์ทที่ให้ประสบการณ์มากกว่าแค่ความหรู ได้รู้จักคนดีๆ มากมาย และถ้าจะให้เดินเข้าป่าลึกคนเดียวก็ยังทำได้เช่นกัน
นี่หรือเปล่า ที่เรียกว่าอาชีพนักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นอาชีพที่หลายคนอิจฉา แน่นอนครับ เส้นทางนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่มันก็สวยงามพอที่จะเพียรพยายามเดิน ที่สำคัญคือ เป็นอาชีพที่มีคนจ้างให้เที่ยว เที่ยวแล้วได้เงิน และนอกจากสายอาชีพที่ผมทำ ก็ยังมีอาชีพนักท่องเที่ยวอีกมาก ที่หาเงินได้ไม่แพ้กัน
ผมเขียนบทความนี้ขึ้น เพื่อทบทวนความทรงจำของตัวเอง และเผื่อมันจะเป็นแนวทางให้ใครหลายๆ คน อย่างน้องคนที่ตั้งคำถามนั้นกับผม มันจะยาวแค่ไหน จบเมื่อไหร่ ยังไม่รู้ครับ เขียนไปเรื่อยๆ

(ภาพโดย ระพีพงศ์ ตันมณี)
_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _
(ตอนที่ 1)
การเดินทางมันเริ่มจากแสตมป์
ตอนเข้าเรียน ป.6 ผมย้ายบ้านไปอยู่ใกล้ที่ทำการไปรษณีย์ จึงได้รู้จักสิ่งที่เรียกว่าแสตมป์ ผมเริ่มสะสมแสตมป์อย่างจริงจัง และรู้สึกว่าแสตมป์พาเราเดินทาง เพราะเมื่อมันติดอยู่บนซองจดหมาย จากผู้ส่งถึงผู้รับ มันก็เดินทางไกลเอาเรื่องอยู่ และเมื่อผู้รับได้เพ่งพินิจแสตมป์แต่ละดวง โลกทัศน์ของคนนั้นก็ได้ออกเดินทางไปรับรู้ในสิ่งที่อยู่บนดวงตราแสตมป์ดวงนั้น
เรื่องราวบนดวงแสตมป์ กระตุ้นให้ผมอยากหาหนังสือมาอ่าน เพื่อศึกษาเรื่องราวในแสตมป์ นานวันเข้าก็เสพติดการอ่าน เสพติดความสวยงามของภาพในดวงแสตมป์ ที่แปลกตาไปจากภาพที่มองเห็นด้วยตา
วันหนึ่ง เหลือบสายตาไปเห็นนิตยสารเล่มหนึ่ง ชื่อ “ปรับโฟกัส” เป็นนิตยสารถ่ายภาพที่มีรูปแบบน่าสนใจในเวลานั้น เด็กมัธยม 3 คนหนึ่งเร่ิมอยากรู้ว่า กล้องถ่ายรูปที่พ่อเคยมี และไม่ค่อยให้เราแตะต้องสักเท่าไหร่ คงเพราะฟิล์มแพง แต่ตอนนั้นพ่อไม่อยู่แล้ว ผมจึงหยิบกล้อง Konica C35 มาลองหัดถ่ายรูป โดยตั้งเป้าว่าจะถ่ายภาพให้เหมือนนิตยสารเหล่านั้น
กล้องตัวนั้นเป็นกล้องที่หน้าตาวินเทจ หรือเรโทร เหมือนที่นิยมกันในกล้องดิจิตัลปัจจุบัน แต่ตอนนั้นมันคือปัจจุบันในยุคของมัน เป็นกล้องที่เปลี่ยนเลนส์ไม่ได้ แต่เปลี่ยนความไวชัตเตอร์ และรูรับแสงได้ และเป็นกล้องแบบวิวไฟน์เดอร์ คือ ช่องมองภาพแยกจากเลนส์ เวลาเล็งภาพ จึงเห็นภาพที่เหลื่อมเล็กน้อยกับภาพที่เราจะได้ผ่านเลนส์ แต่ผมก็ได้เรียนรู้อะไรพอตัวจากกล้องตัวนั้น เมื่ออาจหาญขึ้น ก็เริ่มเก็บเงินซื้อฟิล์มสไลด์มาลองถ่าย
ท่านที่เคยถ่ายภาพด้วยฟิล์มสไลด์ (แน่นอน.. คุณน่าจะ 30+) คงทราบดีว่า ฟิล์มชนิดนี้มีความอ่อนไหวต่อการเปิดรับแสงมาก ถ้าเปิดความไวชัตเตอร์ และรู้รับแสง ไม่สัมพันธ์กับสภาพแสงแค่นิดเดียว ภาพที่ได้ก็จะมืดหรือสว่างเกินไปอย่างเห็นได้ชัด แตกต่างจากการถ่ายภาพด้วยฟิล์มอีกชนิดคือ ฟิล์มเนกาทีฟ ซึ่งมันจะต้องผ่านกระบวนการอัดภาพอีกครั้งหนึ่ง จึงจะได้ภาพบนกระดาษอัดภาพ และสามารถแก้ไขสี ระดับแสง และอีกหลายๆ อย่างในขั้นตอนการอัดภาพได้ แต่ฟิล์มสไลด์ ผิดอย่างไร ก็ออกมาอย่างนั้น
ที่สำคัญคือ กล้องตัวนั้น เครื่องวัดแสงไม่ทำงาน วิธีเดียวที่จะใช้ในการเปิดรับค่าแสง เค้าเรียกว่า กฏ Sunny16 คือ… ถ้าใช้ฟิลม์ ISO 100 ให้เปิดชัตเตอร์ 1/125 แล้วเปิด f/16 ถ้าแดดจัด ถ้าแดดไม่จัดก็ลดลงเหลือ f/11 ถ้าฟ้าครึ้มให้เปิด f/8 ตอนเย็นๆ f/5.6…..
เมื่อมีกล้อง ก็ต้องหาเรื่องออกไปถ่ายรูป แต่เด็กมัธยม 3 คนนั้นรู้จักโลกแค่ทะเลบางแสน ซึ่งจะได้ไปตอนเทศกาลเช็งเม้ง แต่การเดินทางครั้งหนึ่งที่ประทับใจมากที่สุดคือ ตอนที่ได้นั่งรถไฟไปอยุธยากับครอบครัว จำได้ว่าครั้งแรกที่ได้เห็นซากปรักหักพังของเจดีย์เก่าในอยุธยา ผมสัญญากับตัวเองว่า จะถ่ายภาพเลียนแบบโปสการ์ดที่แอบซื้อเอาไว้เป็นต้นแบบให้เหมือนที่สุด
ลืมบอกไปว่า กล้องตัวนั้นเครื่องวัดแสงไม่ทำงาน จึงต้องใช้
วินาทีที่ฟิล์มสไลด์ม้วนนั้นล้างเสร็จ ผมกลั้นหายใจก่อนคลี่ซองฟิลม์ออกดู มันมีความสุขจริงๆ ทั้งๆ ที่ฟิล์มม้วนนั้น มีภาพใช้ได้แค่ 2 ภาพเท่านั้น !
.............
ชีวิตของคนทำอาชีพ นักท่องเที่ยว
วันหนึ่ง ขณะที่ผมกำลังนั่งจับกลุ่มพูดคุยเรื่องสัพเพเหระในร้านหนังสือแห่งหนึ่ง มีน้องนักศึกษาคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้าน เลือกหนังสือสักพัก และเริ่มเข้ามาแจมในวง ไม่นานก็ตั้งคำถามนี้ขึ้น
ร้านหนังสือร้านนั้นมีชื่อร้านหนังสือเดินทาง เมื่อสิบกว่าปีก่อน อยู่ตรงถนนพระอาทิตย์ ตรงข้ามป้อมพระสุเมรุ เป้นร้านหนังสือที่ไม่ได้เน้นแค่หนังสือเกี่ยวกับท่องเที่ยว แต่เพราะเจ้าของร้านเชื่อว่า หนังสือจะสามารถพาเราเดินทางได้ และเมื่อเป็นดังนั้น คนเขียนหนังสือ โดยส่วนใหญ่ก็ต้องเดินทางเพื่อออกไปเก็บโลกมาใส่ในหนังสือ
ตอนนั้นผมเพิ่งเรียนจบมหา’ลัย ได้ปีกว่าๆ และทำงานอยู่ในกองบรรณาธิการสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งซึ่งทำหนังสือคู่มือท่องเที่ยวเป็นอาชีพ ส่วนเพื่อนๆ ที่นั่งคุยในกลุ่มตอนนั้นก็เป็นคนคุ้นหน้าที่เจอกันที่ร้านหนังสือแห่งนี้แหล่ะ พวกเราได้ฟังคำถามเรื่องการทำอาชีพนักท่องเที่ยว แล้วมองหน้ากันสองวินาที ก่อนตอบกลับไปประมาณว่า ใครๆ ก็เป็นนักท่องเที่ยวได้ครับ ถ้าเราชอบเที่ยว
ผมเก็บคำถามที่ชวนคิด และคำตอบที่ผมคิดว่ามันยังไม่สมบูรณ์ เอาไปคิดต่ออีกหลายๆ วัน ตอนแรกก็ขำเล็กน้อย กับคำว่าอาชีพนักท่องเที่ยว เพราะเรารู้จักอาชีพหลายนัก ทั้งนักวิทยาศาสตร์ นักบิน นักบัญชี นักดาราศาสตร์ นักการเมือง และอีกหลายๆ นัก แต่นักท่องเที่ยวนี่ใครๆ ก็เป็นได้ แต่เป็นอาชีพที่มักทำแล้วใช้เงิน แตกต่างกับอาชีพทั่วไปที่ทำแล้วได้เงิน
ยังมีอีกหลายอาชีพที่นับได้ว่าเป็นนักเดินทางมืออาชีพ เพราะต้องเดินทางเพื่อประกอบอาชีพ เช่น อย่างไกด์นำเที่ยวนี่ไม่ต้องสงสัย เซลล์ต่างจังหวัดที่ต้องเดินสายหาลูกค้านี่ก็ใช่ แม่ค้าออกบูธงานวัดงานกาชาดนี่ก็ต้องเดินทางกันใช่เล่น นักแสดงลิเก หมอลำ หางเครื่องวงลูกทุ่งก็ต้องเดินทางรอนแรมไปทั่วประเทศกันทีละเป็นเดือนๆ บางทีผมก็สนใจชีวิตของนักเดินทางที่ต้องรอนแรมในเรือหาปลา เรือเดินสมุทร ที่ออกทะเลกันทีละเป็นแรมเดือนหรือแรมปี หรือคนขับเรือบรรทุกทรายในแม่น้ำเจ้าพระยาที่เดินทางจากนครสวรรค์มากรุงเทพฯโดยใช้เวลาหลายๆ วัน โชเฟอร์ขับรถทัวร์เชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน ที่ได้พิชิต 1,890 โค้ง วันละสองรอบ หรือกับตันสายการบินที่บินไปยังจุดหมายในฝันของใครบางคน และอยู่ที่นั่นเพียง 30 นาที ก่อนบินกลับ โดยที่ยังไม่ได้เดินลงมาเหยียบพื้นเลยด้วยซ้ำ
เชื่อได้ว่า บางอาชีพที่ต้องเดินทาง บางครั้งนักเดินทางเหล่านั้นก็ไม่ได้สนุกสนานเหมือนเวลาที่ได้เราได้ท่องเที่ยวหรอก ผมนึกถึงคำๆ หนึ่งที่เพื่อรุ่นพี่ที่เคารพเคยบอกไว้ว่า “ถ้าชอบทำอะไร ก็อย่าทำเป็นอาชีพ เพราะมันจะไม่สนุก”
.....
รู้ตัวอีกที เวลาผ่านไปร่วมสิบกว่าปี เราก็ได้ทำอาชีพนักท่องเที่ยวมาตลอดจริงๆ เป็นอาชีพที่ต้องเดินทาง และเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวโดยตรง สัปดาห์ที่แล้วผมโพสรูปถ่ายทิวทัศน์ที่เก็บมาตลอดสิบปี(เพิ่งโพสเฉพาะยุคที่เปลี่ยนจากฟิล์มมาใช้ดิจิตัล) และมีหลายความเห็นบอกว่า น่าอิจฉาที่ผมได้ทำสิ่งที่ตัวเองรัก ผมจึงนึกขึ้นได้ว่า เราควรจะดีใจที่ได้ทำในสิ่งที่เรารัก เพราะเราจะทำได้ดีและมีความสุขกับมัน
เพราะบางครั้ง ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่าน เมื่อผมเอาสิ่งที่รักมาทำเป็นอาชีพ บางที พอมันเยอะเกินไป มันก็จะพาลชินชา เพราะคนเราก็ไม่ได้มีอารมณ์อยากเดินทางตลอดเวลา และบางที เมื่อมันเป็นงาน โจทย์ของงานก็ทำให้เราไม่ได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำไปเสียทุกอย่าง แต่เมื่อคิดในเชิงบวก เปลี่ยนวิธีคิด เราก็มีความสุข และรู้สึกท้าทายกับการทำงานได้เสมอ
ชีวิตการเดินทางของผมเริ่มต้นจากนิตยสารถ่ายภาพฉบับหนึ่งที่หยิบจากแผงเมื่อตอนมัธยม 3 (ราว พ.ศ. 2536) จากนั้นก็พยายามเก็บหอมรอมริบซื้อกล้อง และเมื่อขึ้นมัธยมปลายก็ไปแฝงตัวอยู่ในนิตยสารฉบับนั้น ผมได้ความรู้มากมายจากพี่ๆ ที่นั่น และก็พยายามเขียนบทความไปลงนิตยสาร แต่มาประสบความสำเร็จ ได้มีผลงามตีพิมพ์ครั้งแรกหลังจากนั้น 2 ปี ในนิตยสารท่องเที่ยวอีกเล่มหนึ่ง
ตลอดช่วงสองปีแรกของการเรียนมหาวิทยาลัย ผมจึงใช้เวลากับการทำงานในกองบรรณาธิการของนิตยสารท่องเที่ยวฉบับนั้นเป็นส่วนใหญ่ ได้เก็บประสบการณ์มากมาย และท้ายที่สุด ก็ได้ทำงานกับบริษัทอีกแห่งหนึ่งที่ให้โอกาสเต็มที่ในการสร้างสิ่งที่เชื่อ ตอนนี้ผมกลายเป็นบรรณาธิการบริหารของนิตยสารท่องเที่ยวฉบับหนึ่ง และสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง และหน่วยงานโปรดักชั่นเอเจนซี่ที่ทำสื่อด้านท่องเที่ยวให้หน่วยงานอื่นๆ แต่ยังคงมีความสุขเสมอกับการทำงานในทุกขั้นตอน ผมยังคงเป็นช่างภาพคนหนึ่ง นักเขียนคนหนึ่ง เซลล์ขายโฆษณาคนหนึ่ง และคนขับรถอีกตำแหน่งหนึ่ง
ชื่อนามแฝง นายรอนแรม ในพันทิพ ออกจะเป็นที่ขำขันในหมู่เพื่อนฝูงที่รู้จักกันในปัจจุบัน ชื่อนั้นตั้งเอาไว้ตั้งแต่สมัยที่ยังนั่งรถทัวร์ ป.2 ไปถ่ายรูปต่างจังหวัด แล้วโบกรถเที่ยวต่อ นอนโรงแรมคืนละร้อยกว่าบาท บางทีนอนเต้นท์ แต่ถ้าเดินป่าก็ผูกเปลนอน
หลังจากนั้นอีกยุคหนึ่ง ผมเริ่มขับรถคนเดียว ตะเวนไปหลายพันกิโลเมตร ทีละครึ่งเดือน เพื่อเก็บภาพให้ดีที่สุด รู้ตัวอีกที เดี๋ยวนี้การเดินทางของผมก็เปลี่ยนไป ด้วยภาระหน้าที่ที่หนักขึ้น บางทีไปเชียงใหม่แค่ 2 วัน แต่ประสบการณ์เดินทางที่ได้ก็แตกต่างกันออกไป ผมได้นั่งเครื่องบินสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก ถ่ายภาพหมู่เกาะภาคใต้ของเราที่สวยที่สุดในโลก ผมได้ดำดิ่งลงไปถ่ายภาพใต้ทะเลลึก ได้นอนพักโรงแรมรีสอร์ทที่ให้ประสบการณ์มากกว่าแค่ความหรู ได้รู้จักคนดีๆ มากมาย และถ้าจะให้เดินเข้าป่าลึกคนเดียวก็ยังทำได้เช่นกัน
นี่หรือเปล่า ที่เรียกว่าอาชีพนักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นอาชีพที่หลายคนอิจฉา แน่นอนครับ เส้นทางนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่มันก็สวยงามพอที่จะเพียรพยายามเดิน ที่สำคัญคือ เป็นอาชีพที่มีคนจ้างให้เที่ยว เที่ยวแล้วได้เงิน และนอกจากสายอาชีพที่ผมทำ ก็ยังมีอาชีพนักท่องเที่ยวอีกมาก ที่หาเงินได้ไม่แพ้กัน
ผมเขียนบทความนี้ขึ้น เพื่อทบทวนความทรงจำของตัวเอง และเผื่อมันจะเป็นแนวทางให้ใครหลายๆ คน อย่างน้องคนที่ตั้งคำถามนั้นกับผม มันจะยาวแค่ไหน จบเมื่อไหร่ ยังไม่รู้ครับ เขียนไปเรื่อยๆ
(ภาพโดย ระพีพงศ์ ตันมณี)
_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _
(ตอนที่ 1)
การเดินทางมันเริ่มจากแสตมป์
ตอนเข้าเรียน ป.6 ผมย้ายบ้านไปอยู่ใกล้ที่ทำการไปรษณีย์ จึงได้รู้จักสิ่งที่เรียกว่าแสตมป์ ผมเริ่มสะสมแสตมป์อย่างจริงจัง และรู้สึกว่าแสตมป์พาเราเดินทาง เพราะเมื่อมันติดอยู่บนซองจดหมาย จากผู้ส่งถึงผู้รับ มันก็เดินทางไกลเอาเรื่องอยู่ และเมื่อผู้รับได้เพ่งพินิจแสตมป์แต่ละดวง โลกทัศน์ของคนนั้นก็ได้ออกเดินทางไปรับรู้ในสิ่งที่อยู่บนดวงตราแสตมป์ดวงนั้น
เรื่องราวบนดวงแสตมป์ กระตุ้นให้ผมอยากหาหนังสือมาอ่าน เพื่อศึกษาเรื่องราวในแสตมป์ นานวันเข้าก็เสพติดการอ่าน เสพติดความสวยงามของภาพในดวงแสตมป์ ที่แปลกตาไปจากภาพที่มองเห็นด้วยตา
วันหนึ่ง เหลือบสายตาไปเห็นนิตยสารเล่มหนึ่ง ชื่อ “ปรับโฟกัส” เป็นนิตยสารถ่ายภาพที่มีรูปแบบน่าสนใจในเวลานั้น เด็กมัธยม 3 คนหนึ่งเร่ิมอยากรู้ว่า กล้องถ่ายรูปที่พ่อเคยมี และไม่ค่อยให้เราแตะต้องสักเท่าไหร่ คงเพราะฟิล์มแพง แต่ตอนนั้นพ่อไม่อยู่แล้ว ผมจึงหยิบกล้อง Konica C35 มาลองหัดถ่ายรูป โดยตั้งเป้าว่าจะถ่ายภาพให้เหมือนนิตยสารเหล่านั้น
กล้องตัวนั้นเป็นกล้องที่หน้าตาวินเทจ หรือเรโทร เหมือนที่นิยมกันในกล้องดิจิตัลปัจจุบัน แต่ตอนนั้นมันคือปัจจุบันในยุคของมัน เป็นกล้องที่เปลี่ยนเลนส์ไม่ได้ แต่เปลี่ยนความไวชัตเตอร์ และรูรับแสงได้ และเป็นกล้องแบบวิวไฟน์เดอร์ คือ ช่องมองภาพแยกจากเลนส์ เวลาเล็งภาพ จึงเห็นภาพที่เหลื่อมเล็กน้อยกับภาพที่เราจะได้ผ่านเลนส์ แต่ผมก็ได้เรียนรู้อะไรพอตัวจากกล้องตัวนั้น เมื่ออาจหาญขึ้น ก็เริ่มเก็บเงินซื้อฟิล์มสไลด์มาลองถ่าย
ท่านที่เคยถ่ายภาพด้วยฟิล์มสไลด์ (แน่นอน.. คุณน่าจะ 30+) คงทราบดีว่า ฟิล์มชนิดนี้มีความอ่อนไหวต่อการเปิดรับแสงมาก ถ้าเปิดความไวชัตเตอร์ และรู้รับแสง ไม่สัมพันธ์กับสภาพแสงแค่นิดเดียว ภาพที่ได้ก็จะมืดหรือสว่างเกินไปอย่างเห็นได้ชัด แตกต่างจากการถ่ายภาพด้วยฟิล์มอีกชนิดคือ ฟิล์มเนกาทีฟ ซึ่งมันจะต้องผ่านกระบวนการอัดภาพอีกครั้งหนึ่ง จึงจะได้ภาพบนกระดาษอัดภาพ และสามารถแก้ไขสี ระดับแสง และอีกหลายๆ อย่างในขั้นตอนการอัดภาพได้ แต่ฟิล์มสไลด์ ผิดอย่างไร ก็ออกมาอย่างนั้น
ที่สำคัญคือ กล้องตัวนั้น เครื่องวัดแสงไม่ทำงาน วิธีเดียวที่จะใช้ในการเปิดรับค่าแสง เค้าเรียกว่า กฏ Sunny16 คือ… ถ้าใช้ฟิลม์ ISO 100 ให้เปิดชัตเตอร์ 1/125 แล้วเปิด f/16 ถ้าแดดจัด ถ้าแดดไม่จัดก็ลดลงเหลือ f/11 ถ้าฟ้าครึ้มให้เปิด f/8 ตอนเย็นๆ f/5.6…..
เมื่อมีกล้อง ก็ต้องหาเรื่องออกไปถ่ายรูป แต่เด็กมัธยม 3 คนนั้นรู้จักโลกแค่ทะเลบางแสน ซึ่งจะได้ไปตอนเทศกาลเช็งเม้ง แต่การเดินทางครั้งหนึ่งที่ประทับใจมากที่สุดคือ ตอนที่ได้นั่งรถไฟไปอยุธยากับครอบครัว จำได้ว่าครั้งแรกที่ได้เห็นซากปรักหักพังของเจดีย์เก่าในอยุธยา ผมสัญญากับตัวเองว่า จะถ่ายภาพเลียนแบบโปสการ์ดที่แอบซื้อเอาไว้เป็นต้นแบบให้เหมือนที่สุด
ลืมบอกไปว่า กล้องตัวนั้นเครื่องวัดแสงไม่ทำงาน จึงต้องใช้
วินาทีที่ฟิล์มสไลด์ม้วนนั้นล้างเสร็จ ผมกลั้นหายใจก่อนคลี่ซองฟิลม์ออกดู มันมีความสุขจริงๆ ทั้งๆ ที่ฟิล์มม้วนนั้น มีภาพใช้ได้แค่ 2 ภาพเท่านั้น !
.............