แสงตะวันเปลี่ยนไปที่เบลเยี่ยม

กระทู้คำถาม
บทนำ
          ผมเขียนบทความนี้เพื่อให้ผู้ปกครองและผู้สนใจได้ทราบถึงวิบากกรมของผมและลูกที่ได้รับจากการที่ลูกชายได้เป็นเด็กแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมของโครงการที่มีมูลนิธิที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง แต่ล้มเหลวด้วยการที่ลูกชายผมถูกส่งกลับก่อนกำหนดด้วยข้อกล่าวหาว่าเงียบเกินไป ไม่มีส่วนร่วมกับครอบครัวอุปถัมภ์ ไม่สนใจการเรียน ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่เด็กที่ถูกส่งกลับได้รับ แต่อนิจจาใครจะรับทราบว่าเกิดอะไรขึ้นทั้งก่อน ระหว่างและหลังจากการถูกส่งกลับ ผลลัพธ์คืออะไร ใครควรรับผิดชอบ ใครควรแก้ไข ใครกันแน่ที่เงียบ และควรมีการแก้ไขเยียวยาอย่างไร ผมจึงเขียนบทความนี้เพื่อขอเป็นข้อมูลให้ไว้กับทุกคน และหวังว่าจะไม่ประสบปัญหาเหมือนผมและลูก

จุดมุ่งหมายและความตั้งใจ
       ลูกชายผมซึ่งต่อไปผมขอเรียกชื่อแทนว่า “บิค” ความตั้งใจของเขามีอย่างสูงที่อยากเป็นเด็กแลกเปลี่ยนไปต่างประเทศ ประกอบกับเขาชอบภาษาอังกฤษมาก การสมัครครั้งแรกของบิคเมื่ออยู่ ม.3 เขาติดสำรองกับโครงการแลกเปลี่ยนที่มีชื่อเสียงมีเครือข่ายไปได้ทั่วโลก สุดท้ายเขาได้รับการเลื่อนสถานะเป็นตัวจริงที่ประเทศหนึ่งในยุโรป ซึ่งไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษ บิคอยากไปมากขอร้องว่าเขาไปได้ไหม แต่ผมเห็นว่าอย่างเพิ่งไปเลยเพราะว่าเขาไปตอนที่อยู่ ม4 ซึ่งเป็นช่วงเปลี่ยนการเรียน และบิคเองเลือกเรียนสายวิทย์ เนื่องจากเขาเป็นเด็กเรียนดีมาก รวมทั้งเวลาที่แจ้งมากระชั้นชิดมาก ยังไม่มีการเตรียมการใดๆเลยเกี่ยวกับการศึกษาของเขา ผมจึงปฎิเสธและบอกบิคว่าถ้าปีหน้าเขาสอบได้จะให้ไปโดยไม่โต้แย้ง ผมรู้ว่าบิคเสียใจและเสียความรู้สึก แต่ด้วยความที่บิคเป็นคนรักพ่อและเชื่อฟังผมมาตลอด จึงยินยอมตามคำสั่งผม  ครั้นปีต่อมาบิคได้ไปสอบอีกครั้ง แต่ก็ยังติดแค่ตัวสำรอง ความในใจบิคอยากไปอเมริกามากกว่า เขาจึงคอยความหวังนั้นและพร้อมที่จะรอจนกว่าจะได้ตัวจริง ผมได้เตรียมการทุกอย่างด้านการศึกษาไว้ในขณะที่อยู่ ม 4 ทั้งการเรียนพิเศษในวันเสาร์อาทิตย์ โดยเรียนรวมถึงเนื้อหาใน ม 5 บิคตั้งใจเล่าเรียนใน ม 4 อย่างมากและสุดท้ายเขาก็ได้รับข่าวว่าติดตัวจริงแต่ไปเบลเยี่ยมไม่ใช่อเมริกา ซึ่งครั้งนี้ผมไม่ปฎิเสธหรือยับยั้งการไปอีก แม้แม่ของบิคไม่อยากให้ไปเพราะเป็นห่วงก็ตาม ผมเตือนบิคถึงการเตรียมพร้อมทั้งด้านจิตใจ อารมณ์ วัฒนธรรม และการศึกษาที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง บิคทำทุกย่างที่ผมแนะนำ ตั้งใจเรียน ทุ่มเทเวลาเรียนพิเศษ ซื้อหนังสือประเทศเบลเยี่ยมมาอ่านเพื่อเรียนรู้ภาษาดัทช์ ปฎิบัติตามข้อตกลงและคำแนะนำทุกอย่างของผมและโครงการทุกอย่างที่มีกิจกรรมให้เข้าร่วม บิคไม่เคยมีข้อแม้เลยในการดำเนินการ หัวใจของเขาพร้อมเกินร้อยในการไปศึกษาต่อต่างประเทศครั้งแรก แม้จะเป็นเพียงโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมหนึ่งปีก็ตาม
          ผมพาบิคไปพบผู้อำนวยการของโรงเรียน เพื่อแสดงถึงความมีสัมมาคารวะแบบไทยๆคือไปมาลาไหว้ และขอคำอำนวยพรจากผู้ใหญ่ เพื่อให้บิครู้สึกถึงคุณค่าของวัฒนธรรมไทย การเตรียมชุดหรืออุปกรณ์ต่างๆรวมทั้งอาหารการกินเพื่อไปแสดงให้ชาวต่างชาติได้ดู เขาก็พร้อมทำตามทุกอย่าง ภาษาที่ไปก็ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ บิคก็ไปหาซื้อหนังสือมาอ่าน ผมเองก็หวั่นใจเรื่องภาษา เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเข้าใจภาษากันภายในเดือนสองเดือน แต่ทางเจ้าหน้าที่โครงการก็ได้โฆษณาว่าเด็กจะได้ประโยชน์จากภาษาที่สามมากกว่าภาษาอังกฤษเพียงอย่างเดียว และนี่คือหายนะที่เกิดขึ้นกับบิคในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าซึ่งหมายถึงอนาคตของเขา บิคเป็นเด็กเรียนเก่ง ตั้งใจเรียน เคารพเชื่อฟังผู้ใหญ่ เมื่อได้รับคำแนะนำจะปฎิบัติตามด้วยความเต็มใจ ไม่เกเร ไม่สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า หรือมีปัญหาด้านเพศสัมพันธุ์ มองโลกในแง่บวก ไม่มีปัญหาการเรียนถือว่าอยู่ในระดับ Top Ten ของห้องเลยทีเดียว Grade ที่ได้รับมักสูงกว่า 3.75 ใครจะคาดคิดว่าโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมจะทำให้เขาอยู่ฝั่งตรงข้ามโดยสิ้นเชิงในอีกห้าเดือนต่อมา นั่นคือความทุกข์ใจของผู้เป็นพ่ออย่างผม ทุกอย่างเปลี่ยนไปจากเดิม แสงตะวันหรือหัวใจดวงน้อยของผมกำลังเผชิญปัญหาใหญ่หลวงโดยไม่มีใครช่วยเขาได้ซ้ำร้ายยังซ้ำเติมเขาอีกซึ่งรวมถึงตัวผมด้วย
ประสบการณ์แรกในต่างแดน
         และแล้ววันเวลาที่รอคอยก็มาถึง บิคตื่นเต้นมากเขาเตรียมพร้อมทุกอย่างแล้วด้วยกายและใจที่จะเห็นถึงชีวิตในต่างแดนภาษษและวัฒนธรรมที่จะได้พบ แต่ผมก็ยังเตือนเขาเสมอว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิดที่จะปรับตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Homesick ซึ่งอาจนึกไม่ถึงว่าจะเกิด บิคบอกว่าไม่ต้องห่วง เขาไม่ Homesick หรอก เขาจะตั้งใจเรียน ไม่ให้ผิดหวัง วันเดินทางที่สนามบินสุวรรณภูมิในเดือนสิงหาคม 2553 เพื่อนฝูงที่ต้องร่วมเดินทางมีมากถึงเกือบ 40 คน มันดูคึกคักและตื่นเต้นเป็นอย่างมากสำหรับเด็กๆ เมื่อพิธีการต่างๆในการ Check in จบลง พร้อมด้วยคำอธิบายของเจ้าหน้าที่โครงการในเรื่องเอกสารเพิ่มเติมเมื่อไปถึงยุโรป ซึ่งก็คือประเทศเบลเยี่ยม แต่ต่างเมืองกัน โดยได้รับคำชี้แจงว่า เด็กทุกคนต้องไปต่อ VISA ที่นั่นเนื่องจากสถานทูตเบลเยี่ยมในไทยให้ไว้แค่ 3 เดือนเท่านั้น ให้ทุกคนดำนินการต่อที่เบลเยี่ยม และนี่ก็เป็นปัญหาหนึ่งที่บิคต้องประสบโดยไม่นึกว่าจะเป็นเรื่องเลวร้ายและเข้าใจผิดของเขากับโฮส
          ก่อนขึ้นเครื่องบินสิ่งที่บิคทำกับพ่อของเขาได้สร้างความประหลาดใจก็คือเข้ามากอดผมต่อหน้าทุกคนที่ไปส่ง ขอบคุณทุกคนที่ทำให้ฝันของเขาเป็นจริง นี่เป็นการกอดครั้งแรกของบิคที่มีต่อผมอย่างจริงใจ ใช่ผมดีใจมาก และประหลาดใจมาก จึงขอให้เขาอดทน ปรับตัว และทำตัวเป็นประโยชน์ต่อโฮส ซึ่งขณะนั้นเรารับทราบชื่อโฮสแล้วว่าคือใครทำอะไรอยู่เมืองใด และหวังให้เขาสอนชีวิตแห่งการแลกเปลี่ยนครั้งนี้อย่างมีคุณค่า แม้จริงๆแล้วผมก็นึกหวั่นอยู่ในใจหลายเรื่อง แต่เมื่อเป็นสิ่งที่บิคต้องการและฝันไว้ คนเป็นพ่อและแม่ก็พร้อมจะตามใจในฝันนั้นให้เป็นจริง เมื่อเขาเดินทางถึงเบลเยี่ยม สิ่งแรกที่ต้องทำคือการเข้าค่ายรวม  4 วันเพื่อเรียนรู้การเข้ากลุ่มและวัฒนธรรม นั่นทำให้ผมไม่สามาถติดต่อบิคได้เลยในช่วงแรก
ความทุกข์ครั้งที่หนึ่ง ประสบการณ์อันขมขื่น
        บิคได้ไปอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์ครอบครัวแรกหรือโฮสที่มีพ่อเป็นครูสอนภาษา แม่เป็นแม่บ้าน มีลูกสาว  2 คน ลูกชาย 1 คนซึ่งอายุมากกว่าบิคทั้งหมด และมีเพียงลูกสาวและลูกชายอย่างละหนึ่งคนที่อยู่ที่บ้าน ในภายหลังจึงรู้ว่าตัวโฮสพ่อเป็นคนมีอำนาจมากสุดในบ้าน บิคไม่เคยถูกโฮสแม่ว่าแม้แต่ครั้งเดียว ผมเริ่มติดต่อกับบิคทางคอมพิวเตอร์และ Facebook  ถามถึงสารทุกข์สุขดิบและการปรับตัวในช่วงแรกว่ามีปัญหาอะไรหรือไม่ การไปโรงเรียนต้องไปด้วยจักรยานประมาณ 30 นาทีจากบ้านซึ่งถือว่าอยู่ในเมืองที่มีรถผ่าน ต่างจากบ้านที่ไทยที่เป็นหมู่บ้านไม่มีรถผ่านหน้าบ้านแต่อย่างใด ในช่วงแรกบิคต้องไปเรียนภาษาทุกสัปดาห์เป็นเวลาประมาณ 2 เดือนส่วนในชั้นเรียนบิคถูกให้ไปเรียนในชั้น Grade 12 ซึ่งเทียบเท่า ม.6 บ้านเรา ผมเห็นว่ามันสูงกว่าที่บิคเรียนอยู่ที่เมืองไทย แม้จะขอให้ลดลงลงมาเป็น Grade 11 แต่ทางนั้นก็ไม่ยอม ในส่วนห้องเรียนมีนักเรียนประมาณ 20 คน และหลายเชื้อชาติรวมกัน เวลาผ่านไปประมาณ หนึ่งเดือนผมเริ่มเห็นความผิดปกติในอารมณ์ของบิคเกิดขึ้น รูปของเขาใน Facebook เปลี่ยนเป็นรูปนักดนตรีแนวร๊อก และเขามักบอกว่าเขาจะทำตามใจในสิ่งที่เขาชอบ สุดท้ายผมจึงตัดสินใจเมลไปหาโฮสให้เขาประเมินพฤติกรรมของบิคในรอบเดือนให้ผมทราบ
          สิ่งที่ผมได้รับแจ้งจากโฮสก็คือ ช่วงนี้เป็นช่วงปรับตัวของบิค เขาประหลาดใจกับพฤติกรรมการรับประทานอาหารเย็นร่วมกันที่บิคจะเดินออกจากโต๊ะทันทีที่รับประทานอาหารเสร็จแล้วกลับเข้าห้อง แต่วัฒนธรรมของที่นั่นคือการรับประทานอาหารร่วมกันแล้วพูดคุยกัน ดูโทรทัศน์ร่วมกันก่อนเข้านอนซึ่งต่างจากครอบครัวผม ที่ต่างคนต่างรับประทานอาหาร ยกเว้นวันเสาร์อาทิตย์ที่จะร่วมกันรับประทานข้าวนอกบ้าน อาจเป็นส่วนรับผิดชอบของผมก็ได้ที่ไม่ได้มีเวลาทุกวันกับครอบครัว แต่เป็นเพราะภารกิจการทำงานที่ต้องกลับดึกจึงไม่มีกิจกรรมบนโต๊ะอาหารแบบตะวันตกโฮสได้แนะนำบิคให้ซื้อกางเกงในเพิ่มอีกประมาณ 10 ตัว เนื่องจากที่นั่นซักผ้าโดยเครื่องสัปดาห์ละครั้ง และเขาให้เวลาบิคในการปรับตัวทั้งเรื่องการที่บิคยังไม่ค่อยมีส่วนร่วมมากนักในกิจกรรมของโรงเรียน และการเล่นกีฬา ผมจึงบอกให้บิคสมัครเข้าฟิตเนสออกกำลังกาย บิคแจ้งว่าเขากลัวเสียเงินจึงไม่ค่อยอยากจ่าย ผมบอกว่าจ่ายไปเถอะเพื่อการเรียนรู้ ประกอบกับนิสัยประหยัดของบิคมาแต่ไหนแต่ไร เขาจึงรับปากดำเนินการ แต่กว่าการสมัครจะเรียบร้อยก็ใช้เวลานานมาก
       ในช่วงนี้ผมได้กำชับบิคเรื่องต่อายุ VISA ให้ทันในเดือน ต.ค.53 โดยให้แจ้งโฮส ซึ่งเขาได้แจ้งโฮสเป็นระยะ แต่เรื่องดังกล่าวกลับเป็นเรื่องเลวร้ายสำหรับเขาเมื่อบิคถูกกล่าวหาว่าโกหกจากโฮส โฮสบอกเขาว่าไม่มีการต่อ VISA มีแต่การทำ Residence Permit โฮสขอจดหมายหรือ e- mail จากโครงการ ซีงบิคก็หาไม่ได้ มันจะมีได้อย่างไร ในเมื่อมีแต่แจ้งให้เด็กรับทราบว่าต้องต่อ VISA ตอนอยู่สนามบินไม่มีการพูดถึง Residence Permit แต่อย่างไร ความเข้าใจผิดเรื่องนี้เป็นเรื่องร้ายแรงที่ทำให้บิคหงุดหงิดใจและทำร้ายจิตใจเขาอย่างมาก เพราะบิคไม่ใช่เด็กโกหก เมื่อผมถามทางเจ้าหน้าที่โครงการที่เมืองไทยจึงรู้ว่ามันคืออันเดียวกันจากที่แจ้งที่สนามบิน แต่ทุกคนหารู้ไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเด็กมันทำร้ายเขาลงอย่างสิ้นเชิง มันเป็นบาปกรรมที่พวกเราได้ทำกับเด็กไว้ หลายคนอาจพูดว่าทำไมคนอื่นถึงไม่เป็นอย่างบิค ผมเห็นว่ามันต่างกรรมต่างวาระกัน สภาพแวดล้อมที่ต่างกันทั้งครอบครัวโฮสทั้งเด็ก ผมเริ่มคิดว่าการส่งเด็กไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนด้วยอายุที่เป็นรอยต่อในชีวิต มันควรใช่ช่วงนี้หรือไม่ เพราะสำหรับบิคมันเปลี่ยนทัศนคติเขาไปอย่างสิ้นเชิง เขาจะดำเนินชีวิตต่ออย่างไร เป็นเรื่องที่ทำให้ผมกังวลมากขึ้นความเครียดที่เกิดขึ้นในตัวบิคในช่วงเวลาแค่ 2 เดือนเท่านั้น แต่บิคบอกผมว่าเขายังไปไหวและทนได้ไม่ต้องห่วง ผมเองเป็นผู้ที่บอกเขาว่าต้องอดทนและรับการเปลี่ยนแปง อย่ากลับก่อน เพราะมันจะฝังใจไปชั่วชีวิต
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่