สงบด้วยลมหายใจ พระ ไพศาล วิศาโล

สงบด้วยลมหายใจ   พระ ไพศาล วิศาโล

ลมหายใจไม่เพียงช่วยให้เรามีชีวิตอยู่ได้เท่านั้น
หากยังสามารถพาเราเข้าถึงความสงบได้ด้วย
ทุกครั้งที่เราหายใจเข้า มิใช่ออกซิเจนเท่านั้นที่ถูกลำเลียงไปเลี้ยงร่างกาย
หากเราวางใจเป็น ลมหายใจเข้ายังนำความสงบเย็นไปบำรุงจิตใจเราด้วย
ขณะเดียวกันลมหายใจออกสามารถระบายความหม่นหมอง
ขึ้งเครียดออกไปจากใจของเรา ได้อีกต่างหาก
แต่ความจริงดังกล่าวมักถูกมองข้ามไป
คนส่วนใหญ่จึงหายใจแบบทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ อย่างน่าเสียดาย

ความสงบสามารถบังเกิดกับเราได้ไม่ยาก
เพียงแต่น้อมจิตมาอยู่กับลมหายใจทั้งเข้าและออกอย่างต่อเนื่อง
จะปิดตาด้วยก็ได้ พร้อมกับผ่อนคลายร่างกายทุกส่วนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
ท่าที่ดีคือท่านั่งขัดสมาธิ แต่หากร่างกายไม่อำนวย
ก็ขอให้นั่งในท่าที่สะดวกที่สุด หรือนั่งเก้าอี้
โดยไม่เอนกายพิงกับพนักหรือเสา หาไม่จะง่วงหลับได้ง่าย

ทำใจให้สบาย ยิ้มน้อย ๆ ขณะเดียวกันก็วางความคิดต่าง ๆ เอาไว้ชั่วคราว
ไม่ว่าเรื่องที่ผ่านไปแล้ว หรือที่ยังมาไม่ถึง อย่าเพิ่งเอามาเป็นกังวล
ขอให้ถือว่า ลมหายใจเข้าและออกเป็นสิ่งเดียวที่สำคัญที่สุดสำหรับเราในขณะนี้
แต่ก็อย่าเผลอไปบังคับลมหายใจ ให้หายใจอย่างสบาย ๆ เป็นธรรมชาติ
อย่าไปคาดหวังอะไรกับลมหายใจทั้งสิ้น

มีหลายวิธีในการน้อมจิตมาอยู่กับลมหายใจ
เช่น ตามลมหายใจเข้าตั้งแต่ปลายจมูกไปจนสุดที่อกหรือช่องท้อง
แล้วตามลมหายใจออกจนไปสุดที่ปลายจมูก
โดยมีการนับทุกครั้งที่หายใจออก ตั้งแต่ ๑ ไปถึง ๑๐ แล้วเริ่มต้นใหม่
หากเผลอไป จำไม่ได้ว่านับถึงไหน ก็เริ่มต้นนับ ๑ ใหม่
แต่บางคนก็นิยมใช้คำบริกรรมควบคู่ไปด้วย
เช่น หายใจเข้าก็นึกถึง “พุท” หายใจออกก็นึกถึง “โธ”

อีกวิธีหนึ่งก็คือ เพียงแต่รับรู้ถึงลมสัมผัสที่ปลายจมูกทั้งเข้าและออก
โดยไม่มีการนับหรือบริกรรมใด ๆ
วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีประสบการณ์มาพอสมควรแล้ว
แต่ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตาม สิ่งสำคัญอยู่ที่การวางใจให้เป็น
กล่าวคือ ไม่บังคับจิตจนเกินไป ควรมีความนุ่มนวลอ่อนโยนกับจิต
ไม่พยายามกดหรือห้ามความคิด
เมื่อเผลอคิดไป ไม่ว่าไปไกลแค่ไหน
ทันทีที่รู้ตัว ก็ให้พาจิตกลับมาที่ลมหายใจ
โดยไม่ต้องไปสนใจกับความคิดดังกล่าว รวมทั้งไม่ไปพยายามหยุดมันด้วย
ทันทีที่จิตกลับมาอยู่กับลมหายใจ ความคิดเหล่านั้นก็จะสลายไปเอง

ใหม่ ๆ อาจมีความคิดฟุ้งซ่านมากมาย ก็ขอให้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา
อย่าไปหงุดหงิดกับใจของตัว แต่ถ้าหงุดหงิดก็ให้รู้
ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นกับใจก็รู้อยู่เสมอ ไม่ว่าบวกหรือลบ
ผ่อนคลายหรือตึงเครียด
ข้อสำคัญคืออย่าให้ความรู้สึกนึกคิดเหล่านี้ดึงจิตออกไปจากลมหายใจ
หากใจอยู่เคียงคู่กับลมหายใจกันอย่างต่อเนื่อง ย่อมเกิดความสงบในที่สุด

หากคุ้นเคยกับลมหายใจจนเป็นนิสัย ลมหายใจจะเป็นที่พักพิงอย่างดีของจิต
ในยามที่ถูกพายุอารมณ์เล่นงาน
เช่น ขณะที่กำลังโกรธ หงุดหงิด เหนื่อยหน่าย ท้อแท้ เศร้าโศก
ให้กลับมาที่ลมหายใจทันที
ช่วงแรกอาจหายใจเข้าลึก ๆ หายใจออกยาว ๆ สัก ๕-๑๐ ครั้ง
เมื่อตั้งหลักได้ ก็เพียงแต่รับรู้เบา ๆ ถึงการเคลื่อนหรือสัมผัสของลมหายใจ
จะทำนานเท่าใดก็ได้สุดแท้แต่ใจต้องการ

ไม่ว่าอยู่บ้านหรือในที่ทำงาน หากมีเวลาว่าง
แทนที่จะปล่อยใจลอย หรือหายใจรดทิ้งไปเปล่า ๆ
ไม่ดีกว่าหรือหากจะหันมาใส่ใจกับลมหายใจของเราดูบ้าง
ยิ่งถ้ากำลังนั่งรถ หรือคอยใครอยู่
แทนที่จะปล่อยเวลาทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์
การฝึกใจให้รู้ตัวกับลมหายใจ คือการใช้เวลาว่างที่คุ้มค่าที่สุด
แต่ถ้าวุ่นจนลืมทำ ก่อนนอนและตอนตื่นนอนก็ควรหาเวลาทำ ๕-๑๐ นาทีก็ยังดี

เดินจงกรม

เดินจงกรมเป็นวิธีพักใจอีกอย่างหนึ่ง
แต่แทนที่จะน้อมจิตมาอยู่กับลมหายใจเข้าและออก
ก็ให้มาอยู่กับการย่างเท้าทั้งสอง โดยเดินกลับไปกลับมาอย่างช้า ๆ
ระยะทางประมาณ ๓-๕ เมตร
ทอดสายตาไปที่พื้นประมาณ ๑.๕ เมตรจากตัว
ระหว่างที่เดินก็ให้รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของเท้า
โดยไม่ถึงกับเพ่งหรือจดจ่อที่เท้า
เมื่อใจเผลอไปคิดถึงเรื่องใดก็ตาม ทันทีที่รู้ตัวก็ให้พาจิตกลับมาอยู่ที่การเดิน
ทั้งนี้ไม่ต้องไปสนใจว่าเมื่อกี้คิดอะไร
ทำไมถึงคิด ให้ปล่อยวางความคิดโดยไม่ต้องอาลัย

ขอให้สังเกตว่าเมื่อใดที่จิตเผลอคิดออกไปนอกตัว
จิตจะไม่รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของร่างกายหรือเท้าที่ก้าวเดิน
จนบางครั้งลืมไปด้วยซ้ำว่ากำลังเดินอยู่
แต่เมื่อรู้ตัวว่าเผลอ แล้วกลับมาอยู่กับการเดิน
ความรู้สึกตัวจะกลับมาแจ่มชัด
และรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของร่างกายรวม ๆ อีกครั้งหนึ่ง
ความรู้ตัวและความรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของร่างกาย
จึงสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด

ใหม่ ๆ อาจจะยังวางจิตไว้ไม่ถูก คือ แทนที่จะรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของเท้า
ก็ไปเพ่งหรือจดจ่อที่เท้า แม้จะทำให้จิตฟุ้งน้อยลง
แต่ก็อาจทำให้เครียดได้ง่าย
เมื่อใดที่รู้สึกเครียด ก็ให้ผ่อนจิตลงมา
เพียงแค่ให้รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของเท้าก็พอ
วิธีนี้แม้จิตจะเผลอออกไปนอกตัวบ่อยกว่า
แต่การรู้ตัวว่าเผลอครั้งแล้วครั้งเล่า จะทำให้สติปราดเปรียวว่องไวขึ้น
ช่วยให้เผลอน้อยลง และมีความรู้สึกตัวต่อเนื่องขึ้น
ยิ่งมีความรู้สึกตัวต่อเนื่องมากเท่าไร
จิตก็จะยิ่งโปร่งเบาและแจ่มใสมากเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม การเดินจงกรมนั้นมีหลายแบบ
นอกจากที่กล่าวมาแล้ว ก็ยังมีการกำหนดจิต
ไปที่การเคลื่อนของเท้าอย่างละเอียดถี่ยิบ
ตั้งแต่ยกเท้า ย่างเท้า แล้วเหยียบพื้น เป็นต้น ผู้สนใจควรศึกษาเพิ่มเติมจากผู้รู้

เดินด้วยใจ

เวลาเดินไปไหนมาไหนคนส่วนใหญ่มักคิดแต่เพียงเดินให้ถึงจุดหมาย
แต่การเดินมีประโยชน์มากกว่านั้น
หลายคนรู้ดีว่าการเดินช่วยให้ร่างกายแข็งแรง
แต่น้อยคนที่จะตระหนักว่าการเดินนั้นมีผลดีต่อจิตใจด้วย
ไม่ใช่แค่ฝึกความอดทนเท่านั้น
หากยังช่วยให้ใจสงบ ผ่อนคลาย และตื่นรู้อยู่เสมอ
การเดินโดยมุ่งเพียงแค่ไปไห้ถึง
ทำให้เราเป็นทุกข์ได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อจุดหมายปลายทางยังอยู่อีกไกล
ยิ่งคิดว่าเมื่อไรจะถึง ๆ ก็ยิ่งเครียดและหงุดหงิด
ทั้ง ๆที่กายยังไหว แต่ใจกลับเพลียเสียแล้ว
อันที่จริงเราไม่จำเป็นต้องทุกข์ขนาดนั้นเลยก็ได้
หากวางใจให้เป็น เช่น น้อมจิตมาอยู่กับทุกย่างก้าว
ให้มีความรู้สึกตัวกับการเดินแต่ละก้าว
บางครั้งใจเผลอไปที่อื่น ระลึกได้เมื่อไร ก็พาใจกลับมาอยู่กับการเดิน
ให้กายกับใจร่วมเดินไปด้วยกัน
อย่าปล่อยให้กายอยู่ตรงนี้ แต่ใจไปรออยู่ข้างหน้าแล้ว
ใจที่เฝ้าแต่จะถึงจุดหมายไว ๆ มีแต่จะนำความทุกข์มาให้โดยไม่จำเป็น

เมื่อ ใจอยู่กับกายทุกย่างก้าวอย่างต่อเนื่อง
ถึงแม้ตัวจะยังไม่ถึงจุดหมาย
แต่ใจกลับ “ถึง”ทุกขณะ นั่นคือเข้าถึงความสงบเย็นและผ่อนคลาย
เพราะเมื่อจิตไม่วอกแวก หรือชะเง้อมองจุดหมาย
ก็ย่อมไม่ถูกเผาลนด้วยความอยากจะไปให้ถึงไว ๆ
ขณะเดียวกันการหมั่นรู้ทันความนึกคิดปรุงแต่ง
(รวมทั้งความอยากจะถึงที่หมายไว ๆ)
ก็ช่วยฝึกสติหรือความระลึกได้ให้ทำงานได้รวดเร็วฉับไว
ทำให้จิตมีความรู้สึกตัวอย่างต่อเนื่อง

ทุกวันนี้เราเดินด้วยความรู้สึกตัวทั่วพร้อมน้อยมาก
เพราะใจลอยเกือบตลอดเวลา หากไม่พะวงถึงจุดหมายปลายทาง
ก็มักนึกถึงเรื่องต่าง ๆ มากมาย รวมทั้งวางแผนร้อยแปด
บางครั้งอากัปกิริยาจึงไม่ต่างจากคนเดินละเมอ
ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมเกิดขึ้นได้เมื่อเรามีสติอยู่กับการเดิน
คือใจรับรู้ความเคลื่อนไหวทุกย่างก้าว
เมื่อใดที่จิตเผลอออกไปนอกตัว พลัดไปอยู่กับเรื่องราวในอดีตหรืออนาคต
รู้ตัวเมื่อไร ก็พาจิตกลับมาอยู่กับปัจจุบันคือการเดิน
โดยไม่จำเป็นต้องเพ่งที่เท้า หรือบังคับจิตให้อยู่กับเท้า
ทำเช่นนี้บ่อย ๆ ความรู้สึกตัวจะเพิ่มขึ้น สติจะปราดเปรียวขึ้น
ทำให้เราไม่เผลอง่าย จะคิดหรือทำอะไร
ก็ทำด้วยใจที่เต็มร้อยและมีสมาธิมั่นคง

ไม่ว่าจะเดินไปปากซอย ขึ้นบันได หรือไปทำงาน
เป็นโอกาสดีสำหรับการบ่มเพาะสติ สร้างความรู้สึกตัว
อันเป็นประตูสู่สมาธิและความสุข ซึ่งเราสามารถเข้าถึงได้แม้ในชีวิตประจำวัน

อาบน้ำ

การอาบน้ำนอกจากจะช่วยชำระกายให้สะอาดแล้ว
ยังสามารถชำระใจให้แจ่มใสได้ด้วย
หากเรามีสติอยู่กับการอาบน้ำ กล่าวคือไม่ปล่อยใจลอย
หรือหาเรื่องต่าง ๆ มาคิดครุ่นขณะอาบน้ำ
จิตรับรู้อยู่กับการเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของร่างกาย
ไม่ว่าถูสบู่ ขัดคราบไคล หรือเช็ดตัว ก็รับรู้อย่างต่อเนื่อง
หากจะเผลอคิดไป ก็รู้เท่าทันความคิด และปล่อยวางได้

สำหรับคนส่วนใหญ่ การอาบน้ำเป็นช่วงที่ร่างกายและจิตใจกำลังผ่อนคลาย
จึงมักปล่อยใจลอย จะไปไหนก็สุดแท้แต่ใจอยากจะไป
แต่บ่อยครั้งใจกลับไปจมจ่อมอยู่กับความทุกข์ในอดีต
หรือความกังวลกับอนาคต หาไม่ก็คิดถึงการงานอันชวนให้เครียด
ทำให้ไม่มีโอกาสได้ผ่อนคลายในช่วงเวลาที่น่าจะสบาย
ใช่แต่เวลาอาบน้ำเท่านั้น
ใจที่ชอบฟุ้งซ่านยังหาเรื่องเครียดมาใส่ตัวตลอดทั้งวัน
จนกินไม่ได้นอนไม่หลับก็มี แม้แต่เที่ยวก็ยังเที่ยวไม่สนุก
เพราะหาเรื่องต่าง ๆ มาครุ่นคิด

เป็นธรรมดาของใจที่ชอบฟุ้งซ่าน
แต่ปัญหาจะไม่เกิดหากใจมีสติรู้เท่าทันความฟุ้งซ่าน
สติยิ่งไวเท่าไร ใจก็ยิ่งฟุ้งซ่านน้อยลง และอยู่เป็นที่เป็นทางมากขึ้น
แต่สติจะว่องไวได้ก็เพราะผ่านการฝึก
เราสามารถฝึกใจให้มีสติว่องไวได้ในทุกโอกาส
ไม่จำต้องรอเข้าคอร์สกรรมฐาน
ไม่ว่าจะทำอะไรในชีวิตประจำวันก็เป็นโอกาสฝึกสติได้ทั้งสิ้น

หลายคนบ่นว่าไม่มีเวลาทำสมาธิ เข้ากรรมฐาน
แต่ลืมไปว่าช่วงเวลาที่อยู่ในห้องน้ำ เป็นโอกาสดีสำหรับการฝึกสติ
วันหนึ่ง ๆ เราใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำไม่น้อยกว่า ๑ ชั่วโมง
นอกจากการอาบน้ำแล้ว ยังต้องถูฟันและขับถ่าย
หากทำกิจวัตรเหล่านี้อย่างมีสติ
(ช่วงขับถ่ายอาจใช้วิธีน้อมจิตอยู่กับลมหายใจ)
ทั้งนี้โดยถือหลักง่าย ๆ ว่ากายอยู่ไหน ใจอยู่นั่น
ปีหนึ่ง ๆ ก็เท่ากับว่าได้ปฏิบัติธรรมถึง ๑๕ วันเต็ม (๓๖๕ ชั่วโมง)
โดยยังไม่ได้เข้าคอร์สกรรมฐานด้วยซ้ำ

กินอาหาร

เช่นเดียวกับการหายใจ การกินเป็นประโยชน์ทั้งต่อร่างกายและจิตใจ
ประโยชน์นั้นไม่ได้อยู่ที่ว่าเรากินอะไร หรือเท่าไร
หากยังขึ้นอยู่กับว่าเรากินอย่างไรด้วย

การกินที่ถูกต้องนอกจากจะเป็นการบำรุงร่างกายแล้ว
ยังสามารถบำรุงใจได้ด้วย
การกินที่ถูกต้อง นอกจากจะหมายถึงการกินอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
ในปริมาณที่เหมาะสมแล้ว ยังรวมถึงการกินอย่างมีสติ
กล่าวคือรู้เท่าทันความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น
ไม่ปล่อยใจลอยไปกับความคิดต่าง ๆ จนลืมไปว่ากินอะไรไปแล้วบ้าง
หรือกำลังกินอะไรอยู่ ขณะที่กิน ใจก็อยู่กับกินหรือการเคี้ยวอาหาร
แต่ไม่ถึงกับเพ่งหรือจดจ่อกับการเคี้ยว จนไม่รู้ว่ากำลังตักอะไรเข้าปาก
ขณะเดียวกันก็ไม่หงุดหงิดกับใจที่ชอบออกนอกตัว
เพราะเป็นธรรมดาของใจที่ชอบฟุ้งโดยเฉพาะในยามนี้

ใช่แต่ความคิดเท่านั้นที่ทำให้เราขาดสติ
อารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ ก็ทำให้เราเผลอบ่อย ๆ
โดยเฉพาะความเพลิดเพลินในรสชาติของอาหาร
หลายคนกินเอา ๆ โดยไม่ทันเคี้ยวให้ละเอียด
ก็เพราะลืมตัวไปกับความเอร็ดอร่อยของอาหารนั่นเอง
การกินอาหารอย่างมีสติ ไม่ได้หมายถึงการปฏิเสธรสชาติของอาหาร
แต่หมายความว่าเมื่ออาหารอร่อย ก็รู้ว่าอร่อย
แต่ไม่เพลิดเพลินดื่มด่ำกับมันจนลืมตัว ยังคงกินด้วยความรู้ตัว
เรียกว่า กินอย่างเป็นนายของอาหาร มิใช่เป็นทาสของอาหาร

ในทางตรงข้าม หากอาหารไม่อร่อย ไม่น่าดู ก็หาได้รังเกียจไม่
แม้จะมีความรู้สึกดังกล่าวเกิดขึ้น ก็รู้ว่ามีอยู่
แต่ไม่ปล่อยให้มันครอบงำใจ จนกินด้วยความทุกข์

หากจำเป็นจะต้องคุยกับใคร ก็คุยอย่างมีสติ
ไม่เพลินหรือเครียดกับการคุย จนไม่รู้ว่ากำลังกินอะไรหรือตักอะไรใส่ปาก
แต่ถ้าไม่มีใครมาคุยด้วย
ก็ไม่ควรหาอะไรอย่างอื่นมาทำขณะที่กำลังกินอาหาร
เช่น อ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์ หรือคุยโทรศัพท์
การทำอะไรหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน
แม้มุ่งหวังจะใช้เวลาให้เป็นประโยชน์อย่างเต็มที่
แต่อาจลงเอยด้วยการทำอะไรไม่ได้ดีสักอย่างเดียว
ได้แต่ปริมาณ แต่ขาดคุณภาพ
ที่สำคัญก็คือบั่นทอนจิตใจ ทำให้เป็นคนมีสมาธิหรือสติได้ยาก

การกินอย่างมีสติ จะช่วยให้เรากินอาหารในปริมาณที่เหมาะสม
ไม่กินมากเกินไปเพราะหลงในรสชาติ จนเกิดอันตรายแก่ร่างกาย
ขณะเดียวกันก็ช่วยให้เราเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์
ไม่กินตามใจปากทั้ง ๆ ที่เป็นโทษ
สิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่