ธรรม ๔ ประการ ที่ทำให้ชีวิตตกนรก และขึ้นสวรรค์

การตกนรก และขึ้นสวรรค์นั้น บางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงเวลาหมดอายุขัย เพราะขึ้นชื่อว่าผลบาปและบุญ ก็ย่อมให้ผลในตัวเอง

หลายครั้งที่คนบางคน ได้รับผลกรรมทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ ทำให้เหมือนกับตกนรก และึขึ้นสวรรค์ทั้งเป็น เช่น ชีวิตตกต่ำ ไ้ด้รับความลำบาก หรือสุขสบายจนน่าอิจฉา  ซึ่งแน่นอนว่ากรรมผลักดันชีวิตให้ขึ้นหรือลงเหล่านั้น ก็ย่อมส่งผลในเวลามรณะว่าจะได้เกิดอยู่ในภพที่สูงขึ้นไป หรือต่ำลงมา เหมาะสมตามสภาพจิตใจที่ทำสิ่งนั้น ๆ ลงไปด้วย


ดังนั้นแ้ล้ว หากใครก็ตาม ที่ต้องการเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ หรือลงนรก ในปัจจุบันชาติ ขอเพียงดำเนินตามมรรคานั้น ๆ ก็จะได้ไปสู่ความเป็นอย่างนั้น


       [๒๑๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการเหมือนถูกนำมาโยนลงในนรก

ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ

กายทุจริต ๑  (ฆ่าสัตว์แม้แต่มด,ขโมยทรัพย์ฉ้อโกง หรือแม้แต่ปอกลอกเขาให้ได้มา, ประพฤติผิดในกาม)

วจีทุจริต ๑ (พูดโกหก แม้แต่การเล่นมุกหรืออำ,พูดนินทา,พูดคำหยายคายกระทบใจ,พูดเพ้อเจ้อไร้สาระ พูดเล่นไม่ีมีแก่นสาร)

มโนทุจริต ๑ (คิดร้ายกับคนอื่น,หวังทรัพย์หรือสิ่งของคนอื่นในใจหรือเรียกว่าขโมยทางใจ และเห็นผิดเป็นชอบ)

ความเป็นคนอกตัญญูอกตเวที ๑  (ไม่รู้คุณคนหรือสิ่งของแม้ว่าจะไม่มีชีวิต เช่น นอนใต้ต้นไม้ต้นใด ก็ห้ามหักกิ่งต้นไม้ต้นนั้น หรือแม้แต่ได้ข้าวน้ำหรือได้ความช่วยเหลือจากใคร ก็ห้ามคิดไ่ม่ดีกับคนคนนั้น)


ดูกรภิกษุทั้งหลายบุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล เหมือนถูกนำมาโยนลงในนรก



ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ เหมือนถูกเชิญมาประดิษฐานไว้ในสวรรค์ ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ

กายสุจริต ๑
วจีสุจริต ๑
มโนสุจริต ๑
ความเป็นคนกตัญญูกตเวที ๑

ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล เหมือนถูกเชิญมาประดิษฐานไว้ในสวรรค์ ฯ"


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑
อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต
โศภนวรรคที่ ๒
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=21&A=6073&Z=6133&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=21&i=211




ผลของความกตัญญูรู้คุณ ไม่ทำร้ายมิตรสหายหรือผู้ที่เคยช่วยเหลือเรามา คำสอนนี้มาจากเตมียชาดก มีว่า..

๑. บุคคลผู้ใดมิได้ประทุษร้ายเหล่ามิตร ชนเป็นอันมากอาศัยบุคคลผู้นั้นเลี้ยงชีพ บุคคลผู้นั้นจากเรือนของตนไปที่ไหนๆ ย่อมมีภักษาหารมากมาย.

๒. บุคคลผู้ใดมิได้ประทุษร้ายเหล่ามิตร บุคคลผู้นั้นไปสู่ชนบท นิคม ราชธานีใดๆ ย่อมเป็นผู้อันหมู่ชนในที่นั้นๆ ทั้งหมดบูชา.

๓. บุคคลผู้ใดมิได้ประทุษร้ายเหล่ามิตร โจรทั้งหลายไม่ข่มเหงบุคคลผู้นั้น กษัตริย์ก็มิได้ดูหมิ่นบุคคลผู้นั้น บุคคลผู้นั้นย่อมข้ามพ้นหมู่อมิตรทั้งปวง.

๔. บุคคลผู้ใดมิได้ประทุษร้ายเหล่ามิตร บุคคลผู้นั้นจะมาสู่เรือนของตนด้วย มิได้โกรธเคืองใครๆ มาได้ความยินดีปรีดาในสภาที่ประชุม เป็นผู้สูงสุดของหมู่ญาติ.

๕. บุคคลผู้ใดมิได้ประทุษร้ายเหล่ามิตร บุคคลผู้นั้นสักการะคนอื่น ก็จะเป็นผู้อันคนอื่นสักการะตน เคารพคนอื่น ก็จะเป็นผู้อันคนอื่น เคารพตน ย่อมเป็นผู้ได้รับความยกย่องและเกียรติคุณ.

๖. บุคคลผู้ใดมิได้ประทุษร้ายเหลามิตร บุคคลผู้นั้นบูชาผู้อื่น ก็ย่อมได้บูชาตอบ ไหว้ผู้อื่น ก็ย่อมได้ไหว้ตอบ และย่อมถึงยศและเกียรติ.

๗. บุคคลผู้ใดมิได้ประทุษร้ายเหล่ามิตร บุคคลผู้นั้นย่อมรุ่งเรืองดุจกองเพลิง ย่อมไพโรจน์ดุจเทวดา มีสิริประจำตัว.

๘. บุคคลผู้ใดมิได้ประทุษร้ายเหล่ามิตร โคทั้งหลายของบุคคลผู้นั้นย่อมเกิด พืชที่หว่านไว้ในนาย่อมงอกงาม บุคคลผู้นั้นย่อมได้บริโภคผลของพืชที่หว่านไว้.

๙. บุคคลผู้ใดมิได้ประทุษร้ายเหล่ามิตร บุคคลผู้นั้นตกเหว ตกภูเขา หรือตกต้นไม้ ย่อมได้ที่พึ่งอาศัยไม่เป็นอันตราย.

๑๐. บุคคลผู้ใดมิได้ประทุษร้ายเหล่ามิตร เหล่าอมิตรย่อมย่ำยีบุคคลผู้นั้นไม่ได้ ดุจต้นไทรมีรากและย่านงอกงาม พายุไม่อาจพัดพานให้ล้มได้ ฉะนั้น.

อรรถกถา เตมิยชาดก
ว่าด้วย พระเจ้าเตมีย์ทรงบำเพ็ญเนกขัมมบารมี
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=28.0&i=394&p=1
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่