จุดแรกที่นักศึกษาและปฏิบัติควรทำความเข้าใจก็คือเรื่องของความทุกข์ ซึ่งความทุกข์ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนี้ก็คือความทุกข์ของจิตใจ ที่เราทุกคนก็รู้จักกันดีอยู่แล้ว อันได้แก่ ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ ความสียใจ ความเศร้าโศก ความตรอมใจ ความเศร้าซึม ความเร่าร้อนใจ ตลอดจนความไม่สบายใจ ความอึดอัดรำคาญใจ เป็นต้น ที่กำลังเกิดอยู่ในจิตใจของเราอยู่เสมอในปัจจุบัน รวมทั้งยังรอเราอยู่ในอนาคต
ความทุกข์ของจิตใจที่เห็นได้ง่าย (ทุกข์เปิดเผย) ก็คือ ความทุกข์ใจที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับความเหนื่อยอยากลำบาก หรือความทรมานทางร่างกาย, ความแก่ชราของร่างกาย, ความตายของร่างกายที่กำลังจะเกิดขึ้น, รวมทั้งการที่เราต้องพลัดพรากจากบุคคลและสิ่งที่รักไป, การที่เราต้องประสบกับบุคคลหรือสภาพที่ไม่น่ายินดี (คือน่าเกลียดน่ากลัว) อยู่, และความผิดหวัง (คือเมื่อเราอยากจะได้สิ่งใดแล้วไม่ได้สิ่งนั้นตามที่เราอยากจะได้) ที่ทำให้เราเกิดความรู้สึกทรมานใจเป็นอย่างยิ่ง จนแสดงออกมาเป็นความเศร้าโศก หรือความเสียใจอย่างรุนแรง จนต้องร้องไห้คร่ำครวญ หรือแห้งเหี่ยวใจ ท้อแท้ สิ้นหวัง ตรอมตรม ซึมเศร้า ฯลฯ จนบางครั้งคิดอยากฆ่าตัวตาย
ยังมีความทุกข์ของจิตใจที่เห็นได้ยาก (ทุกข์ซ่อนเร้น) อันได้แก่ ความรู้สึกเร่าร้อนใจ ทรมานใจ หนักเหนื่อยใจ ความไม่สงบ ไม่แจ่มใส ไม่เบาสบายใจ ที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับขณะที่เรากำลังมีความสุขอยู่ ซึ่งเป็นความทุกข์ที่เห็นได้ยาก ต้องสังเกตุจริงๆจึงจะเห็น คือขณะที่เรากำลังมีความสุขจากการเสพสิ่งต่างๆทางตา หู จมูก ลิ้น และกาย รวมทั้งทางใจอยู่นั้น จิตใจของเราจะเกิดความรู้สึกดิ้นรนด้วยความอยากจะมีความสุขนั้นอยู่ตลอดเวลา และอยากจะมีความสุขมากยิ่งขึ้น รวมทั้งยังไม่อยาก (หรือกลัวว่า) จะสูญเสียความสุขนั้นไป ซึ่งอาการเหล่านี้เองที่ทำให้จิตใจของเราเกิดความรู้สึกเร่าร้อนใจ ทรมานใจ หนักเหนื่อยใจ ไม่สงบ ไม่แจ่มใส ไม่เบาสบายใจ เป็นต้น ที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับขณะที่เรากำลังมีความสุขอยู่ ซึ่งความทุกข์ซ่อนเร้นนี้เรามักไม่คิดว่ามันเป็นความทุกข์ แต่มันก็ทำให้จิตใจของเราเกิดความรู้สึกทรมานหรือเป็นทุกข์ได้เท่าๆกับความทุกข์เปิดเผยนั่นเอง
ความทุกข์ทั้งสองประเภทนี้ เราจะต้องรู้จักให้ถูกต้องก่อน ว่ามันเป็นความทุกข์ของจิตใจที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับ ความพอใจ (หรืออยากได้ อยากมี อยากเป็น) ในสภาพที่น่าพอใจหรือให้ความสุข ที่เป็นพวกความทุกข์ซ่อนเร้น และ ความไม่พอใจ (หรือไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น) ในสิ่งหรือสภาพที่ไม่น่าพอใจ (หรือน่าเกลียดน่ากลัว) ที่เป็นพวกความทุกข์เปิดเผย และเมื่อรู้จักความทุกข์นี้ถูกต้องแล้วเราจะได้มารู้จักกับต้นเหตุของความทุกข์นี้กันต่อไป
ต้องรู้จักความทุกข์ให้ถูกต้อง
ความทุกข์ของจิตใจที่เห็นได้ง่าย (ทุกข์เปิดเผย) ก็คือ ความทุกข์ใจที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับความเหนื่อยอยากลำบาก หรือความทรมานทางร่างกาย, ความแก่ชราของร่างกาย, ความตายของร่างกายที่กำลังจะเกิดขึ้น, รวมทั้งการที่เราต้องพลัดพรากจากบุคคลและสิ่งที่รักไป, การที่เราต้องประสบกับบุคคลหรือสภาพที่ไม่น่ายินดี (คือน่าเกลียดน่ากลัว) อยู่, และความผิดหวัง (คือเมื่อเราอยากจะได้สิ่งใดแล้วไม่ได้สิ่งนั้นตามที่เราอยากจะได้) ที่ทำให้เราเกิดความรู้สึกทรมานใจเป็นอย่างยิ่ง จนแสดงออกมาเป็นความเศร้าโศก หรือความเสียใจอย่างรุนแรง จนต้องร้องไห้คร่ำครวญ หรือแห้งเหี่ยวใจ ท้อแท้ สิ้นหวัง ตรอมตรม ซึมเศร้า ฯลฯ จนบางครั้งคิดอยากฆ่าตัวตาย
ยังมีความทุกข์ของจิตใจที่เห็นได้ยาก (ทุกข์ซ่อนเร้น) อันได้แก่ ความรู้สึกเร่าร้อนใจ ทรมานใจ หนักเหนื่อยใจ ความไม่สงบ ไม่แจ่มใส ไม่เบาสบายใจ ที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับขณะที่เรากำลังมีความสุขอยู่ ซึ่งเป็นความทุกข์ที่เห็นได้ยาก ต้องสังเกตุจริงๆจึงจะเห็น คือขณะที่เรากำลังมีความสุขจากการเสพสิ่งต่างๆทางตา หู จมูก ลิ้น และกาย รวมทั้งทางใจอยู่นั้น จิตใจของเราจะเกิดความรู้สึกดิ้นรนด้วยความอยากจะมีความสุขนั้นอยู่ตลอดเวลา และอยากจะมีความสุขมากยิ่งขึ้น รวมทั้งยังไม่อยาก (หรือกลัวว่า) จะสูญเสียความสุขนั้นไป ซึ่งอาการเหล่านี้เองที่ทำให้จิตใจของเราเกิดความรู้สึกเร่าร้อนใจ ทรมานใจ หนักเหนื่อยใจ ไม่สงบ ไม่แจ่มใส ไม่เบาสบายใจ เป็นต้น ที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับขณะที่เรากำลังมีความสุขอยู่ ซึ่งความทุกข์ซ่อนเร้นนี้เรามักไม่คิดว่ามันเป็นความทุกข์ แต่มันก็ทำให้จิตใจของเราเกิดความรู้สึกทรมานหรือเป็นทุกข์ได้เท่าๆกับความทุกข์เปิดเผยนั่นเอง
ความทุกข์ทั้งสองประเภทนี้ เราจะต้องรู้จักให้ถูกต้องก่อน ว่ามันเป็นความทุกข์ของจิตใจที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับ ความพอใจ (หรืออยากได้ อยากมี อยากเป็น) ในสภาพที่น่าพอใจหรือให้ความสุข ที่เป็นพวกความทุกข์ซ่อนเร้น และ ความไม่พอใจ (หรือไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น) ในสิ่งหรือสภาพที่ไม่น่าพอใจ (หรือน่าเกลียดน่ากลัว) ที่เป็นพวกความทุกข์เปิดเผย และเมื่อรู้จักความทุกข์นี้ถูกต้องแล้วเราจะได้มารู้จักกับต้นเหตุของความทุกข์นี้กันต่อไป