ก่อนอื่น ผมได้มาอ่านบทความนี้โดยบังเอิญ แต่มันทำให้ผมต่อจิ๊กซอส่วนเหตุการณ์ที่ผมเกิดไม่ทัน
ทำให้ รู้ ปฐมบท ของการเกิด โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค จากกลุ่มหมอ นายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์
เริ่มต้นจาก คำว่า wealth distribution
http://www.asoke.info/09Communication/Dharmapublicize/Kid/k154/016.html
ก่อนอื่นผมไม่ได้เห็นด้วยกับบทความนี้ทั้งหมด อาจเนื่องด้วยบริบทสิ่งแวดล้อมต่างกัน แต่ก็เห็ฯด้วยเป็นส่วนใหญ่
แต่ก็ทำให้มองการเมืองได้กระจ่างมากขึ้น ข้อเขียนสามารถลงในที่สาธารณชนได้เนื่องจากเป็ฯการอุปมา ไม่ระบุตัวบุคคลชัดเจนนัก
ให้ทุกท่านคิดเอาเองประติดประต่อเหตุการณ์เอาเอง
จากบล็อกส่วนตัว
http://visitdrsant.blogspot.com/
ประวัติส่วนตัว หมอสันต์ ใจยอดศิลป์
http://www.health.co.th/about1.php
บล็อกของผมพูดถึงแต่เรื่องสุขภาพการเจ็บป่วย จะนอกเรื่องบ้างก็เป็นเรื่องสนุกสนานเฮฮาคลายเครียด เรื่องอื่นๆที่เป็นสาระแต่ไม่เกี่ยวกับสุขภาพไม่ว่าจะเป็นศาสนา หรือการเมือง ผมไม่เคยพูดถึงเลย
ที่ผมไม่พูดถึงการเมืองนั้นมีเหตุผลสองอย่าง อย่างหนึ่งก็เพราะคนไข้ของผมมีทั้งสีเหลืองสีแดง ที่เป็น ส.ส. ก็มี ที่เป็นรัฐมนตรีก็มี มีทั้งฝ่ายเพื่อไทยและฝ่ายประชาธิปัตย์ แม้แต่ท่านผู้อ่านบล็อกนี้ก็มีทั้งเหลืองทั้งแดง ถ้าผมพูดเรื่องการเมืองไป ไม่ว่าจะพูดออกเหลืองหรือออกแดง ก็ต้องทะเลาะกับคนไข้ของผมเสียราวครึ่งหนึ่ง ดังนั้นผมเงียบเสียดีกว่า
แต่ว่ามาถึงวันนี้บ้านเมืองของเราได้เฉียดเข้าใกล้จวนแจจะตกขอบเหวของความหายนะ ผมจึงคิดว่าเป็นเวลาที่ผมควรแหกประเพณีของบล็อก ขอเขียนเรื่องการเมืองสักหนึ่งครั้ง ครั้งเดียว แล้วจะไม่เขียนถึงอีกเลย
อีกเหตุผลที่ผมไม่เคยเขียนเรื่องการเมืองมาก่อนก็คือผมเองเคยตั้งใจว่าจะทำงานเป็นหมออาชีพมุ่งใช้ชีวิตดูแลคนเจ็บไข้โดยจะไม่ยุ่งอะไรกับการเมืองอีกเลย ตั้งแต่หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เป็นต้นมา
เหตุผลเรื่องนี้มันยาว แต่ผมเล่าคร่าวๆให้ท่านผู้อ่านได้ เพื่อจะได้เข้าใจเรื่องที่ผมจะเขียนวันนี้
คือหลังเหตุการณ์ที่นักศึกษาเดินขบวนขับไล่รัฐบาลทหารเมื่อ 14 ตุลาคม 2516
ผมก็เหมือนนักศึกษาในสมัยนั้นคนอื่นๆที่ฝักใฝ่การเมืองมากจนการเมืองเป็นมากกว่าครึ่งหนึ่งของชีวิตประจำวัน ตัวผมเองเป็นรองนายกองค์การนักศึกษาของมหา’ลัย ซึ่งมีงานหลักคือประสานงานม็อบต่างๆนอกมหา’ลัยมากกว่างานเรียนหนังสือ
วาระหลักของขบวนการนักศึกษาสมัยนั้นมีเรื่องเดียว คือทำอย่างไรจะลดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนลงได้ หรือที่เรียกว่า wealth distribution
วิธีการที่พวกเราตกลงกันได้เป็นเอกฉันท์มีประเด็นเดียว คือต้องต่อต้านการคืนชีพของรัฐบาลเผด็จการทหารทุกรูปแบบ แต่การจะเดินหน้าไปอย่างไรโดยไม่มีเผด็จการทหารนั้น นักศึกษาเองก็แบ่งเป็นสองแนว แนวหนึ่งนิยมระบบประชาธิปไตยที่มีการเลือกตั้ง อีกแนวหนึ่งเชื่อว่าระบบเลือกตั้งไม่เวอร์ค เพราะเปิดช่องให้พวกนายทุนขุนศึกศักดินาตามเข่นฆ่าทำลายผู้นำคนจน จำต้องก่อการปฏิวัติลุกฮือของชนชั้นกรรมาชีพ แล้วตั้งรัฐบาลเผด็จการของชนชั้นกรรมาชีพขึ้น เรียกง่ายๆว่าแนวทางคอมมิวนิสต์ พวกนิยมแนวทางหลังนี้บางคนก็ได้ไปติดต่อสื่อสัมพันธ์กับ พคท.(พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย) ซึ่งเป็นพรรคการเมืองนอกกฎหมายและทำงานอยู่ในป่า ตัวผมนั้นเป็นพวกไม่ชอบความรุนแรงและนิยมระบบเลือกตั้ง แม้ว่าอีกใจหนึ่งยังออกจะเห็นด้วยว่าท่ามันจะไม่เวอร์ค เพราะขณะที่พวกเราพยายามยึดมั่นในแนวทางประชาธิปไตยอยู่นั้น ก็ได้เห็นผู้นำชาวนา ผู้นำกรรมกร ที่ลุกขึ้นมานำเรียกร้องเพื่อปากท้อง ได้ทะยอยถูก “เก็บ” หรือฆ่าตายอย่างทารุณไปหลายราย
แล้วทหารก็ทำรัฐประหารโหดเมื่อ 6 ตุลาคม 2519 นักศึกษาจำนวนหนึ่งถูกฆ่าตาย บางคนถูกจับแขวนคอ อีกจำนวนมากหนีหัวซุกหัวซุน รวมทั้งผมด้วย ส่วนหนึ่งหนีเข้าป่าไปสมทบกับ พคท. แต่ผมหนีไปตั้งหลักไม่ไกล พอเห็นปลอดภัยก็กลับเข้าหอเรียนหนังสือต่อ ประสบการณ์ที่เหล่าผู้นำนักศึกษาได้รับจากการกระทำของขุนศึกในสมัยนั้น ผมบรรยายได้คำเดียวว่า.. “ยากที่จะลืม”
ผมเองนั้นเป็นคนขี้ขลาด เมื่อเจอเข้าก็บอกตัวเองได้ทันทีว่านี่ไม่ใช่วิธีที่ผมจะใช้ชีวิตที่ทอดยาวรอผมอยู่ข้างหน้าอีกหลายสิบปี จึงสาปส่งการยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมืองตั้งแต่นั้น ช่วงประมาณปีพ.ศ. 2524 เมื่อเรียนจบไปเป็นหมอชนบท มีชาวบ้านนิยมนับถือมาก ก็มีคนมายุว่าคุณหมอน่าจะสมัครผู้แทน ผมได้แต่หัวเราะหึ..หึ ในช่วงเวลานั้น เมื่อไปกลับเยี่ยมบ้านเกิด เพื่อนๆมัธยมรุ่นเดียวกันซึ่งกระจายเป็นครูใหญ่ครูน้อยอยู่ทั่วเขตเลือกตั้งก็รุมชวนให้สมัครผู้แทนโดยอาสาว่าจะช่วย ผมก็ได้แต่หัวเราะหึ..หึ เพราะในใจผมนั้น ได้สาปส่งเรื่องการเมืองไปนานแล้ว
ช่วงตั้งแต่ปีพ.ศ. 2519 เป็นต้นมา เป็นช่วงที่เมืองไทยใกล้จวนแจจะเกิดสงครามประชาชน (civil war) หมายความว่าสงครามที่ชาวบ้านรบกับชาวบ้านด้วยกันเอง
ฝ่ายหนึ่งก็คือฝ่ายที่พวกเราเรียกว่า “นายทุน-ขุนศึก-ศักดินา” ซึ่งมีกำลังพลหลักเป็นชาวบ้านที่ถูกปลุกปั่นให้เกลียดชังพวกคอมมิวนิสต์ที่จะมาล้มเจ้า โดยพวกขุนศึกศักดินาได้ลงไปจัดตั้งมวลชนชาวบ้านขึ้นเป็นกลุ่มลูกเสือชาวบ้านทั่วประเทศ เอาไว้เป็นทัพหนุนของทัพหน้า ตัวทัพหน้าเองก็เป็นชาวบ้านที่พวกขุนศึกลงไปติดอาวุธให้โดยตรง เรียกว่า “ทหารพราน”
ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งคือ พคท. ซึ่งมุ่งโค่นล้มนายทุน-ขุนศึก-ศักดินา และมุ่งสถาปนารัฐบาลเผด็จการโดยชนชั้นกรรมาชีพขึ้น ฝ่ายนี้มีกองกำลังเป็นชาวบ้านเช่นกัน แต่เป็นชาวบ้านที่ พคท. ได้ปลุกระดมให้ตระหนักถึงความเหลื่อมล้ำในสังคมและให้เจ็บแค้นต่อการถูกกดขี่ขูดรีด ส่วนที่เป็นมวลชนนั้นไม่ได้ติดอาวุธ แต่ส่วนที่เป็นแนวร่วม, เป้า ส. (หมายถึงคนที่จ่อคิวจะได้เป็นสมาชิกพรรค) และคนที่เป็นสมาชิกพรรคนั้น พคท.ได้ติดอาวุธให้ด้วย โดยที่ประมาณครึ่งหนึ่งของเพื่อนนักศึกษาที่ผมรู้จักและทำกิจกรรมด้วยกัน ได้มาอยู่กับฝ่าย พคท.
ตรงกลางระหว่างสองฝ่ายนี้ก็คือพวกที่หวังอาศัยเวทีประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งในการแก้ปัญหา ซึ่งก็มีทั้งนายทุน ปัญญาชน คนชั้นกลางทั่วไป และนักการเมืองสายไม่รุนแรงซึ่งมีเพื่อนเก่าของผมอยู่ด้วยอีกจำนวนหนึ่ง
แต่เหตุการณ์ก็ผ่านมาได้อีกหลายปีโดยไม่มีสงครามกลางเมืองขนาดใหญ่จริงๆเกิดขึ้นนอกจากยุทธการป่าล้อมเมืองระดับไม่รุนแรง เพื่อนที่อยู่กับ พคท. ได้เล่าให้ผมฟังว่า พคท. เองมีโครงสร้างภายในที่ล้าหลังพัฒนาไม่ขึ้น ไม่มีศักยภาพพอที่จะก่อการปฏิวัติยึดอำนาจรัฐมาตั้งเป็นรัฐบาลเผด็จการของชนชั้นกรรมาชีพขึ้นได้ ซึ่งน่าจะเป็นความจริง
เพราะท้ายที่สุด พคท. ก็ล่มสลายไป
ขณะเดียวกันรัฐบาลป๋าเปรมได้เปิดอ้าแขนรับพวกเราที่เคยเข้าป่าไปอยู่กับ พคท. ให้กลับบ้าน พวกเราเกือบทั้งหมดก็กลับมา เพื่อนรุ่นพี่บางคนกลับมาเป็นหมอฝึกหัดอยู่ภายใต้ความดูแลของผมซึ่งตอนนั้นผมเป็นแพทย์ประจำบ้านแล้ว พวกเราที่กลับมา ได้รับการกระซิบจากฝ่ายขุนศึกว่าให้อยู่แต่ในกรุงเทพฯ คนที่เป็นหมอก็ให้เป็นหมอในกรุงเทพฯ ห้ามออกไปอยู่ชนบท คนที่ยอมเชื่อฟังก็ประคองชีวิตรอดมาได้ ซึ่งบางคนกลายมาเป็นผู้นำฮาร์ดคอร์ของมวลชนเสื้อแดงอยู่ในวันนี้ เพื่อนสนิทของผมคนหนึ่งกลับมา เขาไม่ยอมอยู่ในกรุงเทพ แต่ไปทำร้านอาหารอยู่ริมน้ำโขงที่เชียงราย แล้ววันหนึ่งเขาก็ถูกตาม “เก็บ” ตายคาร้านของเขาอย่างโหดเหี้ยมทารุณ
พวกเพื่อนๆที่ยังมีหัวคอมมิวนิสต์ได้เคยเปรยให้ผมฟังว่า เมื่อหมดสิ้น พคท. สำหรับคนชั้นกรรมาชีพ การจะยึดอำนาจรัฐมองไม่เห็นทางอื่น มีทางเหลืออยู่ทางเดียวคือต้องสามัคคีกับนายทุน ซึ่งเขาใช้คำว่า “นายทุนชาติ” เพื่อชิงอำนาจรัฐมาให้ได้ก่อน เมื่อได้แล้วก็ค่อยใช้อำนาจนั้นมากระจายรายได้หรือสร้าง wealth distribution ภายหลัง นั่นหมายความว่าการปฏิวัติต้องทำเป็นสองก๊อก ก๊อกแรก กรรมาชนสามัคคีกับนายทุนชาติโค่นล้มขุนศึกศักดินา ก๊อกสองกรรมาชนค่อยมาโซ้ยกับนายทุนชาติซะเองต่อเพื่อบังคับเฉลี่ยความรวยมาให้คนจน
ต่อมา ประมาณปี 2544 ก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ได้มี “นายทุนใหญ่ใจถึง” เข้ามาเล่นการเมืองด้วยวิธีใช้เงินจำนวนมากซื้อสส.เข้าคอก
เพื่อนผมที่เป็นนักสังคมนิยมแนวทางรุนแรงหลายคนได้เข้าไปซุกปีกนี้ พรรคของ “นายทุนใหญ่ใจถึง” ชนะเลือกตั้งอย่างง่ายดาย เรียกว่าวิธีซื้อแบบนี้ทำให้ได้อำนาจรัฐมาง่ายๆโดยแทบไม่ต้องเปลืองเลือดเนื้อเลย เพื่อนผมหลายคนแฮปปี้ ได้เป็นรัฐมนตรี และได้ผลักดันนโยบายที่หากจะเรียกจากมุมของพวกสังคมนิยมก็เรียกได้ว่าเป็นนโยบายกระจายรายได้ แต่พวกนายธนาคารเรียกว่านโยบายประชานิยม ในบรรดานโยบายเหล่านี้ ผมเห็นมีอยู่สองเรื่องที่มีผลดีต่อคนชั้นกรรมาชีพอย่างเป็นรูปธรรม คือนโยบายสามสิบบาทรักษาทุกโรค กับนโยบายกองทุนหมู่บ้าน ซึ่งหากไม่มี "นายทุนใหญ่ใจถึง" ให้อาศัยใบบุญ สิ่งนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น
แต่ฮันนิมูนระหว่างนักสังคมนิยมหัวรุนแรงกับ “นายทุนใหญ่ใจถึง” มีอยู่ได้ไม่กี่ปี ปัญหาที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เพราะมิชชั่นที่แท้จริงของ “นายทุนใหญ่ใจถึง” คือการสร้างอำนาจผูกขาดถาวรด้วยการกอบโกยกักตุนทุนทรัพย์ไว้สร้างอำนาจให้ตัวเองและครอบครัวต่อๆกันไปไม่สิ้นสุด มิชชั่นนี้ก่อความไม่พอใจในหมู่นายทุนอื่นที่ถูกกีดกันไม่ให้ได้เอี่ยวในผลประโยชน์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนายทุนที่อิงอยู่กับขุนศึกศักดินา พวกอื่นที่ไม่พอใจก็มีนักการเมืองที่อยู่คนละพวก (ซึ่งก็มีเพื่อนของผมอีกจำนวนหนึ่ง) และปัญญาชนคนชั้นกลางที่ต้องการให้ใช้หลักผิดชอบชั่วดีในการดูแลบ้านเมือง ทั้งสามพวกนี้ได้สามัคคีกับพวกขุนศึกศักดินาโค่นล้ม “นายทุนใหญ่ใจถึง” ซึ่ง “นายทุนใหญ่ใจถึง” ก็ทราบดี จึงด้านหนึ่งได้ใช้ยุทธการปลุกระดมและจัดตั้งมวลชนคนยากจนในชนบทไว้เป็นเกราะกันชนปกป้องตัวเองจากพวกขุนศึก อีกด้านหนึ่งได้ลงมือ “ซื้อ” ขุนศึกส่วนหนึ่งมาเป็นพวกของตน ในวันที่ถูกทหารทำรัฐประหารล้มรัฐบาลของตัวเองเมื่อปีพ.ศ. 2549 ตอนนั้นตัว “นายทุนใหญ่ใจถึง” อยู่ที่สหรัฐอเมริกา เพื่อนคนหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ชิดกับเขาเล่าให้ผมฟังว่านาทีแรกที่ได้รับรายงานข่าวรัฐประหาร นายทุนใหญ่ใจถึงเอ่ยปากถามว่า
“ใครทำ.. พวกเราหรือเปล่า?”
***มองการเมือง ผ่านประวัติศาสตร์ จาก นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ บทความ ที่คนไทยควรอ่านวิเคราะห์**
ทำให้ รู้ ปฐมบท ของการเกิด โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค จากกลุ่มหมอ นายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์
เริ่มต้นจาก คำว่า wealth distribution
http://www.asoke.info/09Communication/Dharmapublicize/Kid/k154/016.html
ก่อนอื่นผมไม่ได้เห็นด้วยกับบทความนี้ทั้งหมด อาจเนื่องด้วยบริบทสิ่งแวดล้อมต่างกัน แต่ก็เห็ฯด้วยเป็นส่วนใหญ่
แต่ก็ทำให้มองการเมืองได้กระจ่างมากขึ้น ข้อเขียนสามารถลงในที่สาธารณชนได้เนื่องจากเป็ฯการอุปมา ไม่ระบุตัวบุคคลชัดเจนนัก
ให้ทุกท่านคิดเอาเองประติดประต่อเหตุการณ์เอาเอง
จากบล็อกส่วนตัว http://visitdrsant.blogspot.com/
ประวัติส่วนตัว หมอสันต์ ใจยอดศิลป์
http://www.health.co.th/about1.php
บล็อกของผมพูดถึงแต่เรื่องสุขภาพการเจ็บป่วย จะนอกเรื่องบ้างก็เป็นเรื่องสนุกสนานเฮฮาคลายเครียด เรื่องอื่นๆที่เป็นสาระแต่ไม่เกี่ยวกับสุขภาพไม่ว่าจะเป็นศาสนา หรือการเมือง ผมไม่เคยพูดถึงเลย
ที่ผมไม่พูดถึงการเมืองนั้นมีเหตุผลสองอย่าง อย่างหนึ่งก็เพราะคนไข้ของผมมีทั้งสีเหลืองสีแดง ที่เป็น ส.ส. ก็มี ที่เป็นรัฐมนตรีก็มี มีทั้งฝ่ายเพื่อไทยและฝ่ายประชาธิปัตย์ แม้แต่ท่านผู้อ่านบล็อกนี้ก็มีทั้งเหลืองทั้งแดง ถ้าผมพูดเรื่องการเมืองไป ไม่ว่าจะพูดออกเหลืองหรือออกแดง ก็ต้องทะเลาะกับคนไข้ของผมเสียราวครึ่งหนึ่ง ดังนั้นผมเงียบเสียดีกว่า
แต่ว่ามาถึงวันนี้บ้านเมืองของเราได้เฉียดเข้าใกล้จวนแจจะตกขอบเหวของความหายนะ ผมจึงคิดว่าเป็นเวลาที่ผมควรแหกประเพณีของบล็อก ขอเขียนเรื่องการเมืองสักหนึ่งครั้ง ครั้งเดียว แล้วจะไม่เขียนถึงอีกเลย
อีกเหตุผลที่ผมไม่เคยเขียนเรื่องการเมืองมาก่อนก็คือผมเองเคยตั้งใจว่าจะทำงานเป็นหมออาชีพมุ่งใช้ชีวิตดูแลคนเจ็บไข้โดยจะไม่ยุ่งอะไรกับการเมืองอีกเลย ตั้งแต่หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เป็นต้นมา
เหตุผลเรื่องนี้มันยาว แต่ผมเล่าคร่าวๆให้ท่านผู้อ่านได้ เพื่อจะได้เข้าใจเรื่องที่ผมจะเขียนวันนี้
คือหลังเหตุการณ์ที่นักศึกษาเดินขบวนขับไล่รัฐบาลทหารเมื่อ 14 ตุลาคม 2516
ผมก็เหมือนนักศึกษาในสมัยนั้นคนอื่นๆที่ฝักใฝ่การเมืองมากจนการเมืองเป็นมากกว่าครึ่งหนึ่งของชีวิตประจำวัน ตัวผมเองเป็นรองนายกองค์การนักศึกษาของมหา’ลัย ซึ่งมีงานหลักคือประสานงานม็อบต่างๆนอกมหา’ลัยมากกว่างานเรียนหนังสือ
วาระหลักของขบวนการนักศึกษาสมัยนั้นมีเรื่องเดียว คือทำอย่างไรจะลดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนลงได้ หรือที่เรียกว่า wealth distribution
วิธีการที่พวกเราตกลงกันได้เป็นเอกฉันท์มีประเด็นเดียว คือต้องต่อต้านการคืนชีพของรัฐบาลเผด็จการทหารทุกรูปแบบ แต่การจะเดินหน้าไปอย่างไรโดยไม่มีเผด็จการทหารนั้น นักศึกษาเองก็แบ่งเป็นสองแนว แนวหนึ่งนิยมระบบประชาธิปไตยที่มีการเลือกตั้ง อีกแนวหนึ่งเชื่อว่าระบบเลือกตั้งไม่เวอร์ค เพราะเปิดช่องให้พวกนายทุนขุนศึกศักดินาตามเข่นฆ่าทำลายผู้นำคนจน จำต้องก่อการปฏิวัติลุกฮือของชนชั้นกรรมาชีพ แล้วตั้งรัฐบาลเผด็จการของชนชั้นกรรมาชีพขึ้น เรียกง่ายๆว่าแนวทางคอมมิวนิสต์ พวกนิยมแนวทางหลังนี้บางคนก็ได้ไปติดต่อสื่อสัมพันธ์กับ พคท.(พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย) ซึ่งเป็นพรรคการเมืองนอกกฎหมายและทำงานอยู่ในป่า ตัวผมนั้นเป็นพวกไม่ชอบความรุนแรงและนิยมระบบเลือกตั้ง แม้ว่าอีกใจหนึ่งยังออกจะเห็นด้วยว่าท่ามันจะไม่เวอร์ค เพราะขณะที่พวกเราพยายามยึดมั่นในแนวทางประชาธิปไตยอยู่นั้น ก็ได้เห็นผู้นำชาวนา ผู้นำกรรมกร ที่ลุกขึ้นมานำเรียกร้องเพื่อปากท้อง ได้ทะยอยถูก “เก็บ” หรือฆ่าตายอย่างทารุณไปหลายราย
แล้วทหารก็ทำรัฐประหารโหดเมื่อ 6 ตุลาคม 2519 นักศึกษาจำนวนหนึ่งถูกฆ่าตาย บางคนถูกจับแขวนคอ อีกจำนวนมากหนีหัวซุกหัวซุน รวมทั้งผมด้วย ส่วนหนึ่งหนีเข้าป่าไปสมทบกับ พคท. แต่ผมหนีไปตั้งหลักไม่ไกล พอเห็นปลอดภัยก็กลับเข้าหอเรียนหนังสือต่อ ประสบการณ์ที่เหล่าผู้นำนักศึกษาได้รับจากการกระทำของขุนศึกในสมัยนั้น ผมบรรยายได้คำเดียวว่า.. “ยากที่จะลืม”
ผมเองนั้นเป็นคนขี้ขลาด เมื่อเจอเข้าก็บอกตัวเองได้ทันทีว่านี่ไม่ใช่วิธีที่ผมจะใช้ชีวิตที่ทอดยาวรอผมอยู่ข้างหน้าอีกหลายสิบปี จึงสาปส่งการยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมืองตั้งแต่นั้น ช่วงประมาณปีพ.ศ. 2524 เมื่อเรียนจบไปเป็นหมอชนบท มีชาวบ้านนิยมนับถือมาก ก็มีคนมายุว่าคุณหมอน่าจะสมัครผู้แทน ผมได้แต่หัวเราะหึ..หึ ในช่วงเวลานั้น เมื่อไปกลับเยี่ยมบ้านเกิด เพื่อนๆมัธยมรุ่นเดียวกันซึ่งกระจายเป็นครูใหญ่ครูน้อยอยู่ทั่วเขตเลือกตั้งก็รุมชวนให้สมัครผู้แทนโดยอาสาว่าจะช่วย ผมก็ได้แต่หัวเราะหึ..หึ เพราะในใจผมนั้น ได้สาปส่งเรื่องการเมืองไปนานแล้ว
ช่วงตั้งแต่ปีพ.ศ. 2519 เป็นต้นมา เป็นช่วงที่เมืองไทยใกล้จวนแจจะเกิดสงครามประชาชน (civil war) หมายความว่าสงครามที่ชาวบ้านรบกับชาวบ้านด้วยกันเอง
ฝ่ายหนึ่งก็คือฝ่ายที่พวกเราเรียกว่า “นายทุน-ขุนศึก-ศักดินา” ซึ่งมีกำลังพลหลักเป็นชาวบ้านที่ถูกปลุกปั่นให้เกลียดชังพวกคอมมิวนิสต์ที่จะมาล้มเจ้า โดยพวกขุนศึกศักดินาได้ลงไปจัดตั้งมวลชนชาวบ้านขึ้นเป็นกลุ่มลูกเสือชาวบ้านทั่วประเทศ เอาไว้เป็นทัพหนุนของทัพหน้า ตัวทัพหน้าเองก็เป็นชาวบ้านที่พวกขุนศึกลงไปติดอาวุธให้โดยตรง เรียกว่า “ทหารพราน”
ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งคือ พคท. ซึ่งมุ่งโค่นล้มนายทุน-ขุนศึก-ศักดินา และมุ่งสถาปนารัฐบาลเผด็จการโดยชนชั้นกรรมาชีพขึ้น ฝ่ายนี้มีกองกำลังเป็นชาวบ้านเช่นกัน แต่เป็นชาวบ้านที่ พคท. ได้ปลุกระดมให้ตระหนักถึงความเหลื่อมล้ำในสังคมและให้เจ็บแค้นต่อการถูกกดขี่ขูดรีด ส่วนที่เป็นมวลชนนั้นไม่ได้ติดอาวุธ แต่ส่วนที่เป็นแนวร่วม, เป้า ส. (หมายถึงคนที่จ่อคิวจะได้เป็นสมาชิกพรรค) และคนที่เป็นสมาชิกพรรคนั้น พคท.ได้ติดอาวุธให้ด้วย โดยที่ประมาณครึ่งหนึ่งของเพื่อนนักศึกษาที่ผมรู้จักและทำกิจกรรมด้วยกัน ได้มาอยู่กับฝ่าย พคท.
ตรงกลางระหว่างสองฝ่ายนี้ก็คือพวกที่หวังอาศัยเวทีประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งในการแก้ปัญหา ซึ่งก็มีทั้งนายทุน ปัญญาชน คนชั้นกลางทั่วไป และนักการเมืองสายไม่รุนแรงซึ่งมีเพื่อนเก่าของผมอยู่ด้วยอีกจำนวนหนึ่ง
แต่เหตุการณ์ก็ผ่านมาได้อีกหลายปีโดยไม่มีสงครามกลางเมืองขนาดใหญ่จริงๆเกิดขึ้นนอกจากยุทธการป่าล้อมเมืองระดับไม่รุนแรง เพื่อนที่อยู่กับ พคท. ได้เล่าให้ผมฟังว่า พคท. เองมีโครงสร้างภายในที่ล้าหลังพัฒนาไม่ขึ้น ไม่มีศักยภาพพอที่จะก่อการปฏิวัติยึดอำนาจรัฐมาตั้งเป็นรัฐบาลเผด็จการของชนชั้นกรรมาชีพขึ้นได้ ซึ่งน่าจะเป็นความจริง
เพราะท้ายที่สุด พคท. ก็ล่มสลายไป
ขณะเดียวกันรัฐบาลป๋าเปรมได้เปิดอ้าแขนรับพวกเราที่เคยเข้าป่าไปอยู่กับ พคท. ให้กลับบ้าน พวกเราเกือบทั้งหมดก็กลับมา เพื่อนรุ่นพี่บางคนกลับมาเป็นหมอฝึกหัดอยู่ภายใต้ความดูแลของผมซึ่งตอนนั้นผมเป็นแพทย์ประจำบ้านแล้ว พวกเราที่กลับมา ได้รับการกระซิบจากฝ่ายขุนศึกว่าให้อยู่แต่ในกรุงเทพฯ คนที่เป็นหมอก็ให้เป็นหมอในกรุงเทพฯ ห้ามออกไปอยู่ชนบท คนที่ยอมเชื่อฟังก็ประคองชีวิตรอดมาได้ ซึ่งบางคนกลายมาเป็นผู้นำฮาร์ดคอร์ของมวลชนเสื้อแดงอยู่ในวันนี้ เพื่อนสนิทของผมคนหนึ่งกลับมา เขาไม่ยอมอยู่ในกรุงเทพ แต่ไปทำร้านอาหารอยู่ริมน้ำโขงที่เชียงราย แล้ววันหนึ่งเขาก็ถูกตาม “เก็บ” ตายคาร้านของเขาอย่างโหดเหี้ยมทารุณ
พวกเพื่อนๆที่ยังมีหัวคอมมิวนิสต์ได้เคยเปรยให้ผมฟังว่า เมื่อหมดสิ้น พคท. สำหรับคนชั้นกรรมาชีพ การจะยึดอำนาจรัฐมองไม่เห็นทางอื่น มีทางเหลืออยู่ทางเดียวคือต้องสามัคคีกับนายทุน ซึ่งเขาใช้คำว่า “นายทุนชาติ” เพื่อชิงอำนาจรัฐมาให้ได้ก่อน เมื่อได้แล้วก็ค่อยใช้อำนาจนั้นมากระจายรายได้หรือสร้าง wealth distribution ภายหลัง นั่นหมายความว่าการปฏิวัติต้องทำเป็นสองก๊อก ก๊อกแรก กรรมาชนสามัคคีกับนายทุนชาติโค่นล้มขุนศึกศักดินา ก๊อกสองกรรมาชนค่อยมาโซ้ยกับนายทุนชาติซะเองต่อเพื่อบังคับเฉลี่ยความรวยมาให้คนจน
ต่อมา ประมาณปี 2544 ก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ได้มี “นายทุนใหญ่ใจถึง” เข้ามาเล่นการเมืองด้วยวิธีใช้เงินจำนวนมากซื้อสส.เข้าคอก
เพื่อนผมที่เป็นนักสังคมนิยมแนวทางรุนแรงหลายคนได้เข้าไปซุกปีกนี้ พรรคของ “นายทุนใหญ่ใจถึง” ชนะเลือกตั้งอย่างง่ายดาย เรียกว่าวิธีซื้อแบบนี้ทำให้ได้อำนาจรัฐมาง่ายๆโดยแทบไม่ต้องเปลืองเลือดเนื้อเลย เพื่อนผมหลายคนแฮปปี้ ได้เป็นรัฐมนตรี และได้ผลักดันนโยบายที่หากจะเรียกจากมุมของพวกสังคมนิยมก็เรียกได้ว่าเป็นนโยบายกระจายรายได้ แต่พวกนายธนาคารเรียกว่านโยบายประชานิยม ในบรรดานโยบายเหล่านี้ ผมเห็นมีอยู่สองเรื่องที่มีผลดีต่อคนชั้นกรรมาชีพอย่างเป็นรูปธรรม คือนโยบายสามสิบบาทรักษาทุกโรค กับนโยบายกองทุนหมู่บ้าน ซึ่งหากไม่มี "นายทุนใหญ่ใจถึง" ให้อาศัยใบบุญ สิ่งนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น
แต่ฮันนิมูนระหว่างนักสังคมนิยมหัวรุนแรงกับ “นายทุนใหญ่ใจถึง” มีอยู่ได้ไม่กี่ปี ปัญหาที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เพราะมิชชั่นที่แท้จริงของ “นายทุนใหญ่ใจถึง” คือการสร้างอำนาจผูกขาดถาวรด้วยการกอบโกยกักตุนทุนทรัพย์ไว้สร้างอำนาจให้ตัวเองและครอบครัวต่อๆกันไปไม่สิ้นสุด มิชชั่นนี้ก่อความไม่พอใจในหมู่นายทุนอื่นที่ถูกกีดกันไม่ให้ได้เอี่ยวในผลประโยชน์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนายทุนที่อิงอยู่กับขุนศึกศักดินา พวกอื่นที่ไม่พอใจก็มีนักการเมืองที่อยู่คนละพวก (ซึ่งก็มีเพื่อนของผมอีกจำนวนหนึ่ง) และปัญญาชนคนชั้นกลางที่ต้องการให้ใช้หลักผิดชอบชั่วดีในการดูแลบ้านเมือง ทั้งสามพวกนี้ได้สามัคคีกับพวกขุนศึกศักดินาโค่นล้ม “นายทุนใหญ่ใจถึง” ซึ่ง “นายทุนใหญ่ใจถึง” ก็ทราบดี จึงด้านหนึ่งได้ใช้ยุทธการปลุกระดมและจัดตั้งมวลชนคนยากจนในชนบทไว้เป็นเกราะกันชนปกป้องตัวเองจากพวกขุนศึก อีกด้านหนึ่งได้ลงมือ “ซื้อ” ขุนศึกส่วนหนึ่งมาเป็นพวกของตน ในวันที่ถูกทหารทำรัฐประหารล้มรัฐบาลของตัวเองเมื่อปีพ.ศ. 2549 ตอนนั้นตัว “นายทุนใหญ่ใจถึง” อยู่ที่สหรัฐอเมริกา เพื่อนคนหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ชิดกับเขาเล่าให้ผมฟังว่านาทีแรกที่ได้รับรายงานข่าวรัฐประหาร นายทุนใหญ่ใจถึงเอ่ยปากถามว่า
“ใครทำ.. พวกเราหรือเปล่า?”