โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
เปิดความลับ “เซียนหุ้นเทคนิค” “นพ.รัชต์ชยุตม์ จีระพรประภา” บุรุษผู้ใช้เงิน “หลักร้อยล้าน” เทรดหุ้นต่อเดือน ผ่านมาเกือบ 1 ปี โกยกำไร 400%
“วิน-นพ.รัชต์ชยุตม์ จีระพรประภา” เขาคือ ศิษย์เอก “เสี่ยป๋อง-วัชระ แก้วสว่าง” เซียนหุ้นรายใหญ่ หลังแสดงตนขอทำความรู้จักเมื่อ 10 ปีก่อน ในงานสัมมนาแห่งหนึ่ง และยังเป็นคนสนิท “เซียนหุ้นหญิง ตัวย่อ ส. อดีตนักลงทุนรายใหญ่ เจ้าของพอร์ตหลักพันล้าน เขาเรียก “รรยง พันธุ์วงศ์กล่อม” เซียนหุ้นรายใหญ่ ด้วยความสนิทชิดเชื้อว่า “คุณอา”
บุรุษวัย 30 ปี เขาเป็นลูกชายคนเดียว ประจำตระกูลจีระพรประภา พื้นเพเป็นคนกรุงเทพ ครอบครัวดำเนินธุรกิจค้าส่งสุรา ภายใต้ชื่อร้าน “ศรีมงคง” ย่านบางบอน ด้วยอุปนิสัยชอบช่วยเหลือคน ทำให้เขาตัดสินใจเรียนคณะแพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ปัจจุบันทำงานอยู่ในโรงพยาบาลรัฐบาลชื่อดังแห่งหนึ่ง
“จุดเริ่มต้นการลงทุน” เกิดขึ้นทันทีหลังเห็นป๊าและญาติเล่นหุ้นในปี 2543 แม้ครอบครัวจะไม่ประสบความสำเร็จในการเล่น “หุ้นบิ๊กแคป” แต่เขากลับอยากลงทุนหุ้น
“วิน” ตัดสินใจเชียร์ให้ป๊าซื้อ “หุ้น ศุภาลัย” หรือ SPALI เป็น“หุ้นตัวแรก” ช่วงราคาดอย 5.50 บาท ผ่านมา 6 เดือน ราคาลดเหลือ 3 บาท แต่เขาไม่ยอมขาย ยึดคติ “ไม่ขายไม่ขาดทุน” สุดท้ายปล่อยที่ราคา 2.50 บาท
“หมอวิน” เล่าถึงกลยุทธ์การลงทุนในปัจจุบันให้ฟังว่า “ผมใช้อารมณ์ในการลงทุนนานถึง 3-4 ปี” หลังประสบความสำเร็จระดับหนึ่งในการโกยกำไร หุ้น ทรู คอร์ปอเรชั่น หรือ TRUE เพิ่งมาเลิกใช้อารมณ์เป็นใหญ่เมื่อปี 2556
หลังจากเริ่มมีวินัยและมีกลยุทธ์ในการลงทุนมากขึ้น เรียกง่ายๆทำการบ้านมาอย่างหนัก ทำให้ในปี 2556 ผมมีกำไรจากการลงทุนแนวเทคนิคมากถึง “400 เปอร์เซ็นต์” หากจะให้เรียงลำดับว่า หุ้นตัวไหนที่ดันพอร์ตให้สวยขนาดนี้ บอกตรงๆเรียงไม่ถูกจริงๆ สาวสวยเต็มฮาเร็ม “หมู-อภิเชษฐ อ่อนกอ” แอดมินหลักประจำ Facebookชื่อ Master of Treacl ที่มีคนมากดถูกใจแล้ว 1,852 คนแอบแซว
ปัจจุบันหลักการลงทุนได้เปลี่ยนไปแล้ว ทุกวันนี้อารมณ์นิ่งขึ้นเยอะ ก่อนลงทุนมักจะวางแผนการลงทุนเองทุกขั้นทุกตอน วันนี้เราต้องดูว่า Risk (ความเสี่ยง) กับ Reward (ผลตอบแทน) มันคุ้มค่าในการเสี่ยงหรือไม่ ถ้า Risk และ Reward เยอะๆแบบนี้ไม่เอา แต่ถ้า Risk น้อยๆ Reward สูงๆ แบบนี้น่าลงทุน เมื่อนำ Risk กับ Reward มาหารกันแล้วออกมาใกล้ๆศูนย์ถือว่า เป็นที่น่าพอใจ แต่หากมีค่าใกล้ 1 หรือเกิน 1 ถือว่าไม่คุ้มเสี่ยง หลักการเช่น ซื้อหุ้นหนึ่งตัวในราคา 10 บาท ถ้าหุ้นลงเราจะเสียไม่เกินบาท แต่ถ้าได้จะได้มากถึง 10 บาท แบบนี้อัดเลย
นักลงทุนแนว VI เขาใช้หลักการ “กำไรทบต้น” สิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ผมเองใช้เช่นกัน แต่เราจะกำไรทบต้นเร็วกว่านักลงทุนวีไอ เพราะเราใช้เครื่องไม้เครื่องมือทางเทคนิคบางอย่างมาช่วยซื้อขาย ที่สำคัญจะใช้เวลาไม่นาน หุ้นตัวนั้นจะมีแรงหรือพลังส่งขึ้นไปมากกว่าตัวอื่นๆ
ถามว่า เลือกใช้กราฟตัวไหนในการหาจังหวะเข้าออก “หมอวิน” ตอบว่า ส่วนใหญ่จะใช้กราฟ Keltner Channel กราฟ RSI กราฟ MACD กราฟ Directional Indicator และเทคนิคการนำกราฟแต่ละตัวในอดีตมาเปรียบเทียบกัน เป็นต้น
เรื่องการ Compare Graph หรือการนำกราฟมาเปรียบเทียบในเชิงโครงสร้าง ยอมรับว่า “หมอวิน” เขาทำการบ้านหนักมาก เพราะการ Compare Graph ของเขาไม่ได้ทำเหมือนที่นักวิเคราะห์บางรายทำ “หมู” พูดเสริม
หลักการลงทุนส่วนตัว คือ เลือกหมวดที่ชนะตลาด และเลือกตัวที่เก่งและแกร่งที่สุดในหมวดนั้น เมื่อตลาดมีอันเป็นไปหุ้นตัวนั้นจะลงน้อย หรือตลาดขึ้นหรือไม่ลงเลยหุ้นตัวนั้นจะมี High beta (ค่าเบี่ยงเบนที่มีต่อดัชนีอ้างอิง) ที่สูงกว่าตลาดมาก เหมือน หุ้น ยูนิ เวนเจอร์ หรือ UV ในยุคสมัยหนึ่ง
หุ้น ยูนิ เวนเจอร์ หรือ UV จึงเป็น “หุ้นตัวแรก” ที่ดันพอร์ตปี 2556 ให้เติบโต เลือกซื้อในช่วงปลายปี 2555 ต้นทุน 7 บาท ขายตอน 18 บาท “เซียนหุ้นหญิง ตัวย่อ ส.” ช่วยเตือนความจำหมอวิน ตอนนั้นหุ้น UV มีสตอรี่เรื่องการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์ วันนั้นดู Reward มากกว่า Risk 10 เท่า เห็นแบบนี้รีบอัดเลย พออัดหนึ่งครั้งได้เยอะทำให้พอร์ตโตเร็วมาก
“หุ้นสวย” ตัวต่อไป คือ หุ้น ยูนิเวอร์แซล แอดซอร์บเบ้นท์ แอนด์ เคมิคัลส์ หรือ UAC เซียนหุ้น ส.และหนุ่มหมู ประสานเสียง ต้นทุน 9 บาท ขาย 14 บาท ใช้เวลาแค่ 11 วัน เราเริ่มอัดหุ้นช่วงเดือน ม.ค. 2556 พอดีแอบเห็นนักลงทุนรายใหญ่ถือหุ้วตัวนี้เลยเกิดความสนใจ อีกอย่างธุรกิจพลังงานทางเลือกกำลังมา
“ผมชอบเล่นหุ้นตามกระแส แต่ต้องรู้ก่อนว่า กระแสอะไรกำลังจะมา ไม่ใช่ไปเล่นกลางกระแส หรือปลายกระแส เราต้องมองข้ามสเต็ป เมื่อหมวดไหนน่าสนใจหรือแข็งแกร่ง ผมจะรีบทำ Compare Graph ทันที เน้นวางแผนการลงทุนเป็นชุดๆ ส่วนใหญ่มักใช้เวลาหลังเลิกงานในการทำการบ้านเรื่องหุ้น”
ตัวต่อไป คือ หุ้น ช.การช่าง หรือ CK สัญญาณทางเทคนิคสั่งซื้อตอน 12 บาท และสั่งขายช่วง 28 บาท ใช้เวลาการขึ้นไม่เกิน 3 เดือน ตอนนั้นอึดอัดต้องรีบขาย ทั้งๆที่มีความเชื่อว่าจะขึ้นไป 40 บาท ตอนนั้นอัดเต็มเหมือนกัน เพราะเล่นตามสตอรี่โครงสร้างพื้นฐานสาธารณูปโภค 2.2 ล้านบาท ต้องบอกก่อนว่า หุ้นตัวนี้นักลงทุน VI ไม่เล่น เพราะหุ้น CK ตอนโน้นมีอัตราส่วนราคาต่อกำไร หรือค่า P/E 1,000 เท่า ราคาหุ้นขึ้นอย่างเดียว
แต่ตอนนี้อัตราส่วนราคาต่อกำไรอยู่ที่ 3 เท่า หุ้นลงตลอด นั่นแปลว่า “เล่นเสร็จแล้ว” เซียนหุ้น ส. แสดงความคิดเห็น “หมอวิน” หันไปเปิดกราฟในโน๊คบุ๊คคู่ใจให้บิสวีคดู เราจะมั่วนั่งดูเพียงอัตราส่วนราคาต่อกำไรอย่างเดียวไม่ได้ “ผมเองเป็นคนไม่ดูอัตราส่วนราคาต่อกำไร แต่จะดูแนวโน้มของหุ้นตัวนั้นว่า สตอรี่อะไรกำลังมาและมีแนวโน้มหรือความเป็นไปได้หรือไม่”
เขา เปิดกราฟหุ้น CK ช่วงปี 2546 ให้ดู ตอนนั้นราคาหุ้นอยู่ระดับ 2 บาทใช้เวลาแค่ครึ่งปีขึ้นมา 30 บาท ตอนนี้ราคาหุ้น CK กำลังตกอยู่ในอาการนี้เช่นกัน ถามว่า ต้องใช้เวลาอีกกี่ปีกว่าหุ้นจะกลับมา 30 บาท อย่างน้อยต้องใช้เวลา 5 ปี หากการเมืองยังยุ่งๆ แบบนี้
“หมอวิน” เล่าถึงหุ้นตัวต่อไปว่า ซื้อ หุ้น กรุ๊ปลีส หรือ GL มา 7.50 บาท ขายช่วง 12.50 บาท ตอนนั้นเล่นเรื่องข่าวคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 2.25เปอร์เซ็นต์ อีกอย่างพื้นฐานบริษัทดีมากเขาไปปล่อยสินเชื่อที่ประเทศกัมพูชาค่อนข้างเยอะ คนประเทศนั้นเริ่มมีเงิน ความต้องการใช้มอเตอร์ไซด์สูงมาก เมื่อ AEC เปิดเขาจะได้เปรียบ ตอนนั้นนักวิเคราะห์แนะนำซื้อหุ้น กรุ๊ปลีส มากกว่าหุ้น ฐิติกร หรือ TK ทั้งๆที่ “ฐิติกร” ไซด์ใหญ่กว่าและมาร์จิ้นมากกว่า
ขายหุ้น กรุ๊ปลีส รอบนั้น เราไม่เคยกลับไปซื้ออีกเลย พรางชี้นิ้วไปหา “เซียนหุ้นหญิงคนเก่ง” คนนี้ไงที่สอนผม พูดง่ายๆ “ได้แล้วทิ้ง” รอบของหุ้นตัวเดิมจะใช้เวลากลับมาอีกครั้งประมาณ 2-3 ปี ดูอย่างหุ้น ไออาร์พีซี หรือ IRPC ผ่านมา 10 ปี หุ้นยังไม่กลับมาเลย ส่วนใหญ่หุ้นจะใช้เวลาในการเล่นแค่รอบแค่ 1 เดือน เธอขยายความ
จากนั้นมาซื้อ หุ้น ไทยพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรม หรือ TFD ต้นทุน 10 บาท ขาย 16 บาท เล่นข่าวเพิ่มทุนแจกใบสำคัญแสดงสิทธิ ตัวต่อไป คือ หุ้น เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น หรือ NBC ต้นทุน 6 บาท ขาย 9 บาท ราคาหุ้นเคยสูงสุด 11.40 บาท
จริงๆ สัญญาณยังไม่สั่งให้ขาย แต่ยอมรับว่ากลัว เพราะหุ้นวิ่งขึ้นเร็วมาก ตอนนั้นคิดยังไงต้องคว่ำ แต่สุดท้ายกลับมาซื้อใหม่ เพราะอยากได้ใบสำคัญแสดงสิทธิ และ ขายไปตอน 6.50 บาท ช่วงหุ้น NBC ขึ้นเยอะๆ ทำให้เกิดออกอาการเพ้อไปไกลว่า หากทีวีดิจิตอลเปลี่ยนจริงๆหุ้นไปไกลแน่
เขา เล่าว่า ระหว่างทางเกิด “เจ็บตัว” เพราะ หุ้น เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป หรือ NMG ซื้อมา 2 บาท ขาย 1.50 บาท “ขาดทุน” ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ ตอนนั้นซื้อเพราะเชื่อว่าทีวีดิจิตอลเกิดแน่ จริงๆ สัญญาณเทคนิคบอกให้ขายแล้ว แต่หุ้นวิ่งเร็วมากทำให้ขายไม่ทัน บทเรียนคราวนั้นสอนให้รู้ว่า บางครั้งต้องเชื่อกราฟมากกว่าความลับที่รับรู้มา
ตัวต่อไป คือ หุ้น ยูไนเต็ด เปเปอร์ หรือ UTP สัญญาณซื้อทางเทคนิคเกิดขึ้นตอน 9 บาท ขายไป 15 บาท หุ้นใช้เวลาขึ้นแค่ 8 วัน ตอนนั้นมีข่าวลือเรื่องเทคโอเวอร์ อีกตัวที่ได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2556 คือ หุ้น ซีออยล์ หรือ SEAOIL ขายในราคาไอพีโอ 3.50 บาท และกลับมาเก็บครึ่งหนึ่งของจำนวนที่อยากได้ในราคา 4 บาท ก่อนจะไล่เก็บช่วง 4 .50 บาท และ 5 บาทอีกครั้ง ตอนนั้นทรงกราฟหุ้น SEAOIL เหมือนหุ้น UV ทำให้ไล่ซื้อมา 3 รอบ สุดท้ายขายที่ราคา 8 บาท จากนั้นมาซื้ออีกครั้ง 8 บาท แล้วขายตอน 10.50 บาท
ครั้งหนึ่ง “ทพ.ยรรยง พันธุ์วงศ์กล่อม” เซียนหุ้นรายใหญ่ เคยสอนเราว่า ก่อนจะซื้อหุ้นไอพีโอต้องดูว่า เขาเข้ามาในตลาดหุ้นเพื่ออะไร เงินที่ได้จากการระดมทุนจะนำไปทำอะไร หากนำเงินไปใช้หนี้ หรือไม่ได้นำไปขยายกิจการ หุ้นตัวนั้นราคาจะไม่สูง แต่ถ้านำเงินไปขยายกิจการ และเจ้าของไม่ได้ระดมทุน เพื่อให้ตัวเองรวย หุ้นตัวนั้นจะไม่มีแรงขาย เปรียบเหมือนหุ้น SEAOIL ผมจำได้เคยอ่านบิสวีคที่ลงเรื่องของ SEAOILลูกสาวเจ้าของ "เติ้ล-นีรชา ปานบุญห้อม" เขาบอกว่า หุ้นไอพีโอส่วนหนึ่งจะถูกขายให้พันธมิตร ฉะนั้นถ้าเปิดมาแล้วหุ้นลงคงโดนด่าเละ
“ตลาดหุ้นช่วงครึ่งปีหลังของปี 2556 ยอมรับ “เล่นยากมาก” ระหว่างทางโดนหุ้นตัวโน้นตัวนี้เล่นงานตลอดเต็มที่ได้กำไรแค่ 4-5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ไม่ค่อยได้เนื้อได้หนังเท่าไร”
“คุณหมอหนุ่ม” สถบว่า อย่าถามว่าตอนนี้พอร์ตมีมูลค่าเท่าไร พูดแบบนี้แล้วกันปกติจะใช้เงินซื้อขายหุ้น “หลักร้อยล้านบาทต่อเดือน” ผมไม่ได้ลงทุนคนเดียว แต่มีเงินของคนในครอบครัวช่วยด้วย
เราวางตัวเองเป็น “นักกลยุทธ์” เน้นวางแผนรบเป็นหลัก หากชนะข้าศึกแล้วต้องโหมตีอย่างรวดเร็ว และต้องใช้เวลาและเงินทุนให้น้อยที่สุด เราต้องบริหารความเสี่ยง หรือ RISK Management ให้ดี ที่สำคัญต้องหาตัวเองให้เจอว่า เป็นนักลงทุนประเภทไหน
อย่างผมเองวางตัวเองเป็น “นักลงทุนเทคนิค เพื่อรับส่วนต่างของราคา” นิยมเล่นหุ้นตามกระแสที่กำลังจะเกิดขึ้น หากเล่นไปแล้วพบว่า เหตุการณ์นั้นไม่เกิดขึ้นต้องรีบออกมา คุณต้องยอมเสียกำลังทหาร 10- 20 เปอร์เซ็นต์ แต่ยังมีกองทหารเพื่อไปตีทัพอื่นได้ ลงทุนลักษณะนี้ได้ต้องทำการบ้านอย่างหนัก ต้องมองเกมส์ล่วงหน้า
จากนี้จะพยายามบริหารให้พอร์ตเติบโตปีละ 30-40 เปอร์เซ็นต์ต่อการลงทุนหนึ่งรอบ พูดตอนนี้เหมือน “ขี้โม้” ตลาดหุ้นปี 2557 ท่าทางเล่นยาก เขาย้ำ โอกาสจะได้ผลตอบแทน 400 เปอร์เซ็นต์แบบนี้คงเป็นไปไม่ได้ จริงๆต้นปี 2556 เคยคิดแค่ว่า ได้กำไร 50 เปอร์เซ็นต์ ก็สวยแล้ว “น้ำขึ้นให้รีบตัก” สุภาษิตนี้ใช้ได้จริงๆ
“หมอวิน” ปิดท้ายบทสนทนาด้วยการเล่าถึงสิ่งที่อยากจะทำในปี 2557 ว่า สนใจลงทุนใน “ดัชนีนิเคอิ ตลาดหุ้นโตเกียว” เท่าที่ดูทรงกราฟพบว่า ในปี 2557 ดัชนีอาจวิ่งไปไกลถึง 25,000 จุด ตอนนี้กำลังศึกษาเกี่ยวกับหุ้นของประเทศเขา เพราะยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร
“ผมจะไม่ดูพื้นฐานของหุ้นตัวนั้นเลย หากทรงกราฟไม่สวย และจะขายเมื่อสัญญาณสั่งให้ขายเท่าไรก็ต้องขาย เราต้องมีวินัย อย่าปล่อยให้ฐานทุนหมดไปเรื่อยๆ เพราะมันต้องใช้เวลานานมากกว่าหุ้นจะกลับมา หากทำเช่นนั้นคุณจะเป็นเหมือนผมในอดีต เล่นหุ้นต้องมีแก๊งค์ เล่นคนเดียวไม่ได้ เมื่อก่อนเคยเล่นคนเดียวทำให้เล่นพลาดบ่อยๆ เซียนหุ้น ส. สอนมา”
“พี่ป๋องเป็นคนที่สอนให้ผมรู้จัก “กลัว”
พิชิตกำไร 400% ด้วยกราฟ "น.พ.รัชต์ชยุตม์ จีระพรประภา"
เปิดความลับ “เซียนหุ้นเทคนิค” “นพ.รัชต์ชยุตม์ จีระพรประภา” บุรุษผู้ใช้เงิน “หลักร้อยล้าน” เทรดหุ้นต่อเดือน ผ่านมาเกือบ 1 ปี โกยกำไร 400%
“วิน-นพ.รัชต์ชยุตม์ จีระพรประภา” เขาคือ ศิษย์เอก “เสี่ยป๋อง-วัชระ แก้วสว่าง” เซียนหุ้นรายใหญ่ หลังแสดงตนขอทำความรู้จักเมื่อ 10 ปีก่อน ในงานสัมมนาแห่งหนึ่ง และยังเป็นคนสนิท “เซียนหุ้นหญิง ตัวย่อ ส. อดีตนักลงทุนรายใหญ่ เจ้าของพอร์ตหลักพันล้าน เขาเรียก “รรยง พันธุ์วงศ์กล่อม” เซียนหุ้นรายใหญ่ ด้วยความสนิทชิดเชื้อว่า “คุณอา”
บุรุษวัย 30 ปี เขาเป็นลูกชายคนเดียว ประจำตระกูลจีระพรประภา พื้นเพเป็นคนกรุงเทพ ครอบครัวดำเนินธุรกิจค้าส่งสุรา ภายใต้ชื่อร้าน “ศรีมงคง” ย่านบางบอน ด้วยอุปนิสัยชอบช่วยเหลือคน ทำให้เขาตัดสินใจเรียนคณะแพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ปัจจุบันทำงานอยู่ในโรงพยาบาลรัฐบาลชื่อดังแห่งหนึ่ง
“จุดเริ่มต้นการลงทุน” เกิดขึ้นทันทีหลังเห็นป๊าและญาติเล่นหุ้นในปี 2543 แม้ครอบครัวจะไม่ประสบความสำเร็จในการเล่น “หุ้นบิ๊กแคป” แต่เขากลับอยากลงทุนหุ้น
“วิน” ตัดสินใจเชียร์ให้ป๊าซื้อ “หุ้น ศุภาลัย” หรือ SPALI เป็น“หุ้นตัวแรก” ช่วงราคาดอย 5.50 บาท ผ่านมา 6 เดือน ราคาลดเหลือ 3 บาท แต่เขาไม่ยอมขาย ยึดคติ “ไม่ขายไม่ขาดทุน” สุดท้ายปล่อยที่ราคา 2.50 บาท
“หมอวิน” เล่าถึงกลยุทธ์การลงทุนในปัจจุบันให้ฟังว่า “ผมใช้อารมณ์ในการลงทุนนานถึง 3-4 ปี” หลังประสบความสำเร็จระดับหนึ่งในการโกยกำไร หุ้น ทรู คอร์ปอเรชั่น หรือ TRUE เพิ่งมาเลิกใช้อารมณ์เป็นใหญ่เมื่อปี 2556
หลังจากเริ่มมีวินัยและมีกลยุทธ์ในการลงทุนมากขึ้น เรียกง่ายๆทำการบ้านมาอย่างหนัก ทำให้ในปี 2556 ผมมีกำไรจากการลงทุนแนวเทคนิคมากถึง “400 เปอร์เซ็นต์” หากจะให้เรียงลำดับว่า หุ้นตัวไหนที่ดันพอร์ตให้สวยขนาดนี้ บอกตรงๆเรียงไม่ถูกจริงๆ สาวสวยเต็มฮาเร็ม “หมู-อภิเชษฐ อ่อนกอ” แอดมินหลักประจำ Facebookชื่อ Master of Treacl ที่มีคนมากดถูกใจแล้ว 1,852 คนแอบแซว
ปัจจุบันหลักการลงทุนได้เปลี่ยนไปแล้ว ทุกวันนี้อารมณ์นิ่งขึ้นเยอะ ก่อนลงทุนมักจะวางแผนการลงทุนเองทุกขั้นทุกตอน วันนี้เราต้องดูว่า Risk (ความเสี่ยง) กับ Reward (ผลตอบแทน) มันคุ้มค่าในการเสี่ยงหรือไม่ ถ้า Risk และ Reward เยอะๆแบบนี้ไม่เอา แต่ถ้า Risk น้อยๆ Reward สูงๆ แบบนี้น่าลงทุน เมื่อนำ Risk กับ Reward มาหารกันแล้วออกมาใกล้ๆศูนย์ถือว่า เป็นที่น่าพอใจ แต่หากมีค่าใกล้ 1 หรือเกิน 1 ถือว่าไม่คุ้มเสี่ยง หลักการเช่น ซื้อหุ้นหนึ่งตัวในราคา 10 บาท ถ้าหุ้นลงเราจะเสียไม่เกินบาท แต่ถ้าได้จะได้มากถึง 10 บาท แบบนี้อัดเลย
นักลงทุนแนว VI เขาใช้หลักการ “กำไรทบต้น” สิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ผมเองใช้เช่นกัน แต่เราจะกำไรทบต้นเร็วกว่านักลงทุนวีไอ เพราะเราใช้เครื่องไม้เครื่องมือทางเทคนิคบางอย่างมาช่วยซื้อขาย ที่สำคัญจะใช้เวลาไม่นาน หุ้นตัวนั้นจะมีแรงหรือพลังส่งขึ้นไปมากกว่าตัวอื่นๆ
ถามว่า เลือกใช้กราฟตัวไหนในการหาจังหวะเข้าออก “หมอวิน” ตอบว่า ส่วนใหญ่จะใช้กราฟ Keltner Channel กราฟ RSI กราฟ MACD กราฟ Directional Indicator และเทคนิคการนำกราฟแต่ละตัวในอดีตมาเปรียบเทียบกัน เป็นต้น
เรื่องการ Compare Graph หรือการนำกราฟมาเปรียบเทียบในเชิงโครงสร้าง ยอมรับว่า “หมอวิน” เขาทำการบ้านหนักมาก เพราะการ Compare Graph ของเขาไม่ได้ทำเหมือนที่นักวิเคราะห์บางรายทำ “หมู” พูดเสริม
หลักการลงทุนส่วนตัว คือ เลือกหมวดที่ชนะตลาด และเลือกตัวที่เก่งและแกร่งที่สุดในหมวดนั้น เมื่อตลาดมีอันเป็นไปหุ้นตัวนั้นจะลงน้อย หรือตลาดขึ้นหรือไม่ลงเลยหุ้นตัวนั้นจะมี High beta (ค่าเบี่ยงเบนที่มีต่อดัชนีอ้างอิง) ที่สูงกว่าตลาดมาก เหมือน หุ้น ยูนิ เวนเจอร์ หรือ UV ในยุคสมัยหนึ่ง
หุ้น ยูนิ เวนเจอร์ หรือ UV จึงเป็น “หุ้นตัวแรก” ที่ดันพอร์ตปี 2556 ให้เติบโต เลือกซื้อในช่วงปลายปี 2555 ต้นทุน 7 บาท ขายตอน 18 บาท “เซียนหุ้นหญิง ตัวย่อ ส.” ช่วยเตือนความจำหมอวิน ตอนนั้นหุ้น UV มีสตอรี่เรื่องการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์ วันนั้นดู Reward มากกว่า Risk 10 เท่า เห็นแบบนี้รีบอัดเลย พออัดหนึ่งครั้งได้เยอะทำให้พอร์ตโตเร็วมาก
“หุ้นสวย” ตัวต่อไป คือ หุ้น ยูนิเวอร์แซล แอดซอร์บเบ้นท์ แอนด์ เคมิคัลส์ หรือ UAC เซียนหุ้น ส.และหนุ่มหมู ประสานเสียง ต้นทุน 9 บาท ขาย 14 บาท ใช้เวลาแค่ 11 วัน เราเริ่มอัดหุ้นช่วงเดือน ม.ค. 2556 พอดีแอบเห็นนักลงทุนรายใหญ่ถือหุ้วตัวนี้เลยเกิดความสนใจ อีกอย่างธุรกิจพลังงานทางเลือกกำลังมา
“ผมชอบเล่นหุ้นตามกระแส แต่ต้องรู้ก่อนว่า กระแสอะไรกำลังจะมา ไม่ใช่ไปเล่นกลางกระแส หรือปลายกระแส เราต้องมองข้ามสเต็ป เมื่อหมวดไหนน่าสนใจหรือแข็งแกร่ง ผมจะรีบทำ Compare Graph ทันที เน้นวางแผนการลงทุนเป็นชุดๆ ส่วนใหญ่มักใช้เวลาหลังเลิกงานในการทำการบ้านเรื่องหุ้น”
ตัวต่อไป คือ หุ้น ช.การช่าง หรือ CK สัญญาณทางเทคนิคสั่งซื้อตอน 12 บาท และสั่งขายช่วง 28 บาท ใช้เวลาการขึ้นไม่เกิน 3 เดือน ตอนนั้นอึดอัดต้องรีบขาย ทั้งๆที่มีความเชื่อว่าจะขึ้นไป 40 บาท ตอนนั้นอัดเต็มเหมือนกัน เพราะเล่นตามสตอรี่โครงสร้างพื้นฐานสาธารณูปโภค 2.2 ล้านบาท ต้องบอกก่อนว่า หุ้นตัวนี้นักลงทุน VI ไม่เล่น เพราะหุ้น CK ตอนโน้นมีอัตราส่วนราคาต่อกำไร หรือค่า P/E 1,000 เท่า ราคาหุ้นขึ้นอย่างเดียว
แต่ตอนนี้อัตราส่วนราคาต่อกำไรอยู่ที่ 3 เท่า หุ้นลงตลอด นั่นแปลว่า “เล่นเสร็จแล้ว” เซียนหุ้น ส. แสดงความคิดเห็น “หมอวิน” หันไปเปิดกราฟในโน๊คบุ๊คคู่ใจให้บิสวีคดู เราจะมั่วนั่งดูเพียงอัตราส่วนราคาต่อกำไรอย่างเดียวไม่ได้ “ผมเองเป็นคนไม่ดูอัตราส่วนราคาต่อกำไร แต่จะดูแนวโน้มของหุ้นตัวนั้นว่า สตอรี่อะไรกำลังมาและมีแนวโน้มหรือความเป็นไปได้หรือไม่”
เขา เปิดกราฟหุ้น CK ช่วงปี 2546 ให้ดู ตอนนั้นราคาหุ้นอยู่ระดับ 2 บาทใช้เวลาแค่ครึ่งปีขึ้นมา 30 บาท ตอนนี้ราคาหุ้น CK กำลังตกอยู่ในอาการนี้เช่นกัน ถามว่า ต้องใช้เวลาอีกกี่ปีกว่าหุ้นจะกลับมา 30 บาท อย่างน้อยต้องใช้เวลา 5 ปี หากการเมืองยังยุ่งๆ แบบนี้
“หมอวิน” เล่าถึงหุ้นตัวต่อไปว่า ซื้อ หุ้น กรุ๊ปลีส หรือ GL มา 7.50 บาท ขายช่วง 12.50 บาท ตอนนั้นเล่นเรื่องข่าวคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 2.25เปอร์เซ็นต์ อีกอย่างพื้นฐานบริษัทดีมากเขาไปปล่อยสินเชื่อที่ประเทศกัมพูชาค่อนข้างเยอะ คนประเทศนั้นเริ่มมีเงิน ความต้องการใช้มอเตอร์ไซด์สูงมาก เมื่อ AEC เปิดเขาจะได้เปรียบ ตอนนั้นนักวิเคราะห์แนะนำซื้อหุ้น กรุ๊ปลีส มากกว่าหุ้น ฐิติกร หรือ TK ทั้งๆที่ “ฐิติกร” ไซด์ใหญ่กว่าและมาร์จิ้นมากกว่า
ขายหุ้น กรุ๊ปลีส รอบนั้น เราไม่เคยกลับไปซื้ออีกเลย พรางชี้นิ้วไปหา “เซียนหุ้นหญิงคนเก่ง” คนนี้ไงที่สอนผม พูดง่ายๆ “ได้แล้วทิ้ง” รอบของหุ้นตัวเดิมจะใช้เวลากลับมาอีกครั้งประมาณ 2-3 ปี ดูอย่างหุ้น ไออาร์พีซี หรือ IRPC ผ่านมา 10 ปี หุ้นยังไม่กลับมาเลย ส่วนใหญ่หุ้นจะใช้เวลาในการเล่นแค่รอบแค่ 1 เดือน เธอขยายความ
จากนั้นมาซื้อ หุ้น ไทยพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรม หรือ TFD ต้นทุน 10 บาท ขาย 16 บาท เล่นข่าวเพิ่มทุนแจกใบสำคัญแสดงสิทธิ ตัวต่อไป คือ หุ้น เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น หรือ NBC ต้นทุน 6 บาท ขาย 9 บาท ราคาหุ้นเคยสูงสุด 11.40 บาท
จริงๆ สัญญาณยังไม่สั่งให้ขาย แต่ยอมรับว่ากลัว เพราะหุ้นวิ่งขึ้นเร็วมาก ตอนนั้นคิดยังไงต้องคว่ำ แต่สุดท้ายกลับมาซื้อใหม่ เพราะอยากได้ใบสำคัญแสดงสิทธิ และ ขายไปตอน 6.50 บาท ช่วงหุ้น NBC ขึ้นเยอะๆ ทำให้เกิดออกอาการเพ้อไปไกลว่า หากทีวีดิจิตอลเปลี่ยนจริงๆหุ้นไปไกลแน่
เขา เล่าว่า ระหว่างทางเกิด “เจ็บตัว” เพราะ หุ้น เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป หรือ NMG ซื้อมา 2 บาท ขาย 1.50 บาท “ขาดทุน” ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ ตอนนั้นซื้อเพราะเชื่อว่าทีวีดิจิตอลเกิดแน่ จริงๆ สัญญาณเทคนิคบอกให้ขายแล้ว แต่หุ้นวิ่งเร็วมากทำให้ขายไม่ทัน บทเรียนคราวนั้นสอนให้รู้ว่า บางครั้งต้องเชื่อกราฟมากกว่าความลับที่รับรู้มา
ตัวต่อไป คือ หุ้น ยูไนเต็ด เปเปอร์ หรือ UTP สัญญาณซื้อทางเทคนิคเกิดขึ้นตอน 9 บาท ขายไป 15 บาท หุ้นใช้เวลาขึ้นแค่ 8 วัน ตอนนั้นมีข่าวลือเรื่องเทคโอเวอร์ อีกตัวที่ได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2556 คือ หุ้น ซีออยล์ หรือ SEAOIL ขายในราคาไอพีโอ 3.50 บาท และกลับมาเก็บครึ่งหนึ่งของจำนวนที่อยากได้ในราคา 4 บาท ก่อนจะไล่เก็บช่วง 4 .50 บาท และ 5 บาทอีกครั้ง ตอนนั้นทรงกราฟหุ้น SEAOIL เหมือนหุ้น UV ทำให้ไล่ซื้อมา 3 รอบ สุดท้ายขายที่ราคา 8 บาท จากนั้นมาซื้ออีกครั้ง 8 บาท แล้วขายตอน 10.50 บาท
ครั้งหนึ่ง “ทพ.ยรรยง พันธุ์วงศ์กล่อม” เซียนหุ้นรายใหญ่ เคยสอนเราว่า ก่อนจะซื้อหุ้นไอพีโอต้องดูว่า เขาเข้ามาในตลาดหุ้นเพื่ออะไร เงินที่ได้จากการระดมทุนจะนำไปทำอะไร หากนำเงินไปใช้หนี้ หรือไม่ได้นำไปขยายกิจการ หุ้นตัวนั้นราคาจะไม่สูง แต่ถ้านำเงินไปขยายกิจการ และเจ้าของไม่ได้ระดมทุน เพื่อให้ตัวเองรวย หุ้นตัวนั้นจะไม่มีแรงขาย เปรียบเหมือนหุ้น SEAOIL ผมจำได้เคยอ่านบิสวีคที่ลงเรื่องของ SEAOILลูกสาวเจ้าของ "เติ้ล-นีรชา ปานบุญห้อม" เขาบอกว่า หุ้นไอพีโอส่วนหนึ่งจะถูกขายให้พันธมิตร ฉะนั้นถ้าเปิดมาแล้วหุ้นลงคงโดนด่าเละ
“ตลาดหุ้นช่วงครึ่งปีหลังของปี 2556 ยอมรับ “เล่นยากมาก” ระหว่างทางโดนหุ้นตัวโน้นตัวนี้เล่นงานตลอดเต็มที่ได้กำไรแค่ 4-5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ไม่ค่อยได้เนื้อได้หนังเท่าไร”
“คุณหมอหนุ่ม” สถบว่า อย่าถามว่าตอนนี้พอร์ตมีมูลค่าเท่าไร พูดแบบนี้แล้วกันปกติจะใช้เงินซื้อขายหุ้น “หลักร้อยล้านบาทต่อเดือน” ผมไม่ได้ลงทุนคนเดียว แต่มีเงินของคนในครอบครัวช่วยด้วย
เราวางตัวเองเป็น “นักกลยุทธ์” เน้นวางแผนรบเป็นหลัก หากชนะข้าศึกแล้วต้องโหมตีอย่างรวดเร็ว และต้องใช้เวลาและเงินทุนให้น้อยที่สุด เราต้องบริหารความเสี่ยง หรือ RISK Management ให้ดี ที่สำคัญต้องหาตัวเองให้เจอว่า เป็นนักลงทุนประเภทไหน
อย่างผมเองวางตัวเองเป็น “นักลงทุนเทคนิค เพื่อรับส่วนต่างของราคา” นิยมเล่นหุ้นตามกระแสที่กำลังจะเกิดขึ้น หากเล่นไปแล้วพบว่า เหตุการณ์นั้นไม่เกิดขึ้นต้องรีบออกมา คุณต้องยอมเสียกำลังทหาร 10- 20 เปอร์เซ็นต์ แต่ยังมีกองทหารเพื่อไปตีทัพอื่นได้ ลงทุนลักษณะนี้ได้ต้องทำการบ้านอย่างหนัก ต้องมองเกมส์ล่วงหน้า
จากนี้จะพยายามบริหารให้พอร์ตเติบโตปีละ 30-40 เปอร์เซ็นต์ต่อการลงทุนหนึ่งรอบ พูดตอนนี้เหมือน “ขี้โม้” ตลาดหุ้นปี 2557 ท่าทางเล่นยาก เขาย้ำ โอกาสจะได้ผลตอบแทน 400 เปอร์เซ็นต์แบบนี้คงเป็นไปไม่ได้ จริงๆต้นปี 2556 เคยคิดแค่ว่า ได้กำไร 50 เปอร์เซ็นต์ ก็สวยแล้ว “น้ำขึ้นให้รีบตัก” สุภาษิตนี้ใช้ได้จริงๆ
“หมอวิน” ปิดท้ายบทสนทนาด้วยการเล่าถึงสิ่งที่อยากจะทำในปี 2557 ว่า สนใจลงทุนใน “ดัชนีนิเคอิ ตลาดหุ้นโตเกียว” เท่าที่ดูทรงกราฟพบว่า ในปี 2557 ดัชนีอาจวิ่งไปไกลถึง 25,000 จุด ตอนนี้กำลังศึกษาเกี่ยวกับหุ้นของประเทศเขา เพราะยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร
“ผมจะไม่ดูพื้นฐานของหุ้นตัวนั้นเลย หากทรงกราฟไม่สวย และจะขายเมื่อสัญญาณสั่งให้ขายเท่าไรก็ต้องขาย เราต้องมีวินัย อย่าปล่อยให้ฐานทุนหมดไปเรื่อยๆ เพราะมันต้องใช้เวลานานมากกว่าหุ้นจะกลับมา หากทำเช่นนั้นคุณจะเป็นเหมือนผมในอดีต เล่นหุ้นต้องมีแก๊งค์ เล่นคนเดียวไม่ได้ เมื่อก่อนเคยเล่นคนเดียวทำให้เล่นพลาดบ่อยๆ เซียนหุ้น ส. สอนมา”
“พี่ป๋องเป็นคนที่สอนให้ผมรู้จัก “กลัว”