[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้คำเตือน กระทู้นี้เน้นระบายความรู้สึกที่มีต่อเมืองๆนี้ อาจหาสาระไม่ค่อยได้ และไม่มีรูปสวยๆ มาให้ดูกันนะคะ
จำได้ว่ารู้จักกับชื่อ ปาย ครั้งแรกเมื่อตอนเรียนอยู่มอ.ต้นค่ะ กำลังนั่งคุยกับครูอยู่ในห้องสมุดแล้วก็ไหลเรื่อยไปจนถึงสถานที่ที่อยากไปเที่ยว คุณครูท่านนั้นเคยบอกว่าอยากไปเที่ยวปายเพราะทรัพยากรธรรมชาติที่นั่นสวยงามมาก... ป่าที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์มีสีเขียวเข้มสวยงามสุดลูกหูลูกตา นั่นเป็นครั้งแรกที่เราได้รู้จักกับปาย
จนเมื่อเวลาผ่านไป เราเติบโตพอที่จะออกเดินทางแต่ปายก็ยังเป็นเพียงชื่ออำเภอในจังหวัดแม่ฮ่องสอนที่ไม่เคยไปเยือนเลยซักครั้งทั้งที่ตัวเองก็อยู่เชียงใหม่นี่เองแท้ๆ ยิ่งพอได้มาทราบข่าวคราวต่างๆจากในโลกอินเตอร์เน็ต ข่าวที่ได้คือปายเปลี่ยนแปลงไปมาก เปลี่ยนแปลงไปจนบางคนบอกว่าไม่เหลือความเป็นเมืองปายแบบเดิมๆเลย บ้างก็บอกว่าไปครั้งเดียวจบ บ้างก็ว่าเคยไปเมื่อตอนอดีตแต่พอกลับไปอีกครั้งในช่วงหลังมานี้ก็รู้สึกผิดหวังไปตามๆกัน
นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ปายเป็นสถานที่จำพวกว่า...ก็อยากไปนะ แต่ถ้าไม่ไปก็ได้
มีครั้งหนึ่งที่ต้องตัดสินใจระหว่างไปปาย หรือไปน่าน ผลก็เลยกลายเป็นเลือกน่านแทนโดยไม่ต้องคิดมาก
เมื่อวันที่18 มกรานี้ เป็นครั้งแรกที่มีโอกาสได้ไปจริงๆ จังๆ ซักทีค่ะ สืบเนื่องมาจากมีงานคอนเสิร์ตที่นั่นแล้วเพื่อนก็ชวนไว้นานแล้ว สุดท้ายกะว่าทริปล่ม แต่แล้วก็กลับตัดสินใจอีกว่าจะไปกันในคืนก่อนหน้านั้นเอง (หลายจิตหลายใจจริงวุ้ย)
พอไปถึงเมืองปายแล้วพยายามหาที่พักใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ ไปถามตามที่ที่คิดว่าพอจะว่าง ถนนแทบทุกเส้นที่พอจะหาได้ ก็เต็มหมด แม้แต่อีกกรุ๊ปหนึ่งที่ไปด้วยกันก็ช่วยกันแยกย้ายกันเดินหาที่พักก็มีแต่ความผิดหวัง คนเยอะมาก ทั้งฝรั่งจีนไทยก็เดินวุ่นกันไปหมด รู้สึกเครียดขึ้นมาล่ะค่ะที่นี้ แต่ละคนเริ่มทำหน้าเคร่งเลย
แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่า เฮ้ย เรามาต่างถิ่นก็ต้องถามเจ้าถิ่นเค้าสิ อาจจะมีที่พักแปลกๆ อยู่ห่างไกลหูไกลตาก็ได้ ต่อให้เป็นนอกเมืองหรือไกลหลายกิโลก็คงต้องไป เดินสอดส่ายสายตามองหาเหยื่ออยู่แป๊บหนึ่งก็เจอกับป้าๆที่นั่งอยู่หน้าร้านนวด เลยเข้าไปถามเค้าเรื่องที่พักว่าพอจะมีที่ไหนอีกไหม อู้เหนือกันกระจายค่ะ สำเนียงแบบเมื๊องเมืองจริงๆนะ ไม่ได้เหนือคำ กลางคำ แบบเมืองเชียงใหม่
ก็บอกป้าว่าเดินถามจนทั่วหมดแล้วไม่มีที่ว่างเลย เค้าก็อัธยาศัยดีมากแนะนำที่นึงมาซึ่งเราเคยไปถามมาแล้วและก็เต็ม เลยแนะนำอีกที่เป็นบ้านว่างอยู่เจ้าของบ้านเขาเปิดให้เช่า อยู่ในซอยเล็กๆ ที่ขนานกับถนนหน้าร้าน ป้าทั้งสามคนก็ช่วยกันอธิบายพิกัดสุดฤทธิ์ รู้สึกถึงมิตรไมตรีได้อย่างมากว่าอยากช่วยเหลือเราจริงๆ ต้องขอกราบพระคุณป้าร้านนวดตรงข้ามวัดป่าขามมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ หนูเจอได้เพราะบอกว่ามีต้น ‘ผักฮี้’ หน้าบ้านเลย ฮ่าๆ
แล้วบ้านเช่าหลังนั้นก็ว่างจริงค่ะ ป้าทั้งสามเหมือนสวรรค์มาโปรดช่วยจุดแสงตะเกียงในคืนมืดมนจริงๆ เป็นบ้านปูนชั้นเดียว มีสองห้องนอนหนึ่งห้องน้ำที่ไม่ได้เริศหรู ไม่ได้ตกแต่งอย่างสวยงามเหมือนในรีสอร์ทสวยๆแบบที่ค้นหาเจอในเน็ต แต่ ณ จุดนั้นมันดีมากแล้วจริงๆค่ะที่หาที่คุ้มกะลาหัวได้แล้วในคืนนั้น ได้มาในราคา3,000บาท/13คน ยายเจ้าของที่พักบอกว่าปกติคิดคนละ300บาท ตอนแรกก็ตกใจที่ดูแพงไปแต่พอหารกันแล้วก็เหลือคนละสองร้อยกว่าบาทเอง
คุณยายเจ้าของบ้านก็ใจดีค่ะ รีบหอบผ้าห่มกับหมอนมาเพิ่มให้เยอะแยะ มีแก้ว-จานชาม-ช้อน-น้ำดื่มขวดใหญ่แช่ตู้เย็นเป็นโหลเลยมั้ง มีแชมพูครีมอาบน้ำ แล้วก็ขอแรงให้ไปยกที่นอนมาเพิ่มเองได้มั้ย เพราะยายอยู่กับตาสองคน
(นอกจากสองห้องนอนแล้ว ยังมีที่นอนประมาณหกฟุตบริเวณโถงบ้านแล้วค่ะ แต่ก็ให้เพิ่มมากอีกอันเพราะคนเยอะ)
อารมณ์ประมาณโฮมสเตย์เลย
ตอนที่กำลังเก็บของเข้าบ้านพักกันอยู่เราก็สังเกตเห็นคุณป้าที่ร้านนวดขับรถมอไซค์ผ่านมาดู คงประมาณว่านังหนูที่ไปถามมันได้ที่พักรึยังนะ? เราไม่รู้ว่าป้าตั้งใจมาดูพวกเราจริงๆ หรือเป็นทางผ่านของเค้าอยู่แล้ว แต่ตอนที่เราอยู่ในบ้านแล้วเห็นป้าขับผ่านชะเง้อมองมา แว่บเดียวเท่านั้น แต่มันซึ้งใจมากจริงๆค่ะ
ระหว่างที่เพื่อนพักผ่อนกันอยู่ ส่วนเราเพราะแรงคึกคาเฟอีนม็อคค่าเย็นก็เลยออกไปเดินเที่ยวเล่นค่ะ ถ่ายรูปตามข้างทางไปเรื่อยเปื่อย ถนนคนเดินแม่ค้าก็กำลังตั้งโต๊ะ จัดวางของกันอยู่เลย บรรยากาศก็เลยค่อนข้างพลุกพล่าน ไหนจะรถไหนจะคน
กลางตรอกซอยเล็กๆแห่งหนึ่งของเมืองปาย
ก็เลยลองเข้าไปดูในวัดป่าขามที่อยู่ใกล้กันนั้น มันรู้สึกเหมือนกราฟหัวใจที่เต้นหยึกหยักๆ กลายเป็นเส้นเรียบตรงเพราะความสงบของที่นั่นจริงๆ ในขณะที่ข้างนอกเต็มไปด้วยผู้คน ในวัดกลับสงบเงียบแทบจะไร้คน มีแต่เด็กๆที่มาเล่นปิงปองกันอยู่แถวนั้น
รูปทรงหลังคาที่ทำให้นึกถึงพระราชวังของญี่ปุ่น
พระธาตุเป็นประธาน และพระประจำวันเกิดล้อมรอบ
ถ่ายรูปสักพักก็เดินออกมาจากวัดค่ะ สะดุดตากับร้านหนังสือ เพียงแต่มันเป็นหนังสือภาษาอังกฤษทั้งนั้นเลย ก็เลยซื้อโปสการ์ดติดมือกลับมา
แล้วเพื่อนก็โทรหาเรียกไปกินข้าวเย็นด้วยกัน ซึ่งก็เป็นร้านขนมจีนที่ถนนคนเดินนั่นแหละค่ะ
คืนนั้นเราไปงานคอนเสิร์ตกันอยู่นอกเมืองไปหน่อย คนเยอะมากกกก... มองเห็นได้เพียงไกลๆ แค่ว่าเป็นมนุษย์ที่ยืนอยู่บนเวทีเท่านั้นเอง
จบคืนนั้นก็กลับมาที่พักอันแสนอบอุ่นและสลบยันเช้าค่ะ เราทิ้งตัวเมืองปายไว้เบื้องหลังในตอนสายของวัน ออกมากินข้าวเช้าที่ร้านอาหารจีนยูนนาน ตรงข้ามร้านกาแฟปายอินเลิฟ
วิวจากร้านอาหาร
และแวะดื่มกาแฟที่ปายอินเลิฟ ถ่ายรูปกันอยู่ที่นั่นเกือบสองชั่วโมงยังไม่ทั่วเลย (บ้ากล้องกันจริงๆ)
วิวสวยจริงๆ ไม่แปลกใจว่าทำไมถึงเป็นร้านที่ได้รับความนิยมมาก
แวะที่สะพานประวัติศาสตร์ปาย แล้วลงไปเข้าห้องน้ำด้านล่าง ซึ่งน้ำที่ใช้ในห้องน้ำเป็นน้ำแร่จากบ่อน้ำพุร้อนค่ะ! มันจะอุ่นๆ เกือบร้อน ออกมาจากห้องน้ำก็ได้คุยกับป้าที่นั่งเฝ้าเก็บตังค์ที่นั่น เพราะเพิ่งรู้ว่ามีบ่อน้ำพุร้อนด้วย ป้าบอกว่าอยู่บนเขาโน่น (คงจะต่อท่อลงมา) ก็เลยคิดว่าถ้า
อนาคตได้กลับมาปายอีกจะแวะไปเที่ยวน้ำพุร้อนให้ได้
หลังจากนั้นก็นั่งรถกลับเชียงใหม่ยาวเลยค่ะ
สรุปจากการไปเที่ยวปายครั้งนี้ เราชอบปายนะ...ชอบคนปาย
ชาวบ้านแบบคนพื้นที่จริงๆ ใจดีมาก ขนาดจขกท.เป็นคนที่พูดน้อย แต่ถ้ามีใครเริ่มพูดก่อนและมีประเด็นคุยก็จะคุยยาวๆได้ คนที่นั่นทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าเราไม่ได้เป็นคนแปลกหน้าต่อกัน ชอบตรงจุดนี้แหละ
อีกอย่างหนึ่ง ธรรมชาติที่นั่นก็ยังคงสวยอยู่ คงเพราะไม่เคยเห็นว่าอดีตปายเคยเป็นยังไงมาก่อน และไม่คาดหวัง ก็เลยไม่ผิดหวัง
ในความรู้สึกเหมือนกับว่าในเมืองปายมันมีสองกระแสที่สวนทางกันแต่ก็ไหลผ่านวันเวลาไปพร้อมๆกัน คือกระแสสุดชิค ร้านรวงสมัยใหม่ กับกระแสวัฒนธรรมดังเดิม ก็คงแล้วแต่ใครจะชอบแนวไหนแหละค่ะ แต่สำหรับเรา เราว่าไปปายแล้วเราเลือกฝั่งไหนก็ได้ตามรสนิยมนะ หรือจะเลือกทั้งสองอย่างพร้อมๆกันเลยก็ไม่เป็นปัญหา
ขอปิดท้ายด้วยภาพนี้ค่ะ
แต่ที่แน่ๆ มีทริปซ่อม ปาย-ปางอุ๋งออกมาแน่นอน
หลงรักปายซะแล้วสิ
[CR] “ปาย” การเดินทางพร้อมกับคำถามที่ว่า “ปายเปลี่ยนไปแล้วใช่ไหม?”
จำได้ว่ารู้จักกับชื่อ ปาย ครั้งแรกเมื่อตอนเรียนอยู่มอ.ต้นค่ะ กำลังนั่งคุยกับครูอยู่ในห้องสมุดแล้วก็ไหลเรื่อยไปจนถึงสถานที่ที่อยากไปเที่ยว คุณครูท่านนั้นเคยบอกว่าอยากไปเที่ยวปายเพราะทรัพยากรธรรมชาติที่นั่นสวยงามมาก... ป่าที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์มีสีเขียวเข้มสวยงามสุดลูกหูลูกตา นั่นเป็นครั้งแรกที่เราได้รู้จักกับปาย
จนเมื่อเวลาผ่านไป เราเติบโตพอที่จะออกเดินทางแต่ปายก็ยังเป็นเพียงชื่ออำเภอในจังหวัดแม่ฮ่องสอนที่ไม่เคยไปเยือนเลยซักครั้งทั้งที่ตัวเองก็อยู่เชียงใหม่นี่เองแท้ๆ ยิ่งพอได้มาทราบข่าวคราวต่างๆจากในโลกอินเตอร์เน็ต ข่าวที่ได้คือปายเปลี่ยนแปลงไปมาก เปลี่ยนแปลงไปจนบางคนบอกว่าไม่เหลือความเป็นเมืองปายแบบเดิมๆเลย บ้างก็บอกว่าไปครั้งเดียวจบ บ้างก็ว่าเคยไปเมื่อตอนอดีตแต่พอกลับไปอีกครั้งในช่วงหลังมานี้ก็รู้สึกผิดหวังไปตามๆกัน
นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ปายเป็นสถานที่จำพวกว่า...ก็อยากไปนะ แต่ถ้าไม่ไปก็ได้
มีครั้งหนึ่งที่ต้องตัดสินใจระหว่างไปปาย หรือไปน่าน ผลก็เลยกลายเป็นเลือกน่านแทนโดยไม่ต้องคิดมาก
เมื่อวันที่18 มกรานี้ เป็นครั้งแรกที่มีโอกาสได้ไปจริงๆ จังๆ ซักทีค่ะ สืบเนื่องมาจากมีงานคอนเสิร์ตที่นั่นแล้วเพื่อนก็ชวนไว้นานแล้ว สุดท้ายกะว่าทริปล่ม แต่แล้วก็กลับตัดสินใจอีกว่าจะไปกันในคืนก่อนหน้านั้นเอง (หลายจิตหลายใจจริงวุ้ย)
พอไปถึงเมืองปายแล้วพยายามหาที่พักใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ ไปถามตามที่ที่คิดว่าพอจะว่าง ถนนแทบทุกเส้นที่พอจะหาได้ ก็เต็มหมด แม้แต่อีกกรุ๊ปหนึ่งที่ไปด้วยกันก็ช่วยกันแยกย้ายกันเดินหาที่พักก็มีแต่ความผิดหวัง คนเยอะมาก ทั้งฝรั่งจีนไทยก็เดินวุ่นกันไปหมด รู้สึกเครียดขึ้นมาล่ะค่ะที่นี้ แต่ละคนเริ่มทำหน้าเคร่งเลย
แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่า เฮ้ย เรามาต่างถิ่นก็ต้องถามเจ้าถิ่นเค้าสิ อาจจะมีที่พักแปลกๆ อยู่ห่างไกลหูไกลตาก็ได้ ต่อให้เป็นนอกเมืองหรือไกลหลายกิโลก็คงต้องไป เดินสอดส่ายสายตามองหาเหยื่ออยู่แป๊บหนึ่งก็เจอกับป้าๆที่นั่งอยู่หน้าร้านนวด เลยเข้าไปถามเค้าเรื่องที่พักว่าพอจะมีที่ไหนอีกไหม อู้เหนือกันกระจายค่ะ สำเนียงแบบเมื๊องเมืองจริงๆนะ ไม่ได้เหนือคำ กลางคำ แบบเมืองเชียงใหม่
ก็บอกป้าว่าเดินถามจนทั่วหมดแล้วไม่มีที่ว่างเลย เค้าก็อัธยาศัยดีมากแนะนำที่นึงมาซึ่งเราเคยไปถามมาแล้วและก็เต็ม เลยแนะนำอีกที่เป็นบ้านว่างอยู่เจ้าของบ้านเขาเปิดให้เช่า อยู่ในซอยเล็กๆ ที่ขนานกับถนนหน้าร้าน ป้าทั้งสามคนก็ช่วยกันอธิบายพิกัดสุดฤทธิ์ รู้สึกถึงมิตรไมตรีได้อย่างมากว่าอยากช่วยเหลือเราจริงๆ ต้องขอกราบพระคุณป้าร้านนวดตรงข้ามวัดป่าขามมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ หนูเจอได้เพราะบอกว่ามีต้น ‘ผักฮี้’ หน้าบ้านเลย ฮ่าๆ
แล้วบ้านเช่าหลังนั้นก็ว่างจริงค่ะ ป้าทั้งสามเหมือนสวรรค์มาโปรดช่วยจุดแสงตะเกียงในคืนมืดมนจริงๆ เป็นบ้านปูนชั้นเดียว มีสองห้องนอนหนึ่งห้องน้ำที่ไม่ได้เริศหรู ไม่ได้ตกแต่งอย่างสวยงามเหมือนในรีสอร์ทสวยๆแบบที่ค้นหาเจอในเน็ต แต่ ณ จุดนั้นมันดีมากแล้วจริงๆค่ะที่หาที่คุ้มกะลาหัวได้แล้วในคืนนั้น ได้มาในราคา3,000บาท/13คน ยายเจ้าของที่พักบอกว่าปกติคิดคนละ300บาท ตอนแรกก็ตกใจที่ดูแพงไปแต่พอหารกันแล้วก็เหลือคนละสองร้อยกว่าบาทเอง
คุณยายเจ้าของบ้านก็ใจดีค่ะ รีบหอบผ้าห่มกับหมอนมาเพิ่มให้เยอะแยะ มีแก้ว-จานชาม-ช้อน-น้ำดื่มขวดใหญ่แช่ตู้เย็นเป็นโหลเลยมั้ง มีแชมพูครีมอาบน้ำ แล้วก็ขอแรงให้ไปยกที่นอนมาเพิ่มเองได้มั้ย เพราะยายอยู่กับตาสองคน
(นอกจากสองห้องนอนแล้ว ยังมีที่นอนประมาณหกฟุตบริเวณโถงบ้านแล้วค่ะ แต่ก็ให้เพิ่มมากอีกอันเพราะคนเยอะ)
อารมณ์ประมาณโฮมสเตย์เลย
ตอนที่กำลังเก็บของเข้าบ้านพักกันอยู่เราก็สังเกตเห็นคุณป้าที่ร้านนวดขับรถมอไซค์ผ่านมาดู คงประมาณว่านังหนูที่ไปถามมันได้ที่พักรึยังนะ? เราไม่รู้ว่าป้าตั้งใจมาดูพวกเราจริงๆ หรือเป็นทางผ่านของเค้าอยู่แล้ว แต่ตอนที่เราอยู่ในบ้านแล้วเห็นป้าขับผ่านชะเง้อมองมา แว่บเดียวเท่านั้น แต่มันซึ้งใจมากจริงๆค่ะ
ระหว่างที่เพื่อนพักผ่อนกันอยู่ ส่วนเราเพราะแรงคึกคาเฟอีนม็อคค่าเย็นก็เลยออกไปเดินเที่ยวเล่นค่ะ ถ่ายรูปตามข้างทางไปเรื่อยเปื่อย ถนนคนเดินแม่ค้าก็กำลังตั้งโต๊ะ จัดวางของกันอยู่เลย บรรยากาศก็เลยค่อนข้างพลุกพล่าน ไหนจะรถไหนจะคน
กลางตรอกซอยเล็กๆแห่งหนึ่งของเมืองปาย
ก็เลยลองเข้าไปดูในวัดป่าขามที่อยู่ใกล้กันนั้น มันรู้สึกเหมือนกราฟหัวใจที่เต้นหยึกหยักๆ กลายเป็นเส้นเรียบตรงเพราะความสงบของที่นั่นจริงๆ ในขณะที่ข้างนอกเต็มไปด้วยผู้คน ในวัดกลับสงบเงียบแทบจะไร้คน มีแต่เด็กๆที่มาเล่นปิงปองกันอยู่แถวนั้น
รูปทรงหลังคาที่ทำให้นึกถึงพระราชวังของญี่ปุ่น
พระธาตุเป็นประธาน และพระประจำวันเกิดล้อมรอบ
ถ่ายรูปสักพักก็เดินออกมาจากวัดค่ะ สะดุดตากับร้านหนังสือ เพียงแต่มันเป็นหนังสือภาษาอังกฤษทั้งนั้นเลย ก็เลยซื้อโปสการ์ดติดมือกลับมา
แล้วเพื่อนก็โทรหาเรียกไปกินข้าวเย็นด้วยกัน ซึ่งก็เป็นร้านขนมจีนที่ถนนคนเดินนั่นแหละค่ะ
คืนนั้นเราไปงานคอนเสิร์ตกันอยู่นอกเมืองไปหน่อย คนเยอะมากกกก... มองเห็นได้เพียงไกลๆ แค่ว่าเป็นมนุษย์ที่ยืนอยู่บนเวทีเท่านั้นเอง
จบคืนนั้นก็กลับมาที่พักอันแสนอบอุ่นและสลบยันเช้าค่ะ เราทิ้งตัวเมืองปายไว้เบื้องหลังในตอนสายของวัน ออกมากินข้าวเช้าที่ร้านอาหารจีนยูนนาน ตรงข้ามร้านกาแฟปายอินเลิฟ
วิวจากร้านอาหาร
และแวะดื่มกาแฟที่ปายอินเลิฟ ถ่ายรูปกันอยู่ที่นั่นเกือบสองชั่วโมงยังไม่ทั่วเลย (บ้ากล้องกันจริงๆ)
วิวสวยจริงๆ ไม่แปลกใจว่าทำไมถึงเป็นร้านที่ได้รับความนิยมมาก
แวะที่สะพานประวัติศาสตร์ปาย แล้วลงไปเข้าห้องน้ำด้านล่าง ซึ่งน้ำที่ใช้ในห้องน้ำเป็นน้ำแร่จากบ่อน้ำพุร้อนค่ะ! มันจะอุ่นๆ เกือบร้อน ออกมาจากห้องน้ำก็ได้คุยกับป้าที่นั่งเฝ้าเก็บตังค์ที่นั่น เพราะเพิ่งรู้ว่ามีบ่อน้ำพุร้อนด้วย ป้าบอกว่าอยู่บนเขาโน่น (คงจะต่อท่อลงมา) ก็เลยคิดว่าถ้า
อนาคตได้กลับมาปายอีกจะแวะไปเที่ยวน้ำพุร้อนให้ได้
หลังจากนั้นก็นั่งรถกลับเชียงใหม่ยาวเลยค่ะ
สรุปจากการไปเที่ยวปายครั้งนี้ เราชอบปายนะ...ชอบคนปาย
ชาวบ้านแบบคนพื้นที่จริงๆ ใจดีมาก ขนาดจขกท.เป็นคนที่พูดน้อย แต่ถ้ามีใครเริ่มพูดก่อนและมีประเด็นคุยก็จะคุยยาวๆได้ คนที่นั่นทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าเราไม่ได้เป็นคนแปลกหน้าต่อกัน ชอบตรงจุดนี้แหละ
อีกอย่างหนึ่ง ธรรมชาติที่นั่นก็ยังคงสวยอยู่ คงเพราะไม่เคยเห็นว่าอดีตปายเคยเป็นยังไงมาก่อน และไม่คาดหวัง ก็เลยไม่ผิดหวัง
ในความรู้สึกเหมือนกับว่าในเมืองปายมันมีสองกระแสที่สวนทางกันแต่ก็ไหลผ่านวันเวลาไปพร้อมๆกัน คือกระแสสุดชิค ร้านรวงสมัยใหม่ กับกระแสวัฒนธรรมดังเดิม ก็คงแล้วแต่ใครจะชอบแนวไหนแหละค่ะ แต่สำหรับเรา เราว่าไปปายแล้วเราเลือกฝั่งไหนก็ได้ตามรสนิยมนะ หรือจะเลือกทั้งสองอย่างพร้อมๆกันเลยก็ไม่เป็นปัญหา
ขอปิดท้ายด้วยภาพนี้ค่ะ
แต่ที่แน่ๆ มีทริปซ่อม ปาย-ปางอุ๋งออกมาแน่นอน
หลงรักปายซะแล้วสิ