ถ้าพูดถึงนโยบายประชานิยมทักษิณ ที่ทำให้เกิดกระแสรักคุณทักษิณมาจนทุกวันนี้ คงเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากนโยบาย “30 บาทรักษาทุกโรค” ซึ่งโดนใจชาวบ้านเป็นอันดับต้นๆ โดยเฉพาะประชาชนระดับรากหญ้า … แต่ก็นำมาซึ่งปัญหากับโรงพยาบาล ผู้บริหาร และผู้ปฏิบัติ โกลาหลจนพูดไม่ออก
โครงการประกันสุขภาพ มีมาแต่อดีต ในยุค มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ก็มีโครงการสงเคราะห์ผู้ป่วยมีรายได้น้อย มีบัตร สปน. ใช้บริการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของรัฐ ไม่เสียเงิน ในสมัยคุณชวน หลีกภัย มีนโยบายสวัสดิการประชาชนในการรักษาพยาบาล (สปร.) โดยผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป และเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี รักษาฟรี ขณะที่บัตรสงเคราะห์(สปน.)ก็ใช้ได้อยู่ เพิ่มโครงการบัตรประกันสุขภาพสำหรับคนไทยทุกสาขาอาชีพที่ขาดหลักประกันด้านสุขภาพ มูลค่า 1,000 บาทรัฐออกครึ่ง ผู้ซื้อบัตรออกครึ่ง(500) รักษาพยาบาลฟรีทั้งครอบครัว ส่วนคนชั้นกลาง คนมีเงิน มีกำลังจ่ายก็สมควรจ่ายเอง ถ้าอยากเลือกใช้ยาจากบัญชียาเสริมก็จ่ายแพงหน่อย เงินที่ได้เข้ารัฐ
ถ้าพูดถึงประเทศพัฒนาที่มีรัฐสวัสดิการแบบดีเยี่ยม รักษาฟรี สาธารณูปโภคพร้อม คุกหรูอย่างกับโรงแรม คุณภาพชีวิตที่ดี มีวัยเกษียณที่มั่นคงไม่ต้องกังวลเรื่องลูกหลานทิ้ง การจัดเก็บภาษีอยู่ในเกณฑ์สูงมาก 35-50% ของรายได้ คนรวยมากจ่ายมาก รวยน้อยจ่ายน้อย คนจนไม่ต้องจ่าย เฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขกันไป เคยได้ยินเพื่อนบางคนที่ต้องจ่ายภาษีสูงมาก เขาก็บ่นเหมือนกัน แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร
สำหรับประเทศกำลังพัฒนา ปัญหาคือไม่มีเงินสำหรับสวัสดิการดีขนาดนั้น เมื่อพรรคไทยรักไทยประกาศนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค จึงมีความเห็นขัดแย้งค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะความเป็นห่วงเรื่องการใช้เงิน เพราะต้องใช้งบประมาณที่สูงมาก พอเริ่มใช้...ความจริงคือรักษาไม่ได้ทุกโรค...เงินรายหัวที่รัฐจัดสรรให้แค่ 1,200 บาท มันต่ำมาก ขนาดยกเว้นไปหลายโรคโรงพยาบาลรัฐทั้งเล็กใหญ่ยังแทบล้มละลาย เช่นโรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก 6 เดือนหลังใช้นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ขาดทุน 50 ล้านบาท โรงพยาบาลเอกชนพากันถอนตัวจากโครงการเพราะขาดทุน เขาอยู่ของเขาเท่านั้น คนไข้ก็ไหลมาจากโรงพยาบาลรัฐแล้ว
ปัญหาคือคนไข้เยอะมาก เมื่อเงินน้อยต้องใช้สารพัด ทั้งค่าจ้างบุคลากร ค่ายา น้ำ ไฟ ฯลฯ งบสำหรับซื้อคุรุภัณฑ์การแพทย์ก็น้อยลง โรงพยาบาลต้องประหยัดรัดเข็มขัดมาก ลดค่าใช้จ่าย ลดคุณภาพยา จ่ายยาน้อยลง เกิดปัญหาฟ้องร้องแพทย์มากขึ้น โรงพยาบาลจังหวัด โรงพยาบาลศูนย์ มีปัญหาว่า โรงพยาบาลชุมชนไม่มีเงินชำระหนี้ที่ส่งต่อคนไข้มารักษา เสี่ยงหนี้สูญ การส่งต่อคนไข้ลดลง ส่งเฉพาะรายที่คิดว่าดูแลเองไม่ไหวจริงๆ เพราะต้องรับภาระตามไปจ่ายค่ารักษาให้ บุคลากรถูกลดโอทีเพราะไม่มีเงินจ้าง งานที่หนักอยู่แล้วยิ่งหนักขึ้น
คนชั้นกลาง คนมีเงิน ที่เคยใช้บริการโรงพยาบาลรัฐ คนไข้เยอะรอนานไม่ไหว เพราะเขามีเงินจ่าย หันไปใช้บริการคลินิก เข้า รพ.เอกชน เงินรัฐที่ควรได้จากคนกลุ่มนี้ก็หายไป บุคลากรทางการแพทย์ก็สมองไหลไปสู่ภาคเอกชน คนที่เหลือในระบบยิ่งทำงานหนัก
นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคเริ่มตุลาคม 2544 พอปี 2545 แพทย์ลาออกมากขึ้น 42% (อ้างอิง รศ.นพ.จิรุตม์ ศรีรัตนบัลล์ คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ปี 2546,2547 แพทย์รับภาระเพิ่มขึ้น 81% และ 48% ตามลำดับ หลายคนเครียดเพราะกลัวถูกฟ้อง เงินน้อย คนน้อย งานหนัก โอกาสเกิดความผิดพลาดเพิ่มขึ้น
เป็นภาพเบื้องหลังที่ คนทั่วไปอาจไม่รู้
แต่คนในวงการสาธารณสุขต่างระทมขมขื่น มีแต่นายทุน และนักการเมืองบางคน..ที่รู้ดีว่าจะมีปัญหาเหล่านี้ กว้านซื้อหุ้นโรงพยาบาลเอกชนไว้ในมือหลายโรง นอกจากกลุ่มชินคอร์ปแล้วมีใครอีกบ้างลองไปตรวจสอบดูเถอะ
หลังจากรัฐบาลทักษิณ เกิดอาการแบบนี้"ครม.ปวดหัว! ระบอบทักษิณล้วงเงินอนาคตมาใช้มหาศาล ต้องตั้งงบฯโปะเพิ่มอีกเกือบ 5 หมื่นล้าน เพื่อเคลียร์หนี้ประชานิยม 8.5 หมื่นล้าน จากที่ท่วมหัวอยู่กว่าแสนล้าน ทำให้งบฯปี 50 ต้องตั้งขาดดุลสูงถึง 1.5 แสนล้านบาท กางตัวเลขหั่นงบฯผู้ว่าฯซีอีโอทิ้ง 4 หมื่นล้าน เพิ่มค่าหัวโครงการ 30 บาท เป็น 1,899.69 บาท ช่วยปลดหนี้โรงพยาบาล" (ข้อมูลจากห้องสมุดกรมบัญชีกลาง)
เงินภาษีประชาชนทั้งนั้น รัฐบาลทักษิณ ผลาญเงินคลังนับแสนล้าน
ขายนโยบายไปแล้วเงินไม่มี...ความเท่าเทียมเลยกลายเป็นไม่เท่าเทียม รัฐมนตรี นายทุนพรรค...แห่แหนเข้าโรงพยาบาลเอกชนกันทั้งนั้น ทุกรอยยิ้มมีราคา แพงแค่ไหนก็จ่ายได้! ไม่เห็นมีใครใช้บริการบัตรทอง
จัดเก็บภาษีไม่ได้ตามเป้า แม้กระทั่งสรรพากรต้องมานั่งนับชามก๋วยเตี๋ยว เรียกเก็บภาษีจากร้านค้าแผงลอย
พรรคเพื่อไทยโจมตีประชาธิปัตย์ว่า...มาตั้งคำถามว่า นโยบายทั้งหลายของพรรคเพื่อไทยนั้นทำไม่ได้จริง ใช้เงินมหาศาลจะเอาเงินมาจากไหน นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคของพรรคไทยรักไทย ประชาธิปัตย์ก็พูดอย่างนี้ แล้วที่สุดไทยรักไทยก็ทำได้ ไม่ดีแล้วลอกมาทำไม?
ยังไม่เคยได้ยินพรรคประชาธิปัตย์บอกว่านโยบายนี้ไม่ดี...แต่มาในเวลาไม่พร้อม คิดเร็ว ทำเร็ว และไม่รอบคอบ จึงส่งผลกระทบแรงทั้งระบบ...เป็นภาระหนักหน่วงที่รัฐบาลทักษิณสร้างไว้ พรรคประชาธิปัตย์สานต่อนโยบายนี้ได้ต้องจัดเก็บภาษีได้เข้าเป้า เพิ่มเงินค่าหัวสูงขึ้นเพื่อให้โรงพยาบาลอยู่ได้ ยกระดับสถานีอนามัยเป็นโรงพยาบาลตำบล เพิ่มคน เพิ่มศักยภาพการบริการโดยมีตัวแทนชาวบ้านร่วมเป็นกรรมการบริหาร แบ่งเบาภาระโรงพยาบาลชุมชน จะบอกว่าประชาธิปัตย์ลอกนโยบายไทยรักไทยมาคงไม่ถูก แต่เข้ามาแก้ปัญหาและทำให้ดีขึ้น น่าจะเหมาะกว่า
นายนริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า รัฐบาลจัดเก็บรายได้เดือนเมษายน 2554 สูงกว่าเป้าหมาย 1.6 หมื่นล้านบาท แม้จะมีการลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลงชั่วคราว 5.305 บาท/ลิตร ตั้งแต่วันที่ 21 เมษายนที่ผ่านมา ส่งผลให้ในช่วง 7 เดือนแรกขอปีงบประมาณ 2554 รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิทะลุเป้าหมายเกิน 1.1 แสนล้านบาท หรือ 14.7%
พรรคประชาธิปัตย์ ดำเนินนโยบายบัตรประชาชนใบเดียวรักษาฟรี ไม่ต้องมีบัตรทอง นโยบาย 30 บาทที่ความจริงรักษาไม่ได้ทุกโรคนั้น...ปัจจุบันเพิ่มยาโรคเอดส์ ล้างไต ทำฟัน ฯลฯ ยกเว้นบางโรค เช่นเปลี่ยนถ่ายอวัยวะ และยังต้องใช้เงินมหาศาล...ถ้าได้รัฐบาลที่เคร่งครัด วินัยการเงินการคลังดี เก็บภาษีทะลุเป้าอย่างนี้นโยบายก็ดำเนินต่อไปได้
เงินคลังที่รัฐบาลประชาธิปัตย์หาไว้ ก็คงใช้ได้อีกไม่นาน นโยบายแต่ละพรรคล้วนประชานิยม ยิ่งพรรคเพื่อไทยถ้าทำอย่างที่สัญญาไว้ทั้งหมดใช้เงินไม่รู้กี่แสนล้าน ที่สำคัญ...ฝีมือรัฐมนตรีหาตังค์เข้าคลังเก่งไหม...หรือได้แต่หาตังค์เข้ากระเป๋าพรรคพวก แถมยังเว้นภาษีโน่นนั่นนี่นู่น ยิ่งถ้ามีทัศนะว่าการหลีกเลี่ยงภาษี การซุกหุ้นเป็นสิ่งที่ใครก็ทำกัน อย่างนั้น...ประเทศไทยมีหวังพังในอีกไม่ช้าไม่นาน
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สำหรับคนที่ขี้เกียจอ่าน สรุปไว้ให้ดังนี้
1. เป็นโครงการที่คิดกันมานานแล้ว แต่ยังไม่มีการนำมาใช้
2. คนแรกที่นำมาใช้คือทักษิณ
3. โครงการนี้ทำให้ทั้งโรงพยาบาลและรัฐบาล ขาดทุนมากมาย
4. คนใช้บริการ รพ.มากขึ้น ทำให้แพทย์และทีมงานทำงานหนักมากขึ้น (แต่เงินเดือนไม่สอดคล้องกับปริมาณงาน)
5. ความเหนื่อยล้าจากการทำงาน อาจทำให้เกิดความผิดพลาดในการรักษา เสี่ยงต่อการโดนฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย
6. เนื่องจาก รพ.รัฐ มีคนใช้บริการมาก และจ่ายยาราคาถูก คนชั้นกลาง/สูง จึงหันไปใช้บริการ รพ.เอกชน
7. แพทย์และทีมงาน ก็ย้ายไปทำงานให้ รพ.เอกชน มากขึ้น (เงินเดือนมากขึ้น / งานเบาลง)
8. นายทักษิณ และ พวกพ้อง มีความฉลาดเป็นอย่างมาก รู้ถึงผลที่จะเกิดขึ้นตามมา จึงได้เข้าซื้อหุ้น รพ.เอกชน ต่างๆมากมาย
9. จบลงที่ โรงพยาบาลรัฐ และ รัฐบาล ขาดทุนมากมาย
10. ทักษิณและพวกพ้องกำไรเป็นอย่างมาก (ผลประกอบการโรงพยาบาลเอกชนดีมาก)
11. ถามว่าผิดกฎหมายมั้ย ตอบว่าไม่ผิด / ถามว่าสมควรทำมั้ย - ต้องคิดเอาเอง
ถ้าจะถามหาหลักฐาน ในเนื้อหาคิดว่ามีใส่ reference อยู่แล้ว
ถ้าอันไหนไม่มี อยากรู้จริงๆ คิดว่า google เองบ้างคงไม่ถึงกับตาย
ขอบคุณที่เสียเวลาอ่าน
ความจริงเรื่อง 30บาท รักษาทุกโรค
โครงการประกันสุขภาพ มีมาแต่อดีต ในยุค มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ก็มีโครงการสงเคราะห์ผู้ป่วยมีรายได้น้อย มีบัตร สปน. ใช้บริการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของรัฐ ไม่เสียเงิน ในสมัยคุณชวน หลีกภัย มีนโยบายสวัสดิการประชาชนในการรักษาพยาบาล (สปร.) โดยผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป และเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี รักษาฟรี ขณะที่บัตรสงเคราะห์(สปน.)ก็ใช้ได้อยู่ เพิ่มโครงการบัตรประกันสุขภาพสำหรับคนไทยทุกสาขาอาชีพที่ขาดหลักประกันด้านสุขภาพ มูลค่า 1,000 บาทรัฐออกครึ่ง ผู้ซื้อบัตรออกครึ่ง(500) รักษาพยาบาลฟรีทั้งครอบครัว ส่วนคนชั้นกลาง คนมีเงิน มีกำลังจ่ายก็สมควรจ่ายเอง ถ้าอยากเลือกใช้ยาจากบัญชียาเสริมก็จ่ายแพงหน่อย เงินที่ได้เข้ารัฐ
ถ้าพูดถึงประเทศพัฒนาที่มีรัฐสวัสดิการแบบดีเยี่ยม รักษาฟรี สาธารณูปโภคพร้อม คุกหรูอย่างกับโรงแรม คุณภาพชีวิตที่ดี มีวัยเกษียณที่มั่นคงไม่ต้องกังวลเรื่องลูกหลานทิ้ง การจัดเก็บภาษีอยู่ในเกณฑ์สูงมาก 35-50% ของรายได้ คนรวยมากจ่ายมาก รวยน้อยจ่ายน้อย คนจนไม่ต้องจ่าย เฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขกันไป เคยได้ยินเพื่อนบางคนที่ต้องจ่ายภาษีสูงมาก เขาก็บ่นเหมือนกัน แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร
สำหรับประเทศกำลังพัฒนา ปัญหาคือไม่มีเงินสำหรับสวัสดิการดีขนาดนั้น เมื่อพรรคไทยรักไทยประกาศนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค จึงมีความเห็นขัดแย้งค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะความเป็นห่วงเรื่องการใช้เงิน เพราะต้องใช้งบประมาณที่สูงมาก พอเริ่มใช้...ความจริงคือรักษาไม่ได้ทุกโรค...เงินรายหัวที่รัฐจัดสรรให้แค่ 1,200 บาท มันต่ำมาก ขนาดยกเว้นไปหลายโรคโรงพยาบาลรัฐทั้งเล็กใหญ่ยังแทบล้มละลาย เช่นโรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก 6 เดือนหลังใช้นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ขาดทุน 50 ล้านบาท โรงพยาบาลเอกชนพากันถอนตัวจากโครงการเพราะขาดทุน เขาอยู่ของเขาเท่านั้น คนไข้ก็ไหลมาจากโรงพยาบาลรัฐแล้ว
ปัญหาคือคนไข้เยอะมาก เมื่อเงินน้อยต้องใช้สารพัด ทั้งค่าจ้างบุคลากร ค่ายา น้ำ ไฟ ฯลฯ งบสำหรับซื้อคุรุภัณฑ์การแพทย์ก็น้อยลง โรงพยาบาลต้องประหยัดรัดเข็มขัดมาก ลดค่าใช้จ่าย ลดคุณภาพยา จ่ายยาน้อยลง เกิดปัญหาฟ้องร้องแพทย์มากขึ้น โรงพยาบาลจังหวัด โรงพยาบาลศูนย์ มีปัญหาว่า โรงพยาบาลชุมชนไม่มีเงินชำระหนี้ที่ส่งต่อคนไข้มารักษา เสี่ยงหนี้สูญ การส่งต่อคนไข้ลดลง ส่งเฉพาะรายที่คิดว่าดูแลเองไม่ไหวจริงๆ เพราะต้องรับภาระตามไปจ่ายค่ารักษาให้ บุคลากรถูกลดโอทีเพราะไม่มีเงินจ้าง งานที่หนักอยู่แล้วยิ่งหนักขึ้น
คนชั้นกลาง คนมีเงิน ที่เคยใช้บริการโรงพยาบาลรัฐ คนไข้เยอะรอนานไม่ไหว เพราะเขามีเงินจ่าย หันไปใช้บริการคลินิก เข้า รพ.เอกชน เงินรัฐที่ควรได้จากคนกลุ่มนี้ก็หายไป บุคลากรทางการแพทย์ก็สมองไหลไปสู่ภาคเอกชน คนที่เหลือในระบบยิ่งทำงานหนัก
นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคเริ่มตุลาคม 2544 พอปี 2545 แพทย์ลาออกมากขึ้น 42% (อ้างอิง รศ.นพ.จิรุตม์ ศรีรัตนบัลล์ คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ปี 2546,2547 แพทย์รับภาระเพิ่มขึ้น 81% และ 48% ตามลำดับ หลายคนเครียดเพราะกลัวถูกฟ้อง เงินน้อย คนน้อย งานหนัก โอกาสเกิดความผิดพลาดเพิ่มขึ้น
เป็นภาพเบื้องหลังที่ คนทั่วไปอาจไม่รู้
แต่คนในวงการสาธารณสุขต่างระทมขมขื่น มีแต่นายทุน และนักการเมืองบางคน..ที่รู้ดีว่าจะมีปัญหาเหล่านี้ กว้านซื้อหุ้นโรงพยาบาลเอกชนไว้ในมือหลายโรง นอกจากกลุ่มชินคอร์ปแล้วมีใครอีกบ้างลองไปตรวจสอบดูเถอะ
หลังจากรัฐบาลทักษิณ เกิดอาการแบบนี้"ครม.ปวดหัว! ระบอบทักษิณล้วงเงินอนาคตมาใช้มหาศาล ต้องตั้งงบฯโปะเพิ่มอีกเกือบ 5 หมื่นล้าน เพื่อเคลียร์หนี้ประชานิยม 8.5 หมื่นล้าน จากที่ท่วมหัวอยู่กว่าแสนล้าน ทำให้งบฯปี 50 ต้องตั้งขาดดุลสูงถึง 1.5 แสนล้านบาท กางตัวเลขหั่นงบฯผู้ว่าฯซีอีโอทิ้ง 4 หมื่นล้าน เพิ่มค่าหัวโครงการ 30 บาท เป็น 1,899.69 บาท ช่วยปลดหนี้โรงพยาบาล" (ข้อมูลจากห้องสมุดกรมบัญชีกลาง)
เงินภาษีประชาชนทั้งนั้น รัฐบาลทักษิณ ผลาญเงินคลังนับแสนล้าน
ขายนโยบายไปแล้วเงินไม่มี...ความเท่าเทียมเลยกลายเป็นไม่เท่าเทียม รัฐมนตรี นายทุนพรรค...แห่แหนเข้าโรงพยาบาลเอกชนกันทั้งนั้น ทุกรอยยิ้มมีราคา แพงแค่ไหนก็จ่ายได้! ไม่เห็นมีใครใช้บริการบัตรทอง
จัดเก็บภาษีไม่ได้ตามเป้า แม้กระทั่งสรรพากรต้องมานั่งนับชามก๋วยเตี๋ยว เรียกเก็บภาษีจากร้านค้าแผงลอย
พรรคเพื่อไทยโจมตีประชาธิปัตย์ว่า...มาตั้งคำถามว่า นโยบายทั้งหลายของพรรคเพื่อไทยนั้นทำไม่ได้จริง ใช้เงินมหาศาลจะเอาเงินมาจากไหน นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคของพรรคไทยรักไทย ประชาธิปัตย์ก็พูดอย่างนี้ แล้วที่สุดไทยรักไทยก็ทำได้ ไม่ดีแล้วลอกมาทำไม?
ยังไม่เคยได้ยินพรรคประชาธิปัตย์บอกว่านโยบายนี้ไม่ดี...แต่มาในเวลาไม่พร้อม คิดเร็ว ทำเร็ว และไม่รอบคอบ จึงส่งผลกระทบแรงทั้งระบบ...เป็นภาระหนักหน่วงที่รัฐบาลทักษิณสร้างไว้ พรรคประชาธิปัตย์สานต่อนโยบายนี้ได้ต้องจัดเก็บภาษีได้เข้าเป้า เพิ่มเงินค่าหัวสูงขึ้นเพื่อให้โรงพยาบาลอยู่ได้ ยกระดับสถานีอนามัยเป็นโรงพยาบาลตำบล เพิ่มคน เพิ่มศักยภาพการบริการโดยมีตัวแทนชาวบ้านร่วมเป็นกรรมการบริหาร แบ่งเบาภาระโรงพยาบาลชุมชน จะบอกว่าประชาธิปัตย์ลอกนโยบายไทยรักไทยมาคงไม่ถูก แต่เข้ามาแก้ปัญหาและทำให้ดีขึ้น น่าจะเหมาะกว่า
นายนริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า รัฐบาลจัดเก็บรายได้เดือนเมษายน 2554 สูงกว่าเป้าหมาย 1.6 หมื่นล้านบาท แม้จะมีการลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลงชั่วคราว 5.305 บาท/ลิตร ตั้งแต่วันที่ 21 เมษายนที่ผ่านมา ส่งผลให้ในช่วง 7 เดือนแรกขอปีงบประมาณ 2554 รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิทะลุเป้าหมายเกิน 1.1 แสนล้านบาท หรือ 14.7%
พรรคประชาธิปัตย์ ดำเนินนโยบายบัตรประชาชนใบเดียวรักษาฟรี ไม่ต้องมีบัตรทอง นโยบาย 30 บาทที่ความจริงรักษาไม่ได้ทุกโรคนั้น...ปัจจุบันเพิ่มยาโรคเอดส์ ล้างไต ทำฟัน ฯลฯ ยกเว้นบางโรค เช่นเปลี่ยนถ่ายอวัยวะ และยังต้องใช้เงินมหาศาล...ถ้าได้รัฐบาลที่เคร่งครัด วินัยการเงินการคลังดี เก็บภาษีทะลุเป้าอย่างนี้นโยบายก็ดำเนินต่อไปได้
เงินคลังที่รัฐบาลประชาธิปัตย์หาไว้ ก็คงใช้ได้อีกไม่นาน นโยบายแต่ละพรรคล้วนประชานิยม ยิ่งพรรคเพื่อไทยถ้าทำอย่างที่สัญญาไว้ทั้งหมดใช้เงินไม่รู้กี่แสนล้าน ที่สำคัญ...ฝีมือรัฐมนตรีหาตังค์เข้าคลังเก่งไหม...หรือได้แต่หาตังค์เข้ากระเป๋าพรรคพวก แถมยังเว้นภาษีโน่นนั่นนี่นู่น ยิ่งถ้ามีทัศนะว่าการหลีกเลี่ยงภาษี การซุกหุ้นเป็นสิ่งที่ใครก็ทำกัน อย่างนั้น...ประเทศไทยมีหวังพังในอีกไม่ช้าไม่นาน
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สำหรับคนที่ขี้เกียจอ่าน สรุปไว้ให้ดังนี้
1. เป็นโครงการที่คิดกันมานานแล้ว แต่ยังไม่มีการนำมาใช้
2. คนแรกที่นำมาใช้คือทักษิณ
3. โครงการนี้ทำให้ทั้งโรงพยาบาลและรัฐบาล ขาดทุนมากมาย
4. คนใช้บริการ รพ.มากขึ้น ทำให้แพทย์และทีมงานทำงานหนักมากขึ้น (แต่เงินเดือนไม่สอดคล้องกับปริมาณงาน)
5. ความเหนื่อยล้าจากการทำงาน อาจทำให้เกิดความผิดพลาดในการรักษา เสี่ยงต่อการโดนฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย
6. เนื่องจาก รพ.รัฐ มีคนใช้บริการมาก และจ่ายยาราคาถูก คนชั้นกลาง/สูง จึงหันไปใช้บริการ รพ.เอกชน
7. แพทย์และทีมงาน ก็ย้ายไปทำงานให้ รพ.เอกชน มากขึ้น (เงินเดือนมากขึ้น / งานเบาลง)
8. นายทักษิณ และ พวกพ้อง มีความฉลาดเป็นอย่างมาก รู้ถึงผลที่จะเกิดขึ้นตามมา จึงได้เข้าซื้อหุ้น รพ.เอกชน ต่างๆมากมาย
9. จบลงที่ โรงพยาบาลรัฐ และ รัฐบาล ขาดทุนมากมาย
10. ทักษิณและพวกพ้องกำไรเป็นอย่างมาก (ผลประกอบการโรงพยาบาลเอกชนดีมาก)
11. ถามว่าผิดกฎหมายมั้ย ตอบว่าไม่ผิด / ถามว่าสมควรทำมั้ย - ต้องคิดเอาเอง
ถ้าจะถามหาหลักฐาน ในเนื้อหาคิดว่ามีใส่ reference อยู่แล้ว
ถ้าอันไหนไม่มี อยากรู้จริงๆ คิดว่า google เองบ้างคงไม่ถึงกับตาย
ขอบคุณที่เสียเวลาอ่าน