ความจริงเรื่อง 30บาท รักษาทุกโรค

ถ้าพูดถึงนโยบายประชานิยมทักษิณ ที่ทำให้เกิดกระแสรักคุณทักษิณมาจนทุกวันนี้ คงเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากนโยบาย “30 บาทรักษาทุกโรค” ซึ่งโดนใจชาวบ้านเป็นอันดับต้นๆ โดยเฉพาะประชาชนระดับรากหญ้า … แต่ก็นำมาซึ่งปัญหากับโรงพยาบาล ผู้บริหาร และผู้ปฏิบัติ โกลาหลจนพูดไม่ออก

โครงการประกันสุขภาพ มีมาแต่อดีต ในยุค มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ก็มีโครงการสงเคราะห์ผู้ป่วยมีรายได้น้อย มีบัตร สปน. ใช้บริการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของรัฐ ไม่เสียเงิน ในสมัยคุณชวน หลีกภัย มีนโยบายสวัสดิการประชาชนในการรักษาพยาบาล (สปร.) โดยผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป และเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี รักษาฟรี ขณะที่บัตรสงเคราะห์(สปน.)ก็ใช้ได้อยู่ เพิ่มโครงการบัตรประกันสุขภาพสำหรับคนไทยทุกสาขาอาชีพที่ขาดหลักประกันด้านสุขภาพ มูลค่า 1,000 บาทรัฐออกครึ่ง ผู้ซื้อบัตรออกครึ่ง(500) รักษาพยาบาลฟรีทั้งครอบครัว ส่วนคนชั้นกลาง คนมีเงิน มีกำลังจ่ายก็สมควรจ่ายเอง ถ้าอยากเลือกใช้ยาจากบัญชียาเสริมก็จ่ายแพงหน่อย เงินที่ได้เข้ารัฐ

ถ้าพูดถึงประเทศพัฒนาที่มีรัฐสวัสดิการแบบดีเยี่ยม รักษาฟรี สาธารณูปโภคพร้อม คุกหรูอย่างกับโรงแรม คุณภาพชีวิตที่ดี มีวัยเกษียณที่มั่นคงไม่ต้องกังวลเรื่องลูกหลานทิ้ง การจัดเก็บภาษีอยู่ในเกณฑ์สูงมาก 35-50% ของรายได้ คนรวยมากจ่ายมาก รวยน้อยจ่ายน้อย คนจนไม่ต้องจ่าย เฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขกันไป เคยได้ยินเพื่อนบางคนที่ต้องจ่ายภาษีสูงมาก เขาก็บ่นเหมือนกัน แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร

สำหรับประเทศกำลังพัฒนา ปัญหาคือไม่มีเงินสำหรับสวัสดิการดีขนาดนั้น เมื่อพรรคไทยรักไทยประกาศนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค จึงมีความเห็นขัดแย้งค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะความเป็นห่วงเรื่องการใช้เงิน เพราะต้องใช้งบประมาณที่สูงมาก พอเริ่มใช้...ความจริงคือรักษาไม่ได้ทุกโรค...เงินรายหัวที่รัฐจัดสรรให้แค่ 1,200 บาท มันต่ำมาก ขนาดยกเว้นไปหลายโรคโรงพยาบาลรัฐทั้งเล็กใหญ่ยังแทบล้มละลาย เช่นโรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก 6 เดือนหลังใช้นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ขาดทุน 50 ล้านบาท โรงพยาบาลเอกชนพากันถอนตัวจากโครงการเพราะขาดทุน เขาอยู่ของเขาเท่านั้น คนไข้ก็ไหลมาจากโรงพยาบาลรัฐแล้ว

ปัญหาคือคนไข้เยอะมาก เมื่อเงินน้อยต้องใช้สารพัด ทั้งค่าจ้างบุคลากร ค่ายา น้ำ ไฟ ฯลฯ งบสำหรับซื้อคุรุภัณฑ์การแพทย์ก็น้อยลง โรงพยาบาลต้องประหยัดรัดเข็มขัดมาก ลดค่าใช้จ่าย ลดคุณภาพยา จ่ายยาน้อยลง เกิดปัญหาฟ้องร้องแพทย์มากขึ้น โรงพยาบาลจังหวัด โรงพยาบาลศูนย์ มีปัญหาว่า โรงพยาบาลชุมชนไม่มีเงินชำระหนี้ที่ส่งต่อคนไข้มารักษา เสี่ยงหนี้สูญ การส่งต่อคนไข้ลดลง ส่งเฉพาะรายที่คิดว่าดูแลเองไม่ไหวจริงๆ เพราะต้องรับภาระตามไปจ่ายค่ารักษาให้ บุคลากรถูกลดโอทีเพราะไม่มีเงินจ้าง งานที่หนักอยู่แล้วยิ่งหนักขึ้น

คนชั้นกลาง คนมีเงิน ที่เคยใช้บริการโรงพยาบาลรัฐ คนไข้เยอะรอนานไม่ไหว เพราะเขามีเงินจ่าย หันไปใช้บริการคลินิก เข้า รพ.เอกชน เงินรัฐที่ควรได้จากคนกลุ่มนี้ก็หายไป บุคลากรทางการแพทย์ก็สมองไหลไปสู่ภาคเอกชน คนที่เหลือในระบบยิ่งทำงานหนัก

นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคเริ่มตุลาคม 2544 พอปี 2545 แพทย์ลาออกมากขึ้น 42% (อ้างอิง รศ.นพ.จิรุตม์ ศรีรัตนบัลล์ คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ปี 2546,2547 แพทย์รับภาระเพิ่มขึ้น 81% และ 48% ตามลำดับ หลายคนเครียดเพราะกลัวถูกฟ้อง เงินน้อย คนน้อย งานหนัก โอกาสเกิดความผิดพลาดเพิ่มขึ้น

เป็นภาพเบื้องหลังที่ คนทั่วไปอาจไม่รู้
แต่คนในวงการสาธารณสุขต่างระทมขมขื่น มีแต่นายทุน และนักการเมืองบางคน..ที่รู้ดีว่าจะมีปัญหาเหล่านี้ กว้านซื้อหุ้นโรงพยาบาลเอกชนไว้ในมือหลายโรง นอกจากกลุ่มชินคอร์ปแล้วมีใครอีกบ้างลองไปตรวจสอบดูเถอะ

หลังจากรัฐบาลทักษิณ เกิดอาการแบบนี้"ครม.ปวดหัว! ระบอบทักษิณล้วงเงินอนาคตมาใช้มหาศาล ต้องตั้งงบฯโปะเพิ่มอีกเกือบ 5 หมื่นล้าน เพื่อเคลียร์หนี้ประชานิยม 8.5 หมื่นล้าน จากที่ท่วมหัวอยู่กว่าแสนล้าน ทำให้งบฯปี 50 ต้องตั้งขาดดุลสูงถึง 1.5 แสนล้านบาท กางตัวเลขหั่นงบฯผู้ว่าฯซีอีโอทิ้ง 4 หมื่นล้าน เพิ่มค่าหัวโครงการ 30 บาท เป็น 1,899.69 บาท ช่วยปลดหนี้โรงพยาบาล" (ข้อมูลจากห้องสมุดกรมบัญชีกลาง)

เงินภาษีประชาชนทั้งนั้น รัฐบาลทักษิณ ผลาญเงินคลังนับแสนล้าน
ขายนโยบายไปแล้วเงินไม่มี...ความเท่าเทียมเลยกลายเป็นไม่เท่าเทียม รัฐมนตรี นายทุนพรรค...แห่แหนเข้าโรงพยาบาลเอกชนกันทั้งนั้น ทุกรอยยิ้มมีราคา แพงแค่ไหนก็จ่ายได้! ไม่เห็นมีใครใช้บริการบัตรทอง

จัดเก็บภาษีไม่ได้ตามเป้า แม้กระทั่งสรรพากรต้องมานั่งนับชามก๋วยเตี๋ยว เรียกเก็บภาษีจากร้านค้าแผงลอย

พรรคเพื่อไทยโจมตีประชาธิปัตย์ว่า...มาตั้งคำถามว่า นโยบายทั้งหลายของพรรคเพื่อไทยนั้นทำไม่ได้จริง ใช้เงินมหาศาลจะเอาเงินมาจากไหน นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคของพรรคไทยรักไทย ประชาธิปัตย์ก็พูดอย่างนี้ แล้วที่สุดไทยรักไทยก็ทำได้ ไม่ดีแล้วลอกมาทำไม?

ยังไม่เคยได้ยินพรรคประชาธิปัตย์บอกว่านโยบายนี้ไม่ดี...แต่มาในเวลาไม่พร้อม คิดเร็ว ทำเร็ว และไม่รอบคอบ จึงส่งผลกระทบแรงทั้งระบบ...เป็นภาระหนักหน่วงที่รัฐบาลทักษิณสร้างไว้ พรรคประชาธิปัตย์สานต่อนโยบายนี้ได้ต้องจัดเก็บภาษีได้เข้าเป้า เพิ่มเงินค่าหัวสูงขึ้นเพื่อให้โรงพยาบาลอยู่ได้ ยกระดับสถานีอนามัยเป็นโรงพยาบาลตำบล เพิ่มคน เพิ่มศักยภาพการบริการโดยมีตัวแทนชาวบ้านร่วมเป็นกรรมการบริหาร แบ่งเบาภาระโรงพยาบาลชุมชน จะบอกว่าประชาธิปัตย์ลอกนโยบายไทยรักไทยมาคงไม่ถูก แต่เข้ามาแก้ปัญหาและทำให้ดีขึ้น น่าจะเหมาะกว่า

นายนริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า รัฐบาลจัดเก็บรายได้เดือนเมษายน 2554 สูงกว่าเป้าหมาย 1.6 หมื่นล้านบาท แม้จะมีการลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลงชั่วคราว 5.305 บาท/ลิตร ตั้งแต่วันที่ 21 เมษายนที่ผ่านมา ส่งผลให้ในช่วง 7 เดือนแรกขอปีงบประมาณ 2554 รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิทะลุเป้าหมายเกิน 1.1 แสนล้านบาท หรือ 14.7%

พรรคประชาธิปัตย์ ดำเนินนโยบายบัตรประชาชนใบเดียวรักษาฟรี ไม่ต้องมีบัตรทอง นโยบาย 30 บาทที่ความจริงรักษาไม่ได้ทุกโรคนั้น...ปัจจุบันเพิ่มยาโรคเอดส์ ล้างไต ทำฟัน ฯลฯ ยกเว้นบางโรค เช่นเปลี่ยนถ่ายอวัยวะ และยังต้องใช้เงินมหาศาล...ถ้าได้รัฐบาลที่เคร่งครัด วินัยการเงินการคลังดี เก็บภาษีทะลุเป้าอย่างนี้นโยบายก็ดำเนินต่อไปได้

เงินคลังที่รัฐบาลประชาธิปัตย์หาไว้ ก็คงใช้ได้อีกไม่นาน นโยบายแต่ละพรรคล้วนประชานิยม ยิ่งพรรคเพื่อไทยถ้าทำอย่างที่สัญญาไว้ทั้งหมดใช้เงินไม่รู้กี่แสนล้าน ที่สำคัญ...ฝีมือรัฐมนตรีหาตังค์เข้าคลังเก่งไหม...หรือได้แต่หาตังค์เข้ากระเป๋าพรรคพวก แถมยังเว้นภาษีโน่นนั่นนี่นู่น ยิ่งถ้ามีทัศนะว่าการหลีกเลี่ยงภาษี การซุกหุ้นเป็นสิ่งที่ใครก็ทำกัน อย่างนั้น...ประเทศไทยมีหวังพังในอีกไม่ช้าไม่นาน

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

สำหรับคนที่ขี้เกียจอ่าน สรุปไว้ให้ดังนี้

1. เป็นโครงการที่คิดกันมานานแล้ว แต่ยังไม่มีการนำมาใช้
2. คนแรกที่นำมาใช้คือทักษิณ
3. โครงการนี้ทำให้ทั้งโรงพยาบาลและรัฐบาล ขาดทุนมากมาย
4. คนใช้บริการ รพ.มากขึ้น ทำให้แพทย์และทีมงานทำงานหนักมากขึ้น (แต่เงินเดือนไม่สอดคล้องกับปริมาณงาน)
5. ความเหนื่อยล้าจากการทำงาน อาจทำให้เกิดความผิดพลาดในการรักษา เสี่ยงต่อการโดนฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย
6. เนื่องจาก รพ.รัฐ มีคนใช้บริการมาก และจ่ายยาราคาถูก คนชั้นกลาง/สูง จึงหันไปใช้บริการ รพ.เอกชน
7. แพทย์และทีมงาน ก็ย้ายไปทำงานให้ รพ.เอกชน มากขึ้น (เงินเดือนมากขึ้น / งานเบาลง)
8. นายทักษิณ และ พวกพ้อง มีความฉลาดเป็นอย่างมาก รู้ถึงผลที่จะเกิดขึ้นตามมา จึงได้เข้าซื้อหุ้น รพ.เอกชน ต่างๆมากมาย
9. จบลงที่ โรงพยาบาลรัฐ และ รัฐบาล ขาดทุนมากมาย
10. ทักษิณและพวกพ้องกำไรเป็นอย่างมาก (ผลประกอบการโรงพยาบาลเอกชนดีมาก)
11. ถามว่าผิดกฎหมายมั้ย ตอบว่าไม่ผิด / ถามว่าสมควรทำมั้ย - ต้องคิดเอาเอง

ถ้าจะถามหาหลักฐาน ในเนื้อหาคิดว่ามีใส่ reference อยู่แล้ว
ถ้าอันไหนไม่มี อยากรู้จริงๆ คิดว่า google เองบ้างคงไม่ถึงกับตาย

ขอบคุณที่เสียเวลาอ่าน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่