12 ภาพประทับใจจาก "ดอยผาตั้ง" จังหวัดเชียงราย

12 ภาพประทับใจจาก  "ดอยผาตั้ง"  จังหวัดเชียงราย


               เมื่อไม่นานมานี้ผมมีโอกาสแบ็กแพ็คครั้งแรกจากกรุงเทพไปที่  "ดอยผาตั้ง"  จังหวัดเชียงราย  ซึ่งในการเดินทางครั้งนี้ผมไปคนเดียว  ไม่รู้จักใครที่นั่นเลย  แต่ก็ได้มีโอกาสรู้จักกับพี่คนหนึ่งบนดอย ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกัน เจอกัน 3 วัน แต่ตอนที่บอกลากันไม่ได้ขออะไรติดต่อกันไว้เลย ก็เลยไม่รู้ว่าจะมีโอกาสเจอกันไหม (คงน่าจะยาก)  ผมเคยพูดกับพี่เค้าไว้ว่าจะมาตั้งกระทู้รีวิวการไปเที่ยวคนเดียวครั้งแรก  ซึ่งพี่เค้าบอกว่าจะรออ่าน  แต่ผมไม่ว่างที่จะเขียนรีวิวตอนนี้  เลยอยากที่จะแบ่งปันความสวยงามของดอยผาตั้งให้ทุกคนได้ดูก่อน  ซึ่งผมก็แอบหวังว่าพี่คนที่ผมเจอบนดอยจะมีโอกาสเห็นกระทู้นี้ แล้วได้อ่านอย่างที่พี่เค้าบอกไว้

               เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา  ผมต้องบอกก่อนเลยว่ารูปทั้งหมดถ่ายด้วยกล้อง iphone ธรรมดาๆ  ความคมชัดมันอาจจะสู้กล้องอื่นๆไม่ได้นะครับ  ผมเอารูปเข้าไปลองปรับใน Adobe Lightroom  5  ซึ่งก็ฝึกไอ้เจ้าโปรแกรมนี้เป็นครั้งแรก  มันอาจจะไม่ได้ดีมาก แต่ความตั้งใจมากเกินร้อยครับ  ถ้าจะติ  จะชม จะว่า จะให้กำลังใจ ก็ตามสบายเลยนะครับ ยินดีน้อมรับความคิดเห็นของทุกคน แค่มีคนดูรูปก็ดีใจแล้วครับ งั้นเรามาเริ่มกันเลยครับ ยิ้ม

รูปที่  1  ถนนคดเคี้ยวเลี้ยวสู่ดอย  


                 อันนี้ถ่ายจากตอนอยู่บนดอย  ถนนที่เห็นเป็นถนนที่ผมเดินขึ้นมาครับ  ซึ่งสามารถนำรถส่วนตัวขึ้นมาได้หรือว่าจะเหมารถโดยสารมาก็ได้  ถ่ายขณะที่พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน ในบรรดารูปทั้งหมด ชอบรูปนี้ที่สุดครับ  หัวใจ

รูปที่  2  ต้นหญ้ากับดวงอาทิตย์


                  ผมเคยดูรูปหลายรูปที่เขาถ่ายต้นหญ้าริมทาง แล้วประทับใจ ก็เลยอยากลองถ่ายต้นหญ้าริมทางดูบ้าง  อันนี้ถ่ายวันแรก ขณะที่กำลังเดินไปตามทางถนนจากหมู่บ้านไปที่ดอยผาตั้งครับ  ช่วงประมาณ  5  โมงครึ่ง

รูปที่  3  เป้าหมายอยู่ไม่ไกล


                  ตอนนี้อยู่ที่ดอยผาตั้งแล้ว  ซึ่งดอยผาตั้งจะมีเนินหลายเนิน  ทางเดินเล็กๆที่เห็นจะนำไปสู่เนิน  102 (ชื่อของเนินครับ  ไม่ใช่ลำดับที่)  ส่วนเนินถัดไปคือเนิน  103  เนินสุดท้ายของการเดินบนดอยผาตั้ง  ในวันแรกผมไปไม่ถึงเนิน 102 กับ 103  เพราะท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว ต้องรีบลงจากดอย (ผมเจอกับพี่คนนั้นตอนที่กำลังเดินลงจากดอย  พอดีเขามีไฟฉาย เลยขอเดินไปด้วยกัน)

รูปที่ 4  เช้าวันใหม่
  

                  อันนี้ถ่ายในวันที่  2  ตอนประมาณ  7  โมงนิดๆ  ถ่ายหันไปที่ฝั่งประเทศลาว  ในรูปนี้ทุกคนจะเห็นทะเลหมอกทางด้านขวา  ซึ่งขอบอกเลยว่าทะเลหมอกฟินมากๆ เห็นในโทรทัศน์ยังไม่เท่ากับเห็นด้วยตา สมกับคำว่า 10 ปากว่า ไม่เท่าตาเห็น จุ๊บๆ

รูปที่  5  เกาะกลางหาว


                  นี่แหละครับทะเลหมอกที่ผมเห็นในโทรทัศน์  แล้วคิดว่าจะต้องมาดูด้วยตาให้ได้  ไม่น่าเชื่อว่าหลังจากที่ดูโทรทัศน์ในวันนั้น  อีก  5  วันต่อมาผมก็ได้แบ็กแพ็คมาดูถึงที่ด้วยตาของตัวเอง (ต้องขอบคุณแม่ที่อนุญาตและให้งบประมาณ เยี่ยม)  มองตรงกลางๆจะเห็นภูเขาที่ทะลุทะเลหมอก  พอมองดูแล้วมันเหมือนเกาะลอยฟ้าในจินตนาการเลย  ต้องบอกเพิ่มเติมว่าถ้าไม่มีทะเลหมอก  เราจะเห็นภูเขา  ป่าไม้  และแม่น้ำโขงครับ

รูปที่  6  มองลงมา


                   อันนี้ถ่ายลงมาขณะเดินขึ้นเนิน 102  ตรงที่เราเห็นเป็นก้อนหินใหญ่ทางมุมขวาตรงนั้นคือช่องเขาขาดครับ  ถ้ายืนอยู่ตรงนั้นจะเห็นช่องว่างระหว่างหินสองก้อน  ถ้าไปยืนตรงช่องเขาขาดตอนเช้าจะเห็นทะเลหมอก  ตอนบ่ายจะเห็นแม่น้ำโขง  ส่วนตอนค่ำจะเห็นดาวเยอะมาก (เกิดมาไม่เคยเห็นดาวที่ไหนเยอะเท่าที่นี่ ดาว)  ต้นไม้สีชมพูที่เห็นคือ ต้นนางพญาเสือโคร่ง  ปล. ผมอยู่ตรงนี้ 3 ครั้ง 3 เวลาอย่างที่กล่าวไป แต่ประทับใจตอนดูดาวที่สุดแล้ว  มันสวยจริงๆ

รูปที่  7  ใกล้ถึงฝั่งฝัน


                   เห็นมุมนี้แล้วชอบ  สำหรับทางเดินที่เราเห็นเป็นเส้นดำๆ คือทางมุ่งหน้าไปสู่เนิน 103  ครับ ตรงนั้นคือจุดสุดท้ายที่ต้องพิชิต  ส่วนภูเขาที่ยอดแหลมๆอยู่ไกลๆ ผมชอบนะ  แต่เดินไปไม่ได้  ทางที่เราจะเดินได้มันสุดที่เนิน 103  ครับ ไม่เหนื่อยเลยครับ รู้สึกมีความสุขมาก

รูปที่  8  ผ่านเลยไป


                   ที่ทุกคนเห็นคือเนิน 102  ซึ่งเราผ่านมาได้เรียบร้อย  ผมถ่ายขณะที่กำลังเดินไปเนิน  103  ชอบที่ท้องฟ้าเปิดโล่ง  ไม่มีแสงอาทิตย์แยงเข้ามาในรูป  ที่ยอดของเนิน 102  มีระฆังให้ตีด้วยครับ  เล็กๆดำๆที่อยู่บนยอด  ผมเพิ่งมาซูมดูตอนเอารูปลงคอมจึงรู้ว่าเป็นคนขี่ม้า อ่อ  จะบอกว่ามีบริการขี่ม้าไป กลับ  บนดอยด้วยนะครับ ส่วนผมชอบเดินมากกว่า  แต่ก็อยากขี่ม้าถ่ายรูป  เสียเงินไป 20 บาทครับค่าถ่ายรูป

รูปที่  9  หินใหญ่ในที่สูง


                   ในที่สุดก็สามารถพิชิตยอดของเนิน 103  ได้ที่ทุกคนเห็นคือก้อนหินขนาดใหญ่ที่เรียงรายอยู่บนยอดเนิน 103  ครับ  ถ้ามองที่กลางๆภาพจะเห็นป้ายเล็กๆ  ซึ่งเขียนว่า  ผู้พิชิตยอดดอยผาตั้ง เนิน 103  (ต้องซูมดูครับ ถึงจะเห็น)  ในที่สุดก็ทำสำเร็จครับ เป้าหมายเสร็จได้ดังใจ ฟินมากๆครับ

รูปที่  10 เงยหน้าที่ผาบ่อง


                     จริงๆตรงผาบ่องหรือประตูสยามจะเป็นส่วนที่อยู่ข้างล่างของดอย  แต่ผมกลับมาเป็นจุดสุดท้าย  มันมีบันไดให้เดินลงไปครับ  พอเดินลงไปจะเจอช่องหินที่มองไปฝั่งประเทศลาวได้  บางคนมาแค่เห็นเป็นช่องหินก็ขึ้นไปดอย  แต่จริงๆต้องเดินไปให้สุดช่องหิน  มันจะมีทางให้เราเดินได้  เมื่อเดินทะลุช่องหินเงยหน้าขึ้นก็จะเห็นหน้าผาครับ ผมว่ามันสวยและคลาสสิคดี ชอบครับ เหมือนผจญภัยด้วย แนะนำนะครับว่าอย่าหยุดเพียงตรงช่องหิน ให้ลองเดินทะลุมาแล้วเงยหน้า

รูปที่  11  แสงย้อมสี


                      ผมได้ไปเดินที่ดอยเป็นรอบที่  3  ผมตั้งใจไปกราบลาพระพุทธรูปบนดอย  แล้วก็เดินดูดอยอีกรอบ  ตรงนี้คือเนินก่อนถึงเนิน 102  ครับ  ช่วงพระอาทิตย์กำลังจะตก  ผมหันไปแล้วรู้สึกชอบที่พระอาทิตย์สาดแสงจ้าย้อมเนินเขา  และก็ชอบต้นไม้ในรูปด้วย  ผมว่ามันเข้มแข็งนะที่อยู่บนดอยต้นเดียวได้  แต่เมื่อกลับมาดูดีๆจะเห็นว่ามันไม่ได้อยู่ต้นเดียวครับ  มีอีกต้นอยู่ใกล้ๆกับมัน  เหมือนคนเราแหละ  บางเวลาก็เหมือนอยู่คนเดียวบนโลก แต่จริงๆก็ยังมีคนอยู่ใกล้ๆเรา แต่เรามองไม่เห็น อ้าววววว ทำไมดราม่าล่ะ ฮ่าๆๆๆ เค้าล้อเล่น

รูปที่  12  ความทรงจำ


                       แต่ก่อนดอยผาตั้งเป็นแค่เพียงความฝันของผมครับ  แต่สิ่งที่เปลี่ยนมันให้เป็นความจริง  คือ  "การลงมือทำ" ณ  ตอนนี้ที่กำลังพิมพ์อยู่มันเปลี่ยนจากความจริงเป็นความทรงจำแล้วครับ  ผมเลือกรูปนี้เพราะมันทำให้เรารู้ว่า  เราพาตัวเองไปหาความฝันในความสูงจากระดับน้ำทะเล  1653  เมตรได้ด้วยตัวคนเดียว  ไม่มีอะไรหยุดเราได้  (นอกจากแม่ ยิ้ม )  

                       ผมอยากบอกว่าคนเราทุกคนมีความฝันครับ  แต่มันจะจริงได้ก็ต้องลงมือทำ  ถ้าเราไม่ติดขัดอะไรก็จัดเต็มไปเลย  ผมเองกำลังอยู่ในช่วงค้นหาตัวเอง  และค้นหาแรงบันดาลใจให้ชีวิต  เลยคิดตัดสินใจออกเดินทางคนเดียว  พอเห็น  "ดอยผาตั้ง"  ในโทรทัศน์  ผมจำและจดลงสมุดบันทึกประจำตัวว่าจะไปให้ได้  พยายามขอแม่  พยายามหาข้อมูลต่างๆ  มันไม่มีอะไรเอื้อเราไปหมดทุกอย่าง  แต่เราตั้งใจจริงว่าจะไปให้ได้  หลังจากวันนั้นเพียง 5  วันที่ผมรู้จัก "ดอยผาตั้ง"  ผมก็สามารถพาตัวเองแบ็กแพ็คออกเดินทางคนเดียวจนได้  ด้วยงบประมาณ  3200  บาท  ซึ่งระยะเวลา  5  วัน  (รวมเดินทางไปกลับ)  ผมใช้เงินไป  2816  บาทยังเหลือกลับมาได้ ชีวิตนี้ยังไม่เคยทำอะไรแบบนี้  พอทำแล้วมันรู้สึกดีอย่างมากๆครับ ความฝันไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องการเดินทางอย่างเดียวครับ  มีความฝันอีกมากมายหลายแบบ  ซึ่งแต่ละแบบเป็นจริงได้เพราะลงมือทำครับ

                         ขอบคุณที่อ่านและดูรูปนะครับ  มีอะไรก็แสดงความคิดเห็นได้นะครับ  ความเห็นของคุณเป็นน้ำหล่อเลี้ยงใจของผมได้เหมือนกัน  แค่รู้ว่ามีคนดู  ผมคงดีใจมากอ่ะครับ  ฝากกระทู้นี้ด้วยนะครับ  หวังว่าจะให้อะไรดีๆได้บ้างนะครับ ขอบคุณครับ

                         ปล.  ผมหวังว่าพี่จะได้อ่านนะครับ ถ้าพี่ได้อ่านพี่คงน่าจะรู้ว่าผมหมายถึงพี่  ผมเขียนมันขึ้นมาเพราะพี่บอกว่าจะรออ่าน  ขอบคุณสำหรับมิตรภาพดีๆที่เกิดขึ้นครับ  ถึงเราจะไม่ได้เจอกันแล้ว  แต่มิตรภาพมันอยู่ที่ใจ ไม่ลืมแน่ๆ และผมจะเก็บเงินซื้อกล้องเหมือนที่พี่บอกผมว่า "ซื้อกล้องได้แล้ว" หวังว่าพี่จะได้อ่านครับ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่