เป็นบทความที่เราเขียนไว้ตอนมาอยู่จีนใหม่ๆ อยากเอามาแชร์ให้อ่านกัน ลองอ่านดูนะคะ
เชื่อเรื่องโชคชะตามั้ย เชื่อมั้ยว่ามีอะไรสักอย่างขีดเส้นบางๆให้เราเดิน เราอาจจะคิดว่าทางที่เราเดินเพราะเราเลือกเอง แต่เราอาจจะกำลังเดินตามรางรถไฟล่องหนที่ใครวางไว้ให้โดยที่ไม่รู้ตัวก็ได้
ตอนนี้ค่อนข้างเชื่อว่าคงมีอะไรสักอย่างมากำหนดชะตาของเรา ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตจริงๆ หลังจากเรียนจบ อยู่บ้านระยะนึง เตะฝุ่น จิตตก ได้งานโรงแรม เริ่มทำงานโรงแรมที่แรก ย้ายไปทำงานโรงแรมที่ชะอำเดือนถัดมา ย้ายไปทำงานโรงแรมที่หัวหินปีถัดมา ย้ายกลับมาทำงานในโรงแรมที่กรุงเทพฯสามเดือนถัดมา อีกครึ่งปีต่อมา มาเรียนเมืองนอก ถึงจะไม่ได้”นอก”มาก (ตามคำที่เพื่อนคนหนึ่งพูดไว้ว่า นอกแต่ก็ไม่ได้”นอก” เท่าไหร่)
อยู่ดีๆมารู้สึกตัวอีกทีก็ผ่านมาเดือนที่ 4 แล้วที่มาอยู่ประเทศจีน ประเทศที่มีประชากรเยอะที่สุดในโลก มีพื้นที่ใหญ่กว่าเมืองไทยเป็น 10 เท่า ประเทศที่ยังถูกปกครองโดยระบอบคอมมิวนิสต์ ประเทศที่เป็นศูนย์กลางการผลิตสินค้าส่งออกไปทั่วโลก ประเทศที่มีภาษาที่ใช้มากที่สุดอันดับ 2 ของโลกรองจากภาษาอังกฤษ ประเทศที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่าพันๆปี ประเทศที่เป็นต้นกำเนิดของบรรพบุรุษ ประเทศที่ไม่เคยคิดเลยว่าจะมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี้ ไม่เคยคิดว่าจะอยากเรียนภาษานี้
มันเป็น โชคชะตากำหนดชัดๆ ครับ
เลือกมาอยู่เมืองที่เจริญที่สุดในจีน “มหานครเซี้ยงไฮ้ ” ชอบคำนี้มาก เพราะมันบรรยายได้ถึงลักษณะของเมืองนี้จริงๆ เมืองที่ใหญ่โต โออ่า คล้ายๆกับ มหานครนิวยอร์ก แบบเจ๊กๆ วินาทีแรกที่มาถึง โอ้ยยย เหมือนคนหูหนวก และเป็นใบ้ เข้าใจความรู้สึกเลยว่า การฟังอะไรไม่ออกเลยสักคำ จะพูดอะไรก็ไม่ได้มันเป็นยังไง ใจคิดอย่างเดียวว่า มันประเทศอะไรว่ะเนี่ย ภาษาอังกฤษพูดเป็นมั้ย??? แล้วนี่พูดอะไรกันว่ะเนี่ย ฟังไม่ออกโว้ย ! ดีนะไปกับเพื่อน เลยไม่จบชีวิตที่นี้ เนื่องจากจะซื้อข้าวยังยากเลย แล้วก็คิดว่า กุมาทำอะไรที่นี้? กุมาทำอะไรที่นี้? แต่เสียเงินมาแล้วยังไงก็ต้องเอาให้ได้ล่ะโว้ย สู้มัน เอาผ้าคาดหัว วิ่งออกไป เอาดาบจิ้มพุงมันเลย! ฮา
ขอเล่าถึงความศิวิไลซ์ของ มหานครเซี้ยงไฮ้ ก่อนดีกว่า จะได้จรรโลงใจ เมืองเซี้ยงไอ้ปัจจุบันมีประชากรเกือบ 20 ล้านคนเอาเป็นว่าเมืองใหญ่มาก แต่บ้านเมืองดีมาก ถนนหนทางเดินทางสะดวก รถไฟฟ้าปัจจุบันมี 11 สาย มั้งง หรือมากกว่านั้น เดินทางไปได้ทั่วเมือง สายหนึ่งไม่ได้มีแค่สิบสถานนีนะจ๊ะ มีเป็นยี่สิบสถานี ดูแผนที่นี้พันกันไขว้กันเป็นใยแมงมุม กลัวเหลือเกินว่าถ้าดินยุบมันจะยุบไปหมดเลยรึป่าว บัตรรถไฟฟ้าใบเดียวขึ้นได้ทั้ง รถเมล์ รถไฟฟ้า รถแท็กซี่ และเรือ โอ้วสะดวกสุดๆ แผนที่ก็ไม่ซับซ้อน เป็นตารางๆ ถนนแต่ละเส้นตัดกันเป็นสี่เหลี่ยม ป้ายบอกทางก็บอกด้วยว่าฝั่งนี้มีบ้านเลขที่เท่าไหร่ถึงเท่าไหร่บ้าง คนที่นี้อยู่คอนโดกันเป็นเรื่องปกติ เพราะบ้านแพงมาก ทำให้เห็นคอนโดขึ้นเต็มไปหมด ทั่วเมืองมีแต่ตึกสูงเสียดฟ้า แล้วมีแต่ตึกที่ดูดีด้วยนะ เพราะอันไหนดูไม่ดี รัฐบาลคงสั่งทุบทิ้งแล้วสร้างใหม่ ฮ่าา ศูนย์การค้ามีกระจายทั่วเมืองเลยจ้า แล้วเป็นศูนย์การค้าแบบดีเลยนะ ไม่ใช่แค่ซุปเปอร์มาร์เก็ตธรรมดานะ รองรับผู้บริโภคทุกที่เลยจริงๆ
ร้านอาหารส่วนมากใช้ระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยจัดคิว รับออเดอร์นะ มีทั้งใช้ มือถือสั่งอาหาร เป็นเหมือนรีโมต กดๆสั่งอาหาร ไม่รู้ว่าพนักงานกดๆโค้ดหรือกดอะไร เพราะหน้าจอเล็กๆ เหมือนมือถือจอขาวดำ สักพักอาหารก็มาล่ะ ขนาดร้านเกี้ยวน้ำข้างทางธรรมดาๆ คนขายเป็นลุงแก่ๆ แกยังกดเครื่องคอมเล็กๆที่หน้าตาเหมือนเครื่องคิดเงินบ้านเรา รับออเดอร์เก็บเงิน แล้วออเดอร์ก็ส่งตรงเข้าไปในห้องครัว สักพักอาหารก็มา เราก็แค่ถือใบเสร็จ รอเค้าเรียกเบอร์ก็ได้กินแล้ว ลุงไม่ต้องเดินเอากระดาษออเดอร์ไปให้คนในครัวเลย ที่น่าทึ่งคือ ลุงก็ทำได้!!!! *0*
ที่นี้อะไรที่ใช้เทคโนโลยีแทนได้ใช้แทนหมดเลย อย่างที่หอพัก เข้าออกประตูหอใช้บัตรนักศึกษา เข้าห้องนอนก็ใช้บัตรนักศึกษาใบเดิมของเรา คนอื่นเข้าไม่ได้นะ เข้าไปชั้นเรียน ก็ใช้บัตรนักศึกษาสแกนเข้าไป (แต่อันนี้งง ว่าเข้าตึกเรียนทำไมต้องสแกนบัตรเข้าด้วย กั้นประตูไว้ทำไมไม่แน่ใจ) น้ำร้อนในห้องถ้าจะใช้ต้องมีบัตรสำหรับซื้อน้ำร้อน เอาบัตรไปทาบที่เครื่อง เราใช้ไปเท่าไหร่ เครื่องก็จะลดเงินในจำนวนบัตรเท่านั้น (อาจจะเรียกว่า งก แต่ของฟรีก็ไม่มีในโลกหรอกจริงมั้ย) บัตรน้ำร้อนใบนี้ เอาไปซื้อข้าวโรงอาหารได้ ซื้อของชำจากร้านในโรงเรียนได้อีก
ไปเที่ยวพวกสวนโบราณ หรือพิพิธภัณฑ์ เวลาผ่านประตูเข้าไป บางที่ใช้ระบบ QR code สำหรับสแกนตั๋ว ไม่รู้หรอกว่ามันมีประโยชน์ยังไง เห็นเมืองไทยพูดๆกัน แต่ก็ไม่เห็นว่าได้ใช้อะไรจริงจัง แต่เมืองจีนเค้าก็ใช้กันเป็นเรื่องปกติแล้วนะ
ร้านสะดวกซื้อ ซุปเปอร์มาร์เกต เวลาไปซื้อของเค้าไม่ให้ถุงพลาสติกมานะ เราจะเอาต้องซื้อ เหมือนที่แถวยุโรปทำกัน ที่เมืองจีน เค้าทำลายโลกเยอะ แต่เค้าก็เริ่มแล้วนะที่จะรักโลก จริงๆเค้าอาจจะไม่คิดแบบนี้รึป่าว เค้าอาจจะงก อยากได้เงิยเราค่าถุง ฮ่าๆๆ แต่อยากน้อยนี้ก็เป็นการกระที่เกิดขึ้นจริง เมืองไทยได้แต่พูดๆเท่านั้นล่ะ เพราะคนไทยรักสบาย แล้วถ้าไม่ให้อย่างที่ต้องการก็จะหาว่าจ่ายเงินแล้วไม่สมราคา
สัตว์ไม่มีเผ่นผ่านให้สะเทือนใจเลย หมา ส่วนมากโดนกินไปแล้ว ฮาาา คนจะเลี้ยงก็ต้องดูแลดีเลย พามาวิ่งเล่น ไม่รู้ต้องจดทะเบียนด้วยมั้ย ไม่เคยเห็นหมาจรจัดเลย อาจจะโดนกินไปหมดแล้วจริงๆ เห็นแต่แมวจร ตามโรงเรียน ตามสวน ซึ่งจรรโลงใจมากๆๆ >_<
บริเวณย่านธุรกิจใจกลางเมือง ก็เป็นย่านธุรกิจด้วย เป็นแหลงท่องเที่ยวไปด้วย ดูเป็นเมืองมากๆๆๆ ประกอบกับอากาศช่วงนี้เย็นถึงเย็นมาก บรรยากาศเมืองนอกมากๆ ไม่ต้องไปถึง”เมืองนอกนู้น” อยู่แค่ตรงนี้ก็สัมผัสได้
คอมมิวนิสต์ ก่อนมาคิดว่า มันยังไงว่ะระบอบนี้ ห้ามออกจากบ้านหลัง สี่ทุ่มรึป่าว หรือจะโดนจับขังรึป่าวถ้าเค้ารู้ว่าเราต่างด้าว ต้องระวังตัวมากเลยรึป่าว บ้านป่าเมืองเถื่อนป่าวเนี่ยยย หวั่นๆ แต่คอมมิวนิสต์ไม่ได้มีผลอะไรต่อชีวิตนักเรียนต่างชาติที่อยู่ชั่วครั้งชั่วคราวแบบเราๆนะ เค้าส่งเสริมสะด้วยซ้ำ เค้าอาจจะกีดกันทางการติดต่อสื่อสาร มันก็ใช่ แต่มันก็เป็นเหตุผลด้านความมั่นคงของเค้า เพราะเค้าต้องปกครองคน พันกว่าล้านคน ถ้ามาเยอะแยะๆ ก็คงล่มไปแล้วล่ะประเทศนี้ ไม่กลายเป็นประเทศมหาอำนาจอย่างทุกวันนี้
มาอยู่เมืองจีน เหมือนเป็นแมวอ้วนๆที่เดินออกนอกบ้านครั้งแรก เดิมคิดว่าบ้านเรามันดีนักหนา พอก้าวออกจากบ้านถึงได้เห็นว่ายังมีอะไรอีกมากมายที่เราไม่เคยรู้ เรามันตัวเล็กนิดเดียวเป็นจุดเล็กๆ
แม่บอกว่า อากงจะพูดตลอดว่า ถ้าอายุยังไม่เกิน 60 อย่าคิดว่าตัวเองรู้ไปหมดทุกอย่าง คนที่ใช้ชีวิตมาเกือบทั้งชีวิตบางคนยังไม่กล้าพูดเลยว่ารู้อะไรบ้าง
I know that I know nothing.. มันจริงอย่างที่เรียนเลยล่ะ
ถ้าเขียนอะไรผิด สะกดผิดต้องขอโทษด้วยนะคะ
ขอเพิ่มเติ่มว่า เราเขียนไว้ สี่บทความนะค่ะ อยู่ที่หัวกระทู้ คห.6,19,33 คะ เนื้อเรื่องยาวหน่อยนะค่ะ แถมตัวหนังสือติดเป็นพรืด ฮาา
ขอบคุณทุกท่านที่โหวตให้นะคะ ตื่นเต้น ไม่เคยตั้งกระทู้จริงจัง ฮิๆ
ขอโทษที่จะมีแต่ตัวหนังสือนะคะ เพราะเราไม่ถนัดถ่ายรูป ถนัดบรรยายมากกว่า

ว่าด้วยเรื่องเมืองจีน จากนักเรียนไทยในจีน 1
เชื่อเรื่องโชคชะตามั้ย เชื่อมั้ยว่ามีอะไรสักอย่างขีดเส้นบางๆให้เราเดิน เราอาจจะคิดว่าทางที่เราเดินเพราะเราเลือกเอง แต่เราอาจจะกำลังเดินตามรางรถไฟล่องหนที่ใครวางไว้ให้โดยที่ไม่รู้ตัวก็ได้
ตอนนี้ค่อนข้างเชื่อว่าคงมีอะไรสักอย่างมากำหนดชะตาของเรา ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตจริงๆ หลังจากเรียนจบ อยู่บ้านระยะนึง เตะฝุ่น จิตตก ได้งานโรงแรม เริ่มทำงานโรงแรมที่แรก ย้ายไปทำงานโรงแรมที่ชะอำเดือนถัดมา ย้ายไปทำงานโรงแรมที่หัวหินปีถัดมา ย้ายกลับมาทำงานในโรงแรมที่กรุงเทพฯสามเดือนถัดมา อีกครึ่งปีต่อมา มาเรียนเมืองนอก ถึงจะไม่ได้”นอก”มาก (ตามคำที่เพื่อนคนหนึ่งพูดไว้ว่า นอกแต่ก็ไม่ได้”นอก” เท่าไหร่)
อยู่ดีๆมารู้สึกตัวอีกทีก็ผ่านมาเดือนที่ 4 แล้วที่มาอยู่ประเทศจีน ประเทศที่มีประชากรเยอะที่สุดในโลก มีพื้นที่ใหญ่กว่าเมืองไทยเป็น 10 เท่า ประเทศที่ยังถูกปกครองโดยระบอบคอมมิวนิสต์ ประเทศที่เป็นศูนย์กลางการผลิตสินค้าส่งออกไปทั่วโลก ประเทศที่มีภาษาที่ใช้มากที่สุดอันดับ 2 ของโลกรองจากภาษาอังกฤษ ประเทศที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่าพันๆปี ประเทศที่เป็นต้นกำเนิดของบรรพบุรุษ ประเทศที่ไม่เคยคิดเลยว่าจะมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี้ ไม่เคยคิดว่าจะอยากเรียนภาษานี้
มันเป็น โชคชะตากำหนดชัดๆ ครับ
เลือกมาอยู่เมืองที่เจริญที่สุดในจีน “มหานครเซี้ยงไฮ้ ” ชอบคำนี้มาก เพราะมันบรรยายได้ถึงลักษณะของเมืองนี้จริงๆ เมืองที่ใหญ่โต โออ่า คล้ายๆกับ มหานครนิวยอร์ก แบบเจ๊กๆ วินาทีแรกที่มาถึง โอ้ยยย เหมือนคนหูหนวก และเป็นใบ้ เข้าใจความรู้สึกเลยว่า การฟังอะไรไม่ออกเลยสักคำ จะพูดอะไรก็ไม่ได้มันเป็นยังไง ใจคิดอย่างเดียวว่า มันประเทศอะไรว่ะเนี่ย ภาษาอังกฤษพูดเป็นมั้ย??? แล้วนี่พูดอะไรกันว่ะเนี่ย ฟังไม่ออกโว้ย ! ดีนะไปกับเพื่อน เลยไม่จบชีวิตที่นี้ เนื่องจากจะซื้อข้าวยังยากเลย แล้วก็คิดว่า กุมาทำอะไรที่นี้? กุมาทำอะไรที่นี้? แต่เสียเงินมาแล้วยังไงก็ต้องเอาให้ได้ล่ะโว้ย สู้มัน เอาผ้าคาดหัว วิ่งออกไป เอาดาบจิ้มพุงมันเลย! ฮา
ขอเล่าถึงความศิวิไลซ์ของ มหานครเซี้ยงไฮ้ ก่อนดีกว่า จะได้จรรโลงใจ เมืองเซี้ยงไอ้ปัจจุบันมีประชากรเกือบ 20 ล้านคนเอาเป็นว่าเมืองใหญ่มาก แต่บ้านเมืองดีมาก ถนนหนทางเดินทางสะดวก รถไฟฟ้าปัจจุบันมี 11 สาย มั้งง หรือมากกว่านั้น เดินทางไปได้ทั่วเมือง สายหนึ่งไม่ได้มีแค่สิบสถานนีนะจ๊ะ มีเป็นยี่สิบสถานี ดูแผนที่นี้พันกันไขว้กันเป็นใยแมงมุม กลัวเหลือเกินว่าถ้าดินยุบมันจะยุบไปหมดเลยรึป่าว บัตรรถไฟฟ้าใบเดียวขึ้นได้ทั้ง รถเมล์ รถไฟฟ้า รถแท็กซี่ และเรือ โอ้วสะดวกสุดๆ แผนที่ก็ไม่ซับซ้อน เป็นตารางๆ ถนนแต่ละเส้นตัดกันเป็นสี่เหลี่ยม ป้ายบอกทางก็บอกด้วยว่าฝั่งนี้มีบ้านเลขที่เท่าไหร่ถึงเท่าไหร่บ้าง คนที่นี้อยู่คอนโดกันเป็นเรื่องปกติ เพราะบ้านแพงมาก ทำให้เห็นคอนโดขึ้นเต็มไปหมด ทั่วเมืองมีแต่ตึกสูงเสียดฟ้า แล้วมีแต่ตึกที่ดูดีด้วยนะ เพราะอันไหนดูไม่ดี รัฐบาลคงสั่งทุบทิ้งแล้วสร้างใหม่ ฮ่าา ศูนย์การค้ามีกระจายทั่วเมืองเลยจ้า แล้วเป็นศูนย์การค้าแบบดีเลยนะ ไม่ใช่แค่ซุปเปอร์มาร์เก็ตธรรมดานะ รองรับผู้บริโภคทุกที่เลยจริงๆ
ร้านอาหารส่วนมากใช้ระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยจัดคิว รับออเดอร์นะ มีทั้งใช้ มือถือสั่งอาหาร เป็นเหมือนรีโมต กดๆสั่งอาหาร ไม่รู้ว่าพนักงานกดๆโค้ดหรือกดอะไร เพราะหน้าจอเล็กๆ เหมือนมือถือจอขาวดำ สักพักอาหารก็มาล่ะ ขนาดร้านเกี้ยวน้ำข้างทางธรรมดาๆ คนขายเป็นลุงแก่ๆ แกยังกดเครื่องคอมเล็กๆที่หน้าตาเหมือนเครื่องคิดเงินบ้านเรา รับออเดอร์เก็บเงิน แล้วออเดอร์ก็ส่งตรงเข้าไปในห้องครัว สักพักอาหารก็มา เราก็แค่ถือใบเสร็จ รอเค้าเรียกเบอร์ก็ได้กินแล้ว ลุงไม่ต้องเดินเอากระดาษออเดอร์ไปให้คนในครัวเลย ที่น่าทึ่งคือ ลุงก็ทำได้!!!! *0*
ที่นี้อะไรที่ใช้เทคโนโลยีแทนได้ใช้แทนหมดเลย อย่างที่หอพัก เข้าออกประตูหอใช้บัตรนักศึกษา เข้าห้องนอนก็ใช้บัตรนักศึกษาใบเดิมของเรา คนอื่นเข้าไม่ได้นะ เข้าไปชั้นเรียน ก็ใช้บัตรนักศึกษาสแกนเข้าไป (แต่อันนี้งง ว่าเข้าตึกเรียนทำไมต้องสแกนบัตรเข้าด้วย กั้นประตูไว้ทำไมไม่แน่ใจ) น้ำร้อนในห้องถ้าจะใช้ต้องมีบัตรสำหรับซื้อน้ำร้อน เอาบัตรไปทาบที่เครื่อง เราใช้ไปเท่าไหร่ เครื่องก็จะลดเงินในจำนวนบัตรเท่านั้น (อาจจะเรียกว่า งก แต่ของฟรีก็ไม่มีในโลกหรอกจริงมั้ย) บัตรน้ำร้อนใบนี้ เอาไปซื้อข้าวโรงอาหารได้ ซื้อของชำจากร้านในโรงเรียนได้อีก
ไปเที่ยวพวกสวนโบราณ หรือพิพิธภัณฑ์ เวลาผ่านประตูเข้าไป บางที่ใช้ระบบ QR code สำหรับสแกนตั๋ว ไม่รู้หรอกว่ามันมีประโยชน์ยังไง เห็นเมืองไทยพูดๆกัน แต่ก็ไม่เห็นว่าได้ใช้อะไรจริงจัง แต่เมืองจีนเค้าก็ใช้กันเป็นเรื่องปกติแล้วนะ
ร้านสะดวกซื้อ ซุปเปอร์มาร์เกต เวลาไปซื้อของเค้าไม่ให้ถุงพลาสติกมานะ เราจะเอาต้องซื้อ เหมือนที่แถวยุโรปทำกัน ที่เมืองจีน เค้าทำลายโลกเยอะ แต่เค้าก็เริ่มแล้วนะที่จะรักโลก จริงๆเค้าอาจจะไม่คิดแบบนี้รึป่าว เค้าอาจจะงก อยากได้เงิยเราค่าถุง ฮ่าๆๆ แต่อยากน้อยนี้ก็เป็นการกระที่เกิดขึ้นจริง เมืองไทยได้แต่พูดๆเท่านั้นล่ะ เพราะคนไทยรักสบาย แล้วถ้าไม่ให้อย่างที่ต้องการก็จะหาว่าจ่ายเงินแล้วไม่สมราคา
สัตว์ไม่มีเผ่นผ่านให้สะเทือนใจเลย หมา ส่วนมากโดนกินไปแล้ว ฮาาา คนจะเลี้ยงก็ต้องดูแลดีเลย พามาวิ่งเล่น ไม่รู้ต้องจดทะเบียนด้วยมั้ย ไม่เคยเห็นหมาจรจัดเลย อาจจะโดนกินไปหมดแล้วจริงๆ เห็นแต่แมวจร ตามโรงเรียน ตามสวน ซึ่งจรรโลงใจมากๆๆ >_<
บริเวณย่านธุรกิจใจกลางเมือง ก็เป็นย่านธุรกิจด้วย เป็นแหลงท่องเที่ยวไปด้วย ดูเป็นเมืองมากๆๆๆ ประกอบกับอากาศช่วงนี้เย็นถึงเย็นมาก บรรยากาศเมืองนอกมากๆ ไม่ต้องไปถึง”เมืองนอกนู้น” อยู่แค่ตรงนี้ก็สัมผัสได้
คอมมิวนิสต์ ก่อนมาคิดว่า มันยังไงว่ะระบอบนี้ ห้ามออกจากบ้านหลัง สี่ทุ่มรึป่าว หรือจะโดนจับขังรึป่าวถ้าเค้ารู้ว่าเราต่างด้าว ต้องระวังตัวมากเลยรึป่าว บ้านป่าเมืองเถื่อนป่าวเนี่ยยย หวั่นๆ แต่คอมมิวนิสต์ไม่ได้มีผลอะไรต่อชีวิตนักเรียนต่างชาติที่อยู่ชั่วครั้งชั่วคราวแบบเราๆนะ เค้าส่งเสริมสะด้วยซ้ำ เค้าอาจจะกีดกันทางการติดต่อสื่อสาร มันก็ใช่ แต่มันก็เป็นเหตุผลด้านความมั่นคงของเค้า เพราะเค้าต้องปกครองคน พันกว่าล้านคน ถ้ามาเยอะแยะๆ ก็คงล่มไปแล้วล่ะประเทศนี้ ไม่กลายเป็นประเทศมหาอำนาจอย่างทุกวันนี้
มาอยู่เมืองจีน เหมือนเป็นแมวอ้วนๆที่เดินออกนอกบ้านครั้งแรก เดิมคิดว่าบ้านเรามันดีนักหนา พอก้าวออกจากบ้านถึงได้เห็นว่ายังมีอะไรอีกมากมายที่เราไม่เคยรู้ เรามันตัวเล็กนิดเดียวเป็นจุดเล็กๆ
แม่บอกว่า อากงจะพูดตลอดว่า ถ้าอายุยังไม่เกิน 60 อย่าคิดว่าตัวเองรู้ไปหมดทุกอย่าง คนที่ใช้ชีวิตมาเกือบทั้งชีวิตบางคนยังไม่กล้าพูดเลยว่ารู้อะไรบ้าง
I know that I know nothing.. มันจริงอย่างที่เรียนเลยล่ะ
ถ้าเขียนอะไรผิด สะกดผิดต้องขอโทษด้วยนะคะ
ขอเพิ่มเติ่มว่า เราเขียนไว้ สี่บทความนะค่ะ อยู่ที่หัวกระทู้ คห.6,19,33 คะ เนื้อเรื่องยาวหน่อยนะค่ะ แถมตัวหนังสือติดเป็นพรืด ฮาา
ขอบคุณทุกท่านที่โหวตให้นะคะ ตื่นเต้น ไม่เคยตั้งกระทู้จริงจัง ฮิๆ
ขอโทษที่จะมีแต่ตัวหนังสือนะคะ เพราะเราไม่ถนัดถ่ายรูป ถนัดบรรยายมากกว่า