บุพเพข้ามภพ ตอนที่ 28 (อีกสองตอนจะจบแล้วค่ะ)

กระทู้สนทนา
ตอนที่ 28

              หลังจากที่ท่านปุโรหิตเสาะแสวงหาว่านที่จะมาช่วยบุตรสาวในอดีตชาติ เพื่อให้ร่างกายของนางไม่สลายไป ในที่สุดท่านก็ได้พบมันจนได้ นับเป็นเวลานานแล้วที่ท่านมิได้พบเห็นว่านชุบร่างนี้อีก ระหว่างเดินทางลงจากเขา จู่ ๆ ก็เกิดภาพประหลาดขึ้น ท่านปุโรหิตเป็นผู้ถือศีลบำเพ็ญเพียรทำแต่ความดี ชาตินี้จึงเป็นผู้มีญาณวิเศษล่วงรู้กาลอนาคตได้  ท่านเห็นภาพจักเกิดเรื่องร้ายกับแม่หญิงวิลันดาหรือมณีจันทร์ในอดีตชาติ


    “มณีจันทร์ลูกพ่อ” ท่านปุโรหิตเร่งการเดินทางจากเทือกเขา จักต้องเร่งไปช่วยหล่อนให้ได้ แม้นชาติที่แล้วท่านจักมิอาจช่วยบุตรีผู้เป็นที่รักได้  แต่ในชาตินี้นางควรจักต้องสมหวังในรักกับอินทราเสียที

                                              ++++++++++++++++++


            ขุนไกรไม่อยากให้ถึงเช้าเลย แต่เขาคงไม่มีอำนาจจะไปห้ามดวงตะวันไม่ให้ขึ้นมาสาดแสงให้กับมวลหมู่มนุษย์
ได้
                    
“แม่หญิง พี่จักต้องเร่งกลับค่ายเสียแล้วในวันนี้ เจ้าอยู่ทางนี้จงคอยพี่เถิดหนา พี่จักเร่งกลับมาทำทุกอย่างให้ถูกต้อง มิต้องห่วงพี่จักมิทอดทิ้งเจ้า”         

พลางดึงร่างบางเข้ามาประชิดอกกว้าง เขาค่อยบรรจงพรมจูบบางเบาทั่วใบหน้าของแม่หญิงหล่อนเขินอายจนหน้าแดงซ่าน แต่ก็เต็มใจ

    “พอเถิดน้องมิไหวแล้วเจ้าค่ะ แค่นี้น้องก็ให้ละอายใจนัก” วิลันดาพยายามขืนตัวออกจากเขา เพราะรู้แล้วว่าขุนไกรคิดจะทำอะไรหล่อนอีก

    “โธ่ เมียรักของพี่ หากมิใช่เรื่องบ้านเมืองแล้ว พี่นี้ จักมิคิดปล่อยให้เจ้าได้ห่างกายพี่สักเพลาเดียว” สายตาของเขาบอกได้ดีว่าต้องการอะไร หล่อนไม่เคยคิดว่า หนุ่มกรุงธนหน้าตาเฉยชาแบบนี้จะร้อนแรงในเกมรักได้มากมายขนาดนี้

    ตาหื่น บ้ากาม วิลันดานึกในใจ เห็นหน้าซื่อ ๆ แบบนี้เจ้าเล่ห์เหลือเกิน เวลาจะหวานก็หวานเสียจนมดแทบจะขึ้นที่ปาก    
                
“น้องต้องเร่งออกไปจากห้องแล้วเจ้าค่ะ เดี๋ยวใครจักมาเห็นเข้า” วิลันดาเริ่มมองหาผ้านุ่งที่อยู่กระจายเต็มพื้นจากอารมณ์พิศวาสรุนแรงของคนเมื่อคืน

    “ใครมันจักกล้าเข้ามา หากพี่มิได้เรียกหา”

    “มิได้เจ้าค่ะ จักให้น้องอยู่ในห้องเยี่ยงนี้ ทั้งวันทั้งคืนรึเจ้าค่ะ”

    “เยี่ยงนั้น แม่หญิงแต่งตัวเถิดหนา พี่จักพาเจ้าไปพูดกับท่านแม่ เรื่องของเรา” สีหน้าขุนไกรบอกให้รู้ได้ว่า เขาเสียดายเหลือเกิน เขายังอยากอยู่ร่วมห้องกับแม่หญิงทั้งวัน

    “น้องว่า เรามิควรบอกท่านในเพลานี้หนาเจ้าคะ” วิลันดาออกความเห็น

    “มิได้ดอก จะช้าอยู่ไย รึเจ้าเสียดายที่จักไม่ได้แต่งกับพี่เพ็งเขา” เสียงนั้นดูเข้มขึ้นด้วยหึงหวงในตัวเมียรัก

    “น้องหาได้คิดเยี่ยงนั้นไม่  เพียงแต่เห็นว่าท่านกำลังมีเรื่องหนักอก หากพูดในเพลานี้จักมิควร ส่วนเรื่องพี่เพ็ง น้องจักหาทางบ่ายเบี่ยงไปก่อน’

    ขุนไกรฟังคำแม่หญิงพอมีน้ำหนัก ก็เห็นจริงตามที่นางพูด ช่วงนี้คุณท้าวมีเรื่องเข้ามามากนัก ทั้งงานในวัง ซึ่งเจ้านายที่คุณท้าวถวายการรับใช้อยู่ก็กำลังทรงพระประชวรหนัก อีกทั้งเรื่องที่ชาวบ้านนินทาแม่หญิงและกล่าวโทษว่าท่านสอนแม่หญิงมิดี คุณท้าวเฟื่องจึงมีแต่เรื่องร้อนใจ

    “ท่านขุนเจ้าค่ะ” เงียบมิมีเสียงตอบ นางผินเร่งขึ้นเรือนมาตามขุนไกร เพราะมีม้าเร็วมาส่งข่าวแจ้งว่าให้ขุนไกรรีบกลับค่ายด่วน

    “ทำเยี่ยงไรดีเจ้าค่ะ” วิลันดารู้สึกละอายบ่าวไพร่ หล่อนทำสีหน้าเหมือนกับเด็กทำผิดและกำลังจะโดนจับได้

    “เดี๋ยวพี่จักออกไปก่อน ดูเสียว่ามีเรื่องอันใด หากมิมีเรื่องร้ายแรง พี่จักสั่งลงหวายนังผินป็นแน่” ขุนไกรพูดล้อเล่นกับแม่หญิงเท่านั้น เพราะบ่าวไพร่เรือนนี้ เป็นที่รู้กันท่านขุนใจดีนัก มิเคยสั่งลงหวายผู้ใดมาก่อน

    “เจ้าค่ะ หากลับตาคนแล้ว น้องจักกลับไปที่ห้องหนาเจ้าค่ะ”

    “มีอันใดรึนังผิน มาปลุกข้าแต่เช้าตรู่” ขุนไกรเปิดประตูแต่เพียงแง้ม กลัวนางผินจะมองเข้ามาข้างในห้อง                        

นางผินคิดอยู่ในใจ เพลานี้มันเกือบตะวันจักตรงหัว ท่านขุนยังว่าเช้าอยู่อีกรึ  แต่มิกล้าเถียงออกไป    
                        
“มีม้าเร็วมาส่งข่าวมาจากค่ายบางกุ้งเจ้าค่ะ”

    “อยู่ที่ใดรึ”

    “อยู่ในโรงครัวเจ้าค่ะ บ่าวจักไปตามขึ้นมาหาท่านขุนเจ้าค่ะ”

    “มิต้อง ข้าจักไปพบเขาเอง”     นางผินรีบนำทางขุนไกรไปพบทหารนายหนึ่งซึ่งมาส่งข่าว นางผินให้รอในโรงครัว เพราะเห็นว่าเดินทางมาไกลคงจักหิวมาก จึงได้จัดหาอาหารให้กินตามสมควร                        

ขุนไกรเดินลงไปที่โรงครัว เขามิเคยถือยศถือศักดิ์ต่อทหารที่มียศต่ำกว่า ทหารคนนั้น รีบวางมือที่กำลังกินข้าวด้วยความหิวโหย เพราะบัดนี้ค่ายบางกุ้งกำลังขาดแคลนอาหาร แล้วทำความเคารพขุนไกร

    “ท่านขุนขอรับ”

    “มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นที่ค่ายกระนั้นรึ”

    “ท่านแม่ทัพให้ข้ามาแจ้งข่าวแก่ท่านว่า บัดนี้อ้ายพวกพม่ามันยกทัพใกล้เข้ามาแล้ว อีกมินานมันคงจักเข้าล้อมค่ายเป็นแน่”

    “จริงรึ”

    “ท่านแม่ทัพให้ข้ามาแจ้งข่าวให้ท่านขุนเร่งกลับค่ายขอรับ”

    “ได้ เจ้ารอข้าก่อน ประเดี๋ยวข้าขอเก็บของแล้วรีบกลับไปพร้อมกับเจ้า”

                                  ++++++++++++++++++                
ขุนไกรกลับมาที่ห้อง แต่มิพบแม่หญิงอีก คาดว่านางคงจักออกไปตอนที่เขาลงไปพบทหารที่มาส่งข่าว  เขาจึงเร่งเก็บสัมภาระที่สำคัญหวังจักได้ไปลานางที่ห้อง

    “พ่อขุน นังผินมันมาแจ้งแก่แม่ว่า เจ้าต้องเร่งกลับค่ายจริงรึ” คุณท้าวได้ข่าวจึงรีบมาดูลูกชาย

    “ขอรับ บางทีคราวนี้บ้านเมืองเราจักต้องรับศึกเป็นแน่”    
    
    “ร้ายถึงเพียงนั้นเชียวรึพ่อขุน”

    “ขอรับ” ขุนไกรอยากจักบอกคุณท้าวเฟื่อง เรื่องของเขากับแม่หญิงวิลันดา บัดนี้นางเป็นของเขาแล้ว และตนจะไม่ยอมเสียเมียให้ผู้ใดเป็นแน่ แต่ต้องหยุดไว้เสียก่อน หวังว่าจักหาเพลากลับมาโดยเร็ว เพื่อมาจัดการเรื่องทุกอย่าง

    “ท่านแม่ขอรับลูกฝากดูแลแม่หญิงด้วยหนาขอรับ” เขายิ้มกรุ้มกริ่มพูดไปก็ชะเง้อแลไปที่ห้องแม่หญิง แต่มิเห็นนางแม้แต่เงา

    “พ่อขุนเจ้าคงเจ็บปวดมาก ใช่รึไม่”                     

คุณท้าวคิดว่าที่ขุนไกรรีบเดินทางเยี่ยงนี้เพราะทนดูแม่หญิงออกเรือนไปมิได้ มิทันได้สังเกตว่านี่มิใช่อาการของคนอกหักรักคุด แต่เป็นใบหน้าของคนที่อิ่มเอมในรสรักมาหมาดๆ

    “มิเจ็บปวดอันใดแล้วขอรับ ตอนนี้ลูกหายดีแล้วท่านแม่มิต้องเป็นห่วง” ขุนไกรไม่มีเวลาอธิบายให้กระจ่างแจ้งมากนักว่า ที่มิเจ็บปวดแล้วเพราะตอนนี้เข้าใจกันดีกับแม่หญิง อีกทั้งตอนนี้อยู่ต่อหน้าแม่ จะเดินไปเคาะห้องแม่หญิงก็ให้รู้สึกกระดากอายแม่ เขาจึงไปลาท่านพระยามิตรไมตรีผู้เป็นพ่อ แล้วรีบกลับค่ายบางกุ้งไปพร้อมทหารที่ถูกใช้ให้มาตามก่อนที่จักพลบค่ำเสียก่อน

                       ++++++++++++++++++
    เมื่อวิลันดาออกจากห้องของขุนไกรมาถึงยังห้องนอนของตนเอง ด้วยความอ่อนเพลียจึงเผลอหลับไป ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ค่ำเสียแล้ว หล่อนรู้สึกว่าช่วงนี้ร่างกายอ่อนเพลีย นี่คงเป็นเพราะร่างหล่อนอาจจะเริ่มเสื่อมถอยลงตามที่ท่านปุโรหิตได้บอกไว้ คิดได้ดังนั้นหล่อนก็รู้สึกเป็นห่วงท่านมาก แลคิดว่าควรจักเล่าเรื่องนี้ให้กับขุนไกรฟังเสียที แต่เมื่อตื่นมาและมิพบขุนไกรอยู่ที่เรือน หล่อนก็รู้สึกน้อยใจที่เขากลับค่ายโดยไม่ลาหล่อนสักคำ

    “ท่านแม่เจ้าค่ะ”

    “มีอันใดรึ แม่ดาวเรือง”

    “ตกลง แม่หญิงวิลันดาตกปากรับคำจักแต่งงานกับพี่เพ็งแน่แล้วรึเจ้าค่ะ”

    “นางรับคำจักแต่งานกับพี่เจ้าแล้ว” รอยยิ้มผุดขึ้นที่ใบหน้า เพราะต้องการให้บุตรชายสมหวัง แม้ไม่ได้ปลาบปลื้มในตัวว่าที่ลูกสะใภ้สักเท่าไหร่        

“แล้วจักแต่งกันเมื่อใดรึเจ้าคะ”

    “แม่จักไปหาฤกษ์ดูเสียก่อน แต่ก็คงมิเร็วนักดอก ช่วงนี้บ้านเมืองกำลังวุ่นวาย มีข่าวมิดีเกี่ยวกับศึกสงคราม”

    “ลูกว่าท่านแม่ควรจักรีบหาฤกษ์ให้เร็วหน่อยหนาเจ้าค่ะ”

    “มีอันใดรึ เหมือนเจ้าจักร้อนใจนัก รึเจ้าอยากมีพี่สะใภ้ ถึงได้มาเร่งแม่เยี่ยงนี้” คุณท้าวศรีประจันหยอกล้อบุตรสาว ทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้วว่าแม่ดาวเรืองคิดเยี่ยงใดกับว่าที่พี่สะใภ้ นางก็ยังอดสงสารในตัวบุตรสาวมิได้ นี่หากแม่ดาวเรืองรู้ว่าขุนไกรพูดว่า จะมิยอมแต่งงานกับแม่ดาวเรือง เรือนนี้มีหวังข้าวของคงจักต้องพังอีกหลายชิ้นเป็นแน่

    แม่ดาวเรืองเหยียดริมฝีปาก แค่พูดถึงแม่หญิงวิลันดา นางก็รู้สึกเกลียดเข้าไส้ แลวันนี้นางยังจดจำแม่หญิงวิลันดาได้มิรู้ลืมที่บังอาจมาตบหน้านาง  การแก้แค้นนั้นมีเวลาอีกมาก แต่ที่สำคัญตอนนี้ ต้องให้แม่หญิงแต่งงานกับพี่เพ็งให้ได้ เยี่ยงนั้นแล้วนางคงมิมีทางได้ลงเอยกับขุนไกรเป็นแน่

    “ลูกบอกท่านแม่ตามตรง ลูกใจมิดีกลัวจักเสียพี่ขุนไปเจ้าค่ะ”

    โธ่! แม่ดาวเรืองลูกแม่ คุณท้าวศรีประจันมิกล้าบอกแม่ดาวเรืองว่า ขุนไกรพูดเยี่ยงไรบ้างเมื่อวานนี้ หากแม่ดาวเรืองรู้เข้าคงจักน้อยใจนัก
    “วันพรุ่ง แม่จักไปขอฤกษ์แก่หลวงตาที่วัดเจ้าจักได้สบายใจ”

    “สินสอดทองหมั้น แม่จักให้นางสักเท่าใดดีเจ้าคะ”

    “แม่ปรึกษากับท่านพ่อเจ้าแล้ว คงจักเป็นทองสักราว ๆ สิบหีบ เครื่องประดับเพชรพลอยสักสองหีบ ผ้าลาย ผ้าพื้นอีกอย่างละยี่สิบพับ”
    “มิมากไปรึเจ้าคะ ทำเรื่องงามหน้าไว้เยี่ยงนั้น จักมาเรียกสินสอดอันใดกันให้มากนัก”

    “นางเป็นถึงหลานคุณท้าวเฟื่องเชียวหนา จักให้น้อยกว่านี้ได้รึ” คุณท้าวศรีประจันพยายามอธิบายให้แม่ดาวเรืองเข้าใจ
    “แต่ท่านแม่ก็รู้ว่า นางมิใช่หลานตัวจริงของคุณท้าวเฟื่อง”

    “แต่เจ้าก็คงจักรู้ที่ชาวบ้านลือกันเรื่องของนางกับพี่เจ้า แท้ที่จริงเป็นฝีมือผู้ใดกัน” แม่ดาวเรืองหน้าเสีย มิรู้มาก่อนว่าแม่ของหล่อนรู้แล้วว่า ผู้อยู่เบื้องหลังแผนการในครั้งนี้คือใคร

    “แม่ก็มิอยากจักต้องเสียสินสอดมากมายเยี่ยงนี้ดอก เพียงแต่กลัวว่า หากจัดน้อยไปกว่านี้แล้ว คนเรือนนั้นจักดูถูกเราได้ ดูเสียตอนงานหมั้นเจ้า คุณท้าวเฟื่องจัดทองมาให้ถึงยี่สิบหีบ อีกทั้งเครื่องเพชรพลอยอีกมากโข”

    “แต่ข้ามิอยากให้สมบัติเรา แก่แม่นั่นสักสลึงเฟื้อง”

    “แค่นี้ยังน้อยนัก ที่แม่มี แม่เก็บไว้ให้เจ้าอย่างน้อยก็ทองสักร้อยหีบยังมิพอใจอีกรึ” ใคร ๆ ต่างรู้กันว่า เจ้าพระยาสีหเดโชนั้นมีทรัพย์มากขนาดไหน    

    “ลูกรักท่านแม่เหลือเกินเจ้าค่ะ” แม่ดาวเรืองยิ้มจนแก้มปริ เข้าไปสวมกอดมารดา

    “แม่ก็รักเจ้าถึงทำทุกอย่างเพื่อเจ้าเยี่ยงไรล่ะ” คุณท้าวศรีประจันลูบเรือนผมของบุตรสาวอันเป็นที่รักยิ่ง นางรู้เพียงแต่ว่าอยากให้แม่ดาวเรืองและพ่อเพ็งมีความสุขเป็นที่สุด

                                     ++++++++++++++++++
    “มะลิ เช้านี้ ข้าจักเข้าวังแต่เช้า เอ็งไปดูให้ข้าหน่อยเสียว่า แม่หญิงเป็นอันใดไป ข้ามิเห็นหน้านาง ตั้งแต่วานแล้ว”

    “เจ้าค่ะ”                                 

มะลิรีบทำตามคำสั่งของคุณท้าวรีบไปที่ห้องของแม่หญิง ภายในห้องดูเงียบเชียบ แม่หญิงนอนหลับอยู่ แต่มะลิรู้สึกว่าเหมือนมีอันใดผิดปกติ นางจึงเดินเข้าไปดูใกล้  ๆ

    แม่หญิง !

    เมื่อไปดูใกล้ ๆ แม่หญิงนอนหลับสนิท แต่ร่างที่เคยงดงามดั่งนางในวรรณคดีที่มะลิแอบชื่นชมอยู่บ่อยครั้ง กลับดูราวกับร่างที่ไร้วิญญาณเสียมากกว่า ผิวของแม่หญิงที่เคยงดงามเปล่งปลั่ง บัดนี้ดูเหมือนมิได้มีเลือดหล่อเลี้ยงร่างกาย มะลิรีบออกจากห้องด้วยความตระหนกตกใจไปรายงานคุณท้าวเฟื่อง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่