ราตรีสีอำพัน (102)

กระทู้สนทนา
ราตรีสีอำพัน (102)

ทุกคนมาพร้อมกันที่โต๊ะอาหาร
“โอ้โฮ!ห้องอาหารท่านชายตกแต่งไว้สวยมากเลย ดูกระจกสีครึ่งวงกลมด้านบนที่เป็นสีต่างๆลวดลายแบบอาหรับสวยแปลกดี "
โต๊ะอาหารยาว เก้าอี้บุผ้าลายสวย กับมุมด้านในเป็นที่ตู้เก็บเครื่องจานชาม
โครงและกรอบเป็นทองเหลืองฝาตู้สไลด์เปิด ทำจากไม้เนื้อแข็งฉลุลาย เป็นดาวและดวงจันทร์เสี้ยว "อือฮืฮ!สวย” แป้งเอ่ยเบาๆกับพี่รอง

ข้าวหมกไก่ในจานเซรามิคเนื้อดี เสริฟพร้อมซุปในถ้วยทองเหลืองอย่างดี
ท่านแม่เอ่ยขึ้น“ข้าถามท่านหมอว่าควรเสริฟอะไรให้พวกท่านดี เพราะอาหารเราก็มีหลายอย่าง
แต่ข้าไม่แนใจว่าท่านจะทานกันได้หรือไม่ ท่านหมอแนะนำเป็นข้าวหมกไก่ซึ่งทางภาคใต้บ้านท่านกินกัน”

“ท่านแม่อย่ากังวลเลยพวกเรากินกันง่ายอาหารท่านพวกเราทานกันได้อยู่แล้ว” ลุงหมอเป็นตัวแทนเอ่ยขึ้น
ลุงหม่อมขอนั่งติดกับท่านป้าใหญ่ ดูเหมือนทั้งสองคนคุยเรื่องเดียวกันอยู่ ทั้งหมอเติ้ลและท่านชายสังเกต
หมอเติ้ลนั่งติดกับท่านหญิงมาเรียม

ท่านแม่เอ่ยถาม “ท่านชายหม่อม.. เอ้อ!ข้าเรียกอย่างนี้ได้ไหม”
ท่านแม่หัวเราะตัวเอง และทุกคนก็พลอยขำไปด้วยจึงมีเสียงหัวเราะตามท่านแม่กันเป็นแถว
เสียงหัวเราะร่วมกันบ่งบอกถึงไมตรีจิต มิตรภาพที่เริ่มเกิดทีละน้อยของครอบครัวท่านชายและผู้มาเยือน
เพราะทั้งสองฝ่าย เป็นพวกที่มีความเป็นอยู่เรียบง่าย ไม่ต้องมีพิธีการมากมายด้วยกันทั้งคู่

“ท่านแม่เรียกพวกเราตามหมอเรียกก็ได้ครับง่ายดี” ป๋าตอบโจทย์ท่านแม่
ท่านยิ้มสวยให้ “เอาเถอะลงมือทานข้าวกันดีกว่านะ”

“หลังจากทานข้าวเช้าแล้วผมจะพาทุกคนไปเดินรอบวัง หากท่านไหนจะอยู่จิบชาที่ห้องรับแขกก็ได้นะครับ”
ท่านชายเชิญชวนหลังจากส่วนใหญ่เริ่มจบลงที่ซุปอุ่นๆที่มีรสชาติอร่อย

“ท่านแมค่ะ หลังอาหารเช้าที่พวกเราจะออกไปกับท่านชาย หมอขออนุญาตพาท่านหญิงมาเรียมออกไปด้วย
พร้อมจีเลาะห์ และฟารีได้ไหมคะ”

“อือ! ดีๆที่เดียวท่านหญิงไม่ค่อยได้ออกไปนัก ไปกันหลายๆคนสนุกดี” ท่านแม่อนุญาต  
ท่านหญิงออกอาการดีใจ เธอเอามือจับมือหมอเติ้ลแล้วเขย่าเบาๆ หมอเติ้ลมองเธอด้วยความสงสาร และแววตาที่อบอุ่น

จีเลาะห์เป็นปลื้มแทนนายหญิง สายตาที่ท่านหมอมองท่านหญิงมีแต่ความเป็นห่วงและหวังดี
เธอจำเหตุการณ์ครั้งไฟไหม้ห้องท่านหญิงได้ หากไม่ได้ท่านหมอ เธอกับท่านหญิงจะเป็นเช่นไร
“ขออัลเลาะห์โปรดทรงคุ้มครองพวกเขา และข้าขอขอบคุณที่ท่านส่งท่านหมอมาดูแลนายข้า”

ท่านชายมองดูท่าทางเอาใจใส่เลื่อนถ้วยซุปให้และช่วยแปลความและบอกว่าใครเป็นใครที่กำลังพูดอยู่
อย่างใส่ใจ เขานึก ”แม้เหตุการณ์ในอดีตจะเจ็บปวดแต่มันผ่านไปแล้ว โชคดีที่ครอบครัวข้าได้ท่านหมอมาดูแลใส่ใจดั่งคนในครอบครัว “ขอบคุณพระผู้เป็นจ้า”

ส่วนมะก็มองดูท่านหญิงอยู่เช่นกัน “ท่านหญิงน่าสงสารนางยังเหมือนดอกไม้แรกแย้ม และเยาว์วัยนัก
ดูลูกสาวตัวก็เอาใจใส่พวกเขาดี และทุกคนก็ดูมีความสุข ”

ก่อนมาที่นี่ มะได้ดูสาระคดีเกี่ยวกับจอร์แดนเขาไปถ่ายให้ดูถึงเมืองเพตรา
ครั้งแรกที่มะเห็นหน้ามหาวิหาร “ทำไมคุ้นตาจัง” แล้วมะก็นึกออกว่าก่อนจะรู้ว่าท้องหมอเติ้ล
ฝันว่ามานั่งหน้ามหาวิหารที่นี่และมีนางๆหนึ่งอุ้มทารกมาส่งให้ นางกล่าวว่า” ข้าฝากพระธิดาด้วยนางเป็นคนสำคัญ เหมาะแล้วที่จะให้ท่านซึ่งเป็นคนดีเลี้ยงดูนาง” แล้วมะก็สะดุ้งตื่นในช่วงใกล้เช้า
ในใจคิดว่าเป็นความฝันที่บ่อยครั้งก็ฝันสะเปะสะปะ ไม่นานมะก็ท้องได้เป้นเด็กผู้หญิงน่ารัก
จนยกให้เป็นลูกบุญธรรมลุงหม่อมแล้วค่อยสบายใจขึ้น ไม่ได้คิดอะไรอีกเลยจนเติ้ลเข้าม.สาม
มะก็ฝันอีกว่า นางที่เคยอุ้มทารกมาให้ มาขอรับเด็กหญิงกลับไป มะร้องให้จนป๋าปลุก และเล่าให้ป๋าฟัง
ป๋าก็ปลอบใจ

มะคิดเพลินจนท่านชาย และพี่รองสังเกตุเห็น “อาหารไม่อร่อยหรือครับ”ท่านชายถาม

พี่รองมองหน้ามะ “เป็นอะไรหรือเปล่าครับมะ”

“ไม่หรอกจ้ะคงเหนื่อยหน่อย เดี๋ยวกินซุปร้อนๆคงดีขึ้นจ้ะ”

หลังอาหารเช้าท่านชายและหมอเติ้ลพากลุ่มที่ไม่ได้อยู่จิบชาที่ห้องรับแขกออกเดินชมรอบๆ
ส่วนที่นั่งจิบชามีแต่ผู้อาวุโส ลุงหม่อมไม่ยอมห่างท่านป้าเลย ทั้งคู่นั่งอยู่ที่โซฟาห่างจากผู้อื่น
แล้วสนทนากันเบาๆ ”เมื่อครั้งที่ผมโทรมาเราคุยกันยาวเรื่องพระธิดา กับท่านขุนศึกอิบราฮิม ผมเล่าส่วนของผมให้ท่านป้าวาลีฟังแล้ว และท่านป้าก็ได้เล่าส่วนที่ท่านรู้ให้ผมฟังแล้ว ผมดูแล้วเรื่องนี้ไม่ได้ห่างตัวหมอเติ้ลและท่านชายอะซันเลย

หากย้อนดูแล้วผมเริ่มจากหมอเติ้ลเข้าม.สามและผมฝันบ่อยๆว่ามีเสียงร่ำให้ของนางๆหนึ่งที่ปลายเท้า
จนผมหาคนแปลได้ว่านางพูดว่าให้พานางกลับสู่นครเพตรา กับเรื่องที่หมอเติ้ลเจอเข้ากับเหตุการณ์
น่ากลัวที่เพตราเอง นางที่เข้ามาโอบหมอไว้ไม่คิดจะทำร้ายเธอ นางโอบหมออย่างนุ่มนวล ขาเข้าสู่มหานคร
ยังมีเสียงแม่นางกระซิบข้างหูว่า “ขอเชิญพระธิดากลับคืนสู่มหานครเพตรา”

“อือ!ข้าก็ได้ยินคร่าวๆจากท่านชาย ข้าตะลึงเมื่อเห็นท่านหมอครั้งแรก
นางมีใบหน้าเหมือนพระธิดามาก ข้าปัดไปโดยคิดว่าอาจจะเป็นความบังเอิญ
แต่ครั้งที่ท่านหมอหรือพระธิดาห้าวหาญกระโดดเข้าไปช่วยหลานชายข้า ที่กลางสนามแข่งโบโล ท่าทางนางมิกลัวสิ่งใดเลย
เสียงนางตวาดใส่ท่านชายฮัสเซนดั่งคนมีศักดิ์และอำนาจ

กับครั้งที่เกิดเหตุอีกครั้งในวันเกิดของท่านหญิงมาเรียม
ท่าทางนางดั่งแม่เสือ เสียงนางตวาดลั่น อย่างไม่กลัวฟ้ากลัวดิน คำพูดที่นางเอ่ย
” เจ้าทำผิดกี่ครั้งกี่หนและโดนลงทันต์หาราบจำไม่ ฟ้าไม่รับนรกปฏิเสธเจ้า หากแม้อีกเพียงครั้งเดียว แม้แต่ผืนดินก็ไม่มีให้เจ้าอยู่”

“ขนาดท่านชายฮัสเซนถือปืนอยู่ยังลนลานจากไป”

ท่านชายอะซันเข้าไปเรียกท่านหมอ ถามว่าเกิดอะไรขึ้น เธอเหมือนคนเพิ่งตื่น ตอบเพียงว่ารู้แต่ได้ทะเลาะกับท่านชายฮัสเซน

“อือ!มันคล้ายเมล็ดพันธุ์ที่ฝั่งลึกอยู่ภายในตัวเธอนับพันๆปี และสิ่งนั้นยังคงอยู่” ลุงหม่อมฟังแล้วรุ้สึกขนลุก เขาสรุปได้เพียงนี้

อีกเรื่องที่ข้าไม่ได้เล่า ข้าเคยเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยจอร์แดน
มีลูกศิษย์มากมาย มีอยู่ท่านหนึ่งที่เป็นหัวหน้าพิพิธภัณท์ ข้าเคยถามเข้าเกี่ยวกับยุคนาบาเทีย
ช่วงที่มหานครเพตรารุ่งเรือง ต่อมาเขาขุดเจอแผ่นหินสลักเป็นภาษาอาหรับโบราณ ได้ศึกษาแล้ว
น่าจะเกี่ยวข้องกับตำนานพระธิดาและท่านขุนศึกอิบราฮิม หลังจากได้รู้จากเขา ข้าจะไปดูกับคนขับรถแล้ว
แต่นึกขึ้นได่ก่อนว่า มีครั้งหนึ่งเมื่อท่านชายยังทรงเยาว์วัย เขาเคยพลัดหลงเข้าไปในนครเพตรา และมีหญิงนางหนึ่งพาเขาออกมาทางด้านหลังของนคร และเอ่ยว่า “ท่านขุนศึก ท่านรออยู่ที่นี่ จะมีคนมาตามท่านเอง”
แล้วนางก็หายไป ทุกคนได้ยินหลานชายข้าเล่า แต่คิดว่าคงเป็นเพราะเหนื่อยและคิดไปเอง

ดังนั้นวันนั้นที่จะไปพิพิธภัณท์ ข้าจึงเรียกหลานชายข้าและไปพร้อมกัน กับ อาดัม และมูซา
เมื่อท่านชายเห็นแผ่นหินนั้น เขาเอ่ยเป็นคำแรกว่า”ข้ารู้สึกคุ้นเคยนัก”
แล้วเขาก็อ่านภาษาอาหรับโบราณออกมาตรงตามที่พิพิธภัณท์ได้ให้ผู้รู้มาแปลเหมือนกันทุกคำ จนเราขนลุกชันแล้วไฟในห้องก็ดับ ไฟฉุกเฉินติดขึ้น ทุกคนมองไปที่หลานข้า ข้างกายเขามีหนุ่มหน้าเหมือนท่านชายอะซันแต่แต่งชุดออกศึก ครู่เดียวไฟก็ติดขึ้น ข้อความในแผ่นหินมีใจความว่า

***ดวงใจข้ามอบจอมนาง
***ตัวข้าต้องห่างออกรบ
***หากแม้มิได้พานพบ
***จงพานางหลบให้พ้นภัย
***แผ่นดินนี้แผ่นดินข้า
***ความหาญกล้ามิกลัวสิ่งสิ้น
***ดวงใจรักแห่งข้าขุนศึก
***ส่วนลึกมอบแก่จอมขวัญ
***แม้แผ่นภูผาจะขวางกั้น
***ใจสองดวงนั้นผูกพันตลอดไป

“โอ้พระเจ้า!” เสียงท่านชายฉัตราทัศน์อุทาน “มันมีที่มาที่ไปอย่างนี้เอง”

“ถูกต้อง สิ่งที่ทั้งสองต้องทำคือปลดปล่อยดวงวิญญาณของแม่นางโซเฟียที่ยังต้องติดอยู่ที่นั่น เพราะนางเป็นผู้รับปากท่านขุนศึก ที่จะรอการกลับมาของเขา แต่ทั้งสองสิ้นใจลงในเวลาไล่ๆกัน นางจึงได้แต่เฝ้ารอ

อีกอย่างหนึ่งที่จะทำให้ภาพต่อนี้สมบูรณ์ได้คือชนเผาเบดุอินที่เป็นต้นตระกูลของชาวนาบาเทีย
พ่อท่านชายและท่านชายอะซันเองรู้จักกับหัวหน้าเผ่าที่ดูแลชนเผ่าในขณะนี้ เขาเป็นพ่อของมูซาและเป็นคนที่ไปค้นจนพบท่านชายเมื่อครั้งที่พลัดหลงกันที่นครเพตรา ท่านพ่อได้ยกท่านชายให้เป็นบุตรบุญธรรมของท่านเซียดพ่อของมูซา


เขาเคยให้ข้าดูสิ่งหนึ่งนานมากแล้ว เพราะบรรพบุรุษเขาเคยทำงานอยู่ในวังกับพระบิดาของพระธิดาอิสลาเบล
เป็นพนักงานบันทึกสิ่งต่างๆไว้ในแผ่นหิน ข้าเคยดู เขาเก็บไว้อย่างดีแต่ครั้งนั้นไม่มีเหตุอันใดที่ข้าสนใจและภาษาโบราณข้าก็อ่านไม่ได้ด้วย”

“นั่นแหละที่จะไขปริศนาทั้งหมดที่เราได้มาทีละชิ้น” ท่านชายฉัตราทัศน์พูดขึ้นเบาๆอย่างคิดคำนึง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่