แนวร่วมมุมกลับ โดย วีรพงษ์ รามางกูร

กระทู้สนทนา
ขณะนี้ก็เป็นที่ทราบกันดีว่าประชาชนคนไทยได้แตกแยกเป็นสองฝักสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งคือคนชั้นสูงและคนชั้นกลางในกรุงเทพฯ อีกฝ่ายหนึ่งคือคนชั้นล่างในภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง รวมทั้งภาคตะวันออก อันนี้เป็นการพูดอย่างรวมๆ แต่จริงๆ แล้วก็มีประชาชนทั้งสองฝ่ายอยู่ในภูมิภาคต่างๆ ทั้งนั้น แม้แต่คนในกรุงเทพฯและคนในต่างจังหวัด

พรรคการเมืองที่ประกาศตัวด้วยการพูดและการกระทำว่าเป็นตัวแทนของผู้คนในฝ่ายแรกคือพรรคประชาธิปัตย์ การจัดการชุมนุมที่กำลังดำเนินอยู่ที่ถนนราชดำเนินก็ดี ที่อื่นๆ ก็ดี ผู้จัดการการชุมนุมก็เป็นผู้นำจากพรรคประชาธิปัตย์ หรือ ผู้สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนผู้ชุมนุมในเขตรอบๆ กรุงเทพฯและผู้ชุมนุมในต่างจังหวัด ก็คือคนของพรรคเพื่อไทยและกลุ่มเสื้อแดงที่เป็นฝ่ายต่อต้านพรรคประชาธิปัตย์

บัดนี้ก็เกิดกลุ่มปัญญาชน ครูอาจารย์มหาวิทยาลัย นิสิต นักศึกษา ที่คิดว่าเป็นกลุ่มที่สาม ใส่ชุดขาวออกมาแสดงตนจุดเทียนเขียนสันติภาพ รวมทั้งอีกกลุ่มหนึ่งที่เรียกตัวเองว่ากลุ่ม 2 เอา 2 ไม่เอา คือเอาการเลือกตั้ง เอาการปฏิรูปการเมือง ไม่เอาปฏิวัติรัฐประหาร ไม่เอาความรุนแรง

กลุ่มที่ 3 แม้จะประกาศว่า ไม่ใช่กลุ่มเสื้อแดง ไม่ใช่พวกเพื่อไทย แต่เนื้อหาก็ใกล้เคียงกับกลุ่มเสื้อแดงและขัดแย้งกับกลุ่มที่ชุมนุมอยู่ที่ถนนราชดำเนินอย่างตรงกันข้าม เพราะกลุ่มที่อยู่ที่ราชดำเนินประกาศไม่เอาการเลือกตั้งอย่างน้อยก็การเลือกตั้งวันที่ 2 ก.พ. 2557 นี้ ให้นายกรัฐมนตรีออกจากการรักษาการ แต่งตั้งนายกฯ "คนดี" ที่เป็นกลาง ซึ่งในขณะนี้ยังไม่ทราบว่าเป็นใคร เป็นนายกฯพระราชทานตามมาตรา 7 และแต่งตั้งสภาประชาชน ซึ่งก็ยังไม่ทราบว่าใครเป็นผู้สรรหามาเป็นสภาประชาชนและคงรวมถึงการร่างรัฐธรรมนูญด้วย

สถานการณ์ขณะนี้จึงเป็นสถานการณ์แย่งชิงประชาชน โดยการโฆษณาประชาสัมพันธ์ด้วยวาทกรรมแปลกๆ ใหม่ๆ ที่อยู่บนพื้นฐานของการปลุกระดม สร้างแนวร่วมของแต่ละฝ่ายให้มีความเกลียดชังระหว่างกัน

การใช้สถาบันที่มีหน้าที่อำนวยความยุติธรรมและหาข้อยุติระหว่างบุคคลก็ดี หรือกลุ่มคนจำนวนมากอย่างสันติให้มาเป็น "เครื่องมือทางการเมือง" อย่างที่ดำเนินอยู่มาเป็นเวลา 6-7 ปีแล้วนั้น เป็น "ความคิดที่ผิด" เพราะเมื่อสถาบันอย่าง "ศาล" และ "ตุลาการ" ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเสียแล้ว ประเทศชาติก็ขาดสถาบันที่จะเป็นเครื่องมือที่จะยุติความขัดแย้งทางการเมืองอย่างสันติวิธี

การยุติความขัดแย้งผ่านขบวนการเลือกตั้ง ผ่านการทำประชามติถูกปฏิเสธจากฝ่ายที่แพ้การเลือกตั้งอย่างซ้ำซาก แล้วหันมาใช้ "การเมืองข้างถนน" หรือ "การเมืองภาคประชาชน" นั้น ควรจะเป็นเพียงการแสดงให้ปรากฏของฝ่ายข้างน้อยว่าไม่เห็นด้วยในประเด็นใดที่เป็นรูปธรรม ไม่ใช่เป็นนามธรรม หรือการเชื้อเชิญให้ "กองทัพ" เข้ามาทำการยุติข้อขัดแย้งด้วย "กำลัง" ด้วย "ปลายปากกระบอกปืน" ซึ่งควรจะมีไว้เพื่อรบกับศัตรูนอกประเทศ

การใช้สถาบันตุลาการเพื่อวัตถุประสงค์ทำลายล้างกันทางการเมือง นอกจากจะสร้างความเสียหายให้กับสถาบันตุลาการเอง ยังทำให้เกิดความเสียหายกับสถาบันการเมืองอื่นๆ รวมทั้งสิ่งที่เป็นนามธรรมทางการเมืองอย่างอื่นที่สังคมยึดถือว่าเป็น "คุณค่าทางการเมืองและสังคม" อย่างรุนแรง จนไม่อาจจะทำการฟื้นฟูเรียกกลับคืนมาได้

ถ้าอ่านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญโดยฝ่ายที่เรียกตนเองว่า "ตุลาการภิวัฒน์" ซึ่งไม่ทราบแปลว่าอะไรแล้ว เนื้อหาสาระที่เขียนยังมี "คุณภาพต่ำ" หรือมี "มาตรฐานต่ำ" เกินกว่าจะเอามาโต้เถียงทั้งในแง่ความถูกต้องของกฎหมาย ทั้งในแง่ศีลธรรม คุณธรรม ประเพณีอันดีงาม ประวัติศาสตร์อันดีงามของ "วงการศาลไทย" ซึ่งสามารถดำรงอยู่ในฐานะนั้นมาเป็นเวลาเกือบศตวรรษครึ่งแล้ว แม้ว่าจะเป็นการกระทำของคนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มเดียวก็อาจจะเสียหายไปทั้งระบบได้

การใช้องค์กรอิสระอื่นๆ เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช. กกต. ศาลปกครอง เป็นเครื่องมือทางการเมือง เพื่อสนับสนุนหรือขจัดกลุ่มการเมืองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง นอกจากจะเป็นการทำลายสถาบันเหล่านั้นเองแล้ว ยังเป็นการทำลายบ้านเมืองด้วย เพราะขบวนการทำลายและสนับสนุนด้วยวิธีนี้ แม้จะว่าจะชนะได้เร็วในระยะสั้นแต่จะพ่ายแพ้ในระยะยาว

ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า คำวินิจฉัยก็ดี คำชี้แจงก็ดี คำให้สัมภาษณ์ของตุลาการที่ครอบไว้ด้วยอคติและอวิชชา ไม่เคารพต่อหลักการการปกครองด้วยกฎหมาย หรือ Rule of Law โดยที่วิญญูชนทั่วไปอ่านดูแล้วหรือฟังดูแล้วย่อมรู้สึกขัดกับมโนธรรมความถูกต้อง เพราะคุณภาพของการเขียนคำวินิจฉัยต่ำมาก ขนาดนิสิตนักศึกษาวิชากฎหมายปีแรกก็น่าจะเขียนได้ดีกว่า หรือถ้าเป็นคำตอบในวิชานี้คงไม่มีอาจารย์คนไหนให้ผ่านได้ จึงไม่แน่ใจว่าคนเหล่านั้นยังสามารถทำใจสอนวิชากฎหมายอยู่ได้อย่างไร

ถ้ามองอีกแง่หนึ่งหรือคิดให้ดีๆ ท่านเหล่านี้กำลังทำตัวเป็น "แนวร่วมมุมกลับ" ให้กับฝ่ายคนเสื้อแดง หรือกำลังทำลาย "ชนชั้น" ที่ตนกำลังทำงานให้ เพราะกำลังผลักดันให้คนที่เคย "ไม่ชอบ" ฝ่ายหนึ่งที่ไม่สามารถยอมรับระบอบการปกครองโดยทหารหรือระบอบการปกครอง โดยคนกลุ่มน้อยหรือคณาธิปไตยในยุคศวรรษที่ 21 นี้ได้

การทำการเกินขอบเขตอำนาจหน้าที่ซ้ำๆ กันครั้งแล้วครั้งเล่า การทำลายความ "ฝัน" ที่จะเห็นประเทศชาติพัฒนาก้าวหน้าให้ทัดเทียมกับประเทศเพื่อนบ้าน การแสดงสติปัญญาที่มีความเขลามีอคติและอวิชชา จะด้วยเป็นเช่นนั้นจริงๆ หรือแกล้งทำก็ดี ย่อมเป็นการผลักดันให้คนที่ยังลังเลหรือคนที่ไม่กล้าแสดงตัวหรือแสดงออกทนไม่ไหว ต้องออกมาแสดงตัวหรือแสดงออกมากขึ้น คนเหล่านี้ถ้าเป็นสมัย "สงครามเย็น" เป็นการต่อสู้ระหว่างค่ายเสรีประชาธิปไตยกับค่ายสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ เขาเรียกกันว่า "แนวร่วมมุมกลับ" แนวร่วมประเภทนี้เป็นโทษกับกลุ่มชนที่ตนสังกัดและทำงานให้ แต่จะเป็นประโยชน์และคุณูปการกับกลุ่มชนที่ตนต่อต้านโดยไม่รู้ตัว

ลองถามชาวบ้าน ไม่ว่าจะเป็นคนขับรถ พนักงานทำความสะอาด หรือชาวบ้านนายทุนน้อยในชุมชนในกรุงเทพฯหรือในหมู่บ้าน หรือแม้แต่ตำรวจชั้นประทวนหรือนายตำรวจชั้นผู้น้อยที่มีความรู้สึกคิดต่อต้านอยู่ในขณะนี้ ล้วนแต่เกิดความรู้สึกต่อต้าน เพราะเห็นความเป็นสองมาตรฐาน หรือความไม่มีมาตรฐานของคำวินิจฉัยของตุลาการภิวัฒน์ ที่ซ้ำแล้วซ้ำอีกทั้งนั้น

ความรู้สึกทาง "ชนชั้น" ก็เพิ่งเกิดขึ้นราวๆ 6-7 ปีมานี้เองว่า ฝ่ายตนถูกรังแก ถูกปฏิบัติอย่างดูหมิ่นเหยียดหยามอย่างไม่เป็นธรรม เรื่องการต่อสู้กันของพรรคการเมืองเป็นเรื่องรอง และมีความเห็นคล้ายๆ กันว่า "สังคมใดที่ความเป็นธรรมไม่มี สังคมนั้นย่อมดำรงอยู่ไม่ได้" ความรู้สึกว่าตนถูกรังแกอย่างไม่เป็นธรรมไม่ว่าจะโดยฝ่ายไหน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร หรือฝ่ายตุลาการ ถ้าทำซ้ำแล้วซ้ำอีกเป็นเวลานาน วันหนึ่งก็จะถึงจุดระเบิด และวันนั้นก็จะเป็นมิคสัญญีของสังคม

สำหรับบางคนที่อาจจะพูดอย่างประชดประชันว่า เราไม่ควรไปทำลาย "แนวร่วม" โดยเฉพาะ "แนวร่วมมุมกลับ" ควรจะเก็บเอาไว้ อย่างมากก็ควรทำแค่วิพากษ์วิจารณ์ ประณาม ไม่ควรจะเกินเลยกว่านั้น เพราะจะเสีย "แนวร่วม" ที่สำคัญไป

การทำลายความ "คาดหวัง" หรือ "expecta tion" ด้วยคำพูดพล่อยๆ ว่า "ควรทำถนนลูกรังให้หมดไปก่อน ค่อยทำโครงการรถไฟความเร็วสูง" การแสดงอคติส่วนตัวบนบัลลังก์ตุลาการเป็นการทำลาย "ความคาดหวัง" ของคนต่างจังหวัดทั้งประเทศ รวมทั้งคนภาคใต้ และอาจจะรวมทั้งคนกรุงเทพฯทุกชนชั้น เป็นวาทะที่ตลกขบขันแต่ก็สร้างความผิดหวังและขมขื่นกับผู้คนทุกชนชั้น ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นใด ผู้คนที่ไม่ผิดหวังขมขื่นก็อาจจะเป็นชนชั้นล่างจริงๆ ที่เขาไม่เคยนึกจะใช้ แต่สำหรับคนชั้นกลางทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดคงจะรู้สึกแปลกๆ และผิดหวังทั้งนั้น

การใช้องค์กรอิสระทั้งหลายเป็นเครื่องมือใน "การทำลาย" โดยคิดว่าเป็น "การปกป้อง" ตนเองของกลุ่มชนชั้นสูง จึงเป็นการเลือกเครื่องมือที่ผิด การใช้กองทัพเป็นเครื่องมือน่าจะเป็นเครื่องมือที่แย่น้อยกว่า เพราะมีความยืดหยุ่นมากกว่า เดินหน้าถอยหลังได้ง่ายกว่าการใช้ "ศาล" หรือ "องค์กรอิสระ" ที่ต้องอำนวยความยุติธรรม มาเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อเอาชนะกันทางการเมือง

หลายคนสงสัยว่าตุลาการเหล่านี้เป็น "ไส้ศึก" ให้กับคนเสื้อแดงหรือเปล่า




ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน แต่เป็นไอเดียน่าสนใจดี
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่