มือต่อมือ เทียนต่อเทียน เขียนเรื่องเล่า #7
เรื่องเล่า #7 จากผู้สงวนนาม (16 ม.ค. 2557)
ความในใจตำรวจชั้นผู้น้อย
ก่อนหน้าวันศุกร์ 10 ม.ค. ที่เราจัดกิจกรรมที่หอศิลป์ฯ ฉันได้รับโทรศัพท์สายหนึ่งบอกว่าเขาเป็นตำรวจชั้นประทวน เห็นข่าวกิจกรรมจุดเทียนเมื่อศุกร์ที่ 3 ม.ค. รู้สึกเห็นด้วยกับการแสดงออกอย่างสันติจึงจัดจุดเทียนที่โรงพักกันเอง แต่ครั้งนี้พวกเขาอยากมาเข้าร่วมกิจกรรมจุดเทียนกับกลุ่มเรา เพราะพวกเขาไม่ไหวแล้ว รู้สึกกดดันมากทั้งในภารกิจและชีวิตการงาน เขาว่าเขาไม่อยากเปิดเผยตัวเพราะเกรงจะกระทบกับกลุ่ม เนื่องด้วยเวลานี้ตำรวจกลายเป็นคู่กรณีหนึ่งของกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส. เขาบอกเราว่าวันนั้นถ้าเห็นคนกลุ่มหนึ่งสวมเสื้อสีขาวสกรีนข้างหลังว่า “พอกันที หยุดการชุมนุมที่สร้างเงื่อนไขไปสู่ความรุนแรง” ก็อนุมานได้ว่าคือกลุ่มตำรวจชั้นประทวนที่มาเข้าร่วมจุดเทียนเขียนสันติภาพที่หอศิลป์ พวกเขาสกรีนเสื้อกันเองเอามาแจกและขอเข้าร่วมในนามปัจเจกไม่อ้างอิงหน่วยงานหรือสังกัดใดทั้งสิ้น
ตำรวจท่านนี้เล่าให้ฟังว่าพวกเขาเป็นตำรวจชั้นประทวนหรือตำรวจชั้นผู้น้อยที่ได้รับคำสั่งให้ปฏิบัติหน้าที่ดูแลกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส. ตั้งแต่การชุมนุมยกระดับขึ้นเรื่อยๆ มีตำรวจถูกทำร้ายมากขึ้นๆ เจ้าหน้าที่ตำรวจในฐานะตัวแทนอำนาจรัฐถูกกระทำเพื่อให้เกิดปัญหา นั่นคือม็อบพยายามสร้างเงื่อนไขเพื่อให้เกิดความรุนแรง ถ้าไปดูวิธีขับเคลื่อนมวลชนจะเริ่มจากการแบ่งเขาแบ่งเราก่อน พอแบ่งเขาแบ่งเราได้แล้วก็มักนำไปสู่ความรุนแรงได้ทุกเมื่อ
เขาเล่าต่อว่า ถ้าสังเกตเหตุรุนแรงในการปะทะระหว่างตำรวจกับผู้ชุมนุม กระสุนนัดแรกๆ ที่มาจากฝั่งม็อบจะถูกตำแหน่งไม่ถึงแก่ชีวิตคือช่วงล่างเช่นขาเป็นต้น เป็นการยิงหวังผลเพื่อสร้างสถานการณ์ สังเกตได้ว่าช่วงแรกๆ ของม็อบไม่มีคนตาย แต่เมื่ออารมณ์คนจุดติดก็จะมีคนถูกยิงเสียชีวิต
เป็นที่รู้กันว่าดาบตำรวจที่เสียชีวิตเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. เป็นตำรวจจราจร เราถามว่าเหตุใดจึงใช้ตำรวจจราจรในการควบคุมฝูงชน นายตำรวจผู้นี้เล่าว่านั่นเพราะกำลังตำรวจไม่พอ กำลังตำรวจมีหลักแสนกว่าคนประจำตามโรงพักต่างๆ ทั่วประเทศ ขณะที่ตำรวจชุดควบคุมฝูงชนมีเพียงหลักร้อยคน ในการชุมนุม กปปส. ครั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้รับคำสั่งให้ระดมตำรวจจากทั่วประเทศมารักษาความสงบเรียบร้อยเนื่องเพราะใน กทม. กำลังตำรวจไม่พอ โดยแต่ละท้องที่ต้องจัดหาตำรวจมาประจำม็อบ เกณฑ์คืออายุต่ำกว่า 45 ปี ส่วนการสับเปลี่ยนกำลังก็ 7 วันบ้าง 15 วันบ้าง ไม่แน่นอนขึ้นกับความหนักเบาของสถานการณ์ และทุกคนได้รับคำสั่งห้ามพกอาวุธมา เพราะถ้าเอาอาวุธมาอาจถูกกล่าวหาได้ทุกเมื่อว่าตำรวจเป็นฝ่ายใช้ความรุนแรง
คำสั่งอันเข้มงวดและข่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจถูกทำร้ายไม่เว้นวันทำให้ไม่มีตำรวจคนไหนอยากมาประจำม็อบ กปปส. นอกจากต้องจากบ้านมาไกลทิ้งลูกเมียและครอบครัวไว้ข้างหลังแล้วยังไม่มีหลักประกันใดๆ ต่อความปลอดภัยในชีวิตด้วย ความเครียดและกดดันหวั่นกลัวส่งให้ตำรวจชั้นประทวนคนหนึ่งใช้อาวุธปืนยิงตัวตายหลังได้รับคำสั่งให้มาควบคุมฝูงชนที่ กทม. ก่อนหน้านั้นนายตำรวจชั้นประทวนผู้นั้นได้เข้าไปกราบเท้าลาแม่ ขอนอนตักแม่ และนอนกับพื้นขอให้แม่ใช้เท้าเหยียบศีรษะขอพรจากแม่ให้ปกป้องคุ้มครองชีวิตด้วย หลังจากนั้นก็ยิงตัวตายด้วยความเครียด
ความกดดันและความเครียดแผ่ซ่านปกคลุมไปทั่ว นี่คือสภาพที่เกิดขึ้นกับชีวิตครอบครัวตำรวจชั้นประทวนเมื่อได้รับคำสั่งให้มาดูแลม็อบนี้ ตัวเขาก็เช่นกัน เขาเล่าว่า “ตอนที่ผมได้รับคำสั่งให้ไปควบคุมฝูงชนที่สนามไทย-ญี่ปุ่นดินแดง แฟนผมร้องไห้เลย กลัวว่าผมจะเป็นอะไรไป”
เราถามว่ามีการฝึกอบรมหรือไม่ก่อนมาควบคุมฝูงชน เขากล่าวว่ามีการฝึกอบรมขั้นตอนควบคุมฝูงชน เริ่มตั้งแต่ 1. การประกาศกำหนดเขต 2. ประกาศเสียงเตือนถ้ามีการรุกล้ำ 3. ใช้วิธีดัน 4. ใช้ปืนฉีดน้ำความดันสูง ซึ่งอันที่จริงก็ไม่มีงบซื้อ ขอไปทางเขตทาง กทม. ก็มักไม่ได้รับความร่วมมือ 5. ใช้แก๊สน้ำตา และขั้นสุดท้ายคือใช้กระสุนยาง ไม่มีการใช้กระสุนจริงเด็ดขาด
“ถ้าฝูงชนไม่มีอาวุธ ตำรวจก็ควบคุมได้แน่นอน แต่สิ่งที่ยึดได้จากที่ชุมนุม เช่นระเบิดปิงปอง ซึ่งได้ทำการทดสอบให้ดูแล้วว่าทำให้ไก่ทั้งตัวกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หรือมีการใช้หัวน็อตยิงมา กระทั่งมีการใช้ประทัดยักษ์พันด้วยเทปดำซึ่งอานุภาพมันก็ระเบิดแสวงเครื่องดีๆ นี่เอง”
ล่าสุดวันนี้ตำรวจ 4 คนถูกทำร้ายที่สะพานหัวช้าง พวกเขาล้วนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้น้อยที่ได้รับคำสั่งให้ลงไปหาข่าวในที่ชุมนุมตามที่ได้รับมอบหมาย
“เวลานี้ผู้ชุมนุมมองตำรวจเป็นศัตรู มองตำรวจเป็นเครื่องมือของรัฐ กลายเป็นศัตรูของมวลชนทั้งหมด แต่ไม่ว่าอย่างไรตำรวจก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ ถ้าเลือกได้ก็ไม่มีใครอยากมา” เขาทิ้งท้ายแทนใจตำรวจชั้นผู้น้อยทุกคน
เรื่องราวอีกหนึ่งเสียงของตำรวจชั้นผู้น้อยที่มาร่วมจุดเทียนเขียนสันติภาพกับกลุ่มพอกันที! ฟังเสียงพวกเขาบ้าง
อ้างอิงข่าวที่เกี่ยวเนื่อง:
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1389098743&grpid&catid=19&subcatid=1906
#แบ่งปันเรื่องเล่า
อ่านเรื่องเล่าอื่นๆ ได้ที่
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=265291590292783&set=a.261378907350718.1073741830.259111500910792&type=1&theater
ความในใจ ตำรวจชั้นผู้น้อย ต่อ การชุมนุม กปปส.
เรื่องเล่า #7 จากผู้สงวนนาม (16 ม.ค. 2557)
ความในใจตำรวจชั้นผู้น้อย
ก่อนหน้าวันศุกร์ 10 ม.ค. ที่เราจัดกิจกรรมที่หอศิลป์ฯ ฉันได้รับโทรศัพท์สายหนึ่งบอกว่าเขาเป็นตำรวจชั้นประทวน เห็นข่าวกิจกรรมจุดเทียนเมื่อศุกร์ที่ 3 ม.ค. รู้สึกเห็นด้วยกับการแสดงออกอย่างสันติจึงจัดจุดเทียนที่โรงพักกันเอง แต่ครั้งนี้พวกเขาอยากมาเข้าร่วมกิจกรรมจุดเทียนกับกลุ่มเรา เพราะพวกเขาไม่ไหวแล้ว รู้สึกกดดันมากทั้งในภารกิจและชีวิตการงาน เขาว่าเขาไม่อยากเปิดเผยตัวเพราะเกรงจะกระทบกับกลุ่ม เนื่องด้วยเวลานี้ตำรวจกลายเป็นคู่กรณีหนึ่งของกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส. เขาบอกเราว่าวันนั้นถ้าเห็นคนกลุ่มหนึ่งสวมเสื้อสีขาวสกรีนข้างหลังว่า “พอกันที หยุดการชุมนุมที่สร้างเงื่อนไขไปสู่ความรุนแรง” ก็อนุมานได้ว่าคือกลุ่มตำรวจชั้นประทวนที่มาเข้าร่วมจุดเทียนเขียนสันติภาพที่หอศิลป์ พวกเขาสกรีนเสื้อกันเองเอามาแจกและขอเข้าร่วมในนามปัจเจกไม่อ้างอิงหน่วยงานหรือสังกัดใดทั้งสิ้น
ตำรวจท่านนี้เล่าให้ฟังว่าพวกเขาเป็นตำรวจชั้นประทวนหรือตำรวจชั้นผู้น้อยที่ได้รับคำสั่งให้ปฏิบัติหน้าที่ดูแลกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส. ตั้งแต่การชุมนุมยกระดับขึ้นเรื่อยๆ มีตำรวจถูกทำร้ายมากขึ้นๆ เจ้าหน้าที่ตำรวจในฐานะตัวแทนอำนาจรัฐถูกกระทำเพื่อให้เกิดปัญหา นั่นคือม็อบพยายามสร้างเงื่อนไขเพื่อให้เกิดความรุนแรง ถ้าไปดูวิธีขับเคลื่อนมวลชนจะเริ่มจากการแบ่งเขาแบ่งเราก่อน พอแบ่งเขาแบ่งเราได้แล้วก็มักนำไปสู่ความรุนแรงได้ทุกเมื่อ
เขาเล่าต่อว่า ถ้าสังเกตเหตุรุนแรงในการปะทะระหว่างตำรวจกับผู้ชุมนุม กระสุนนัดแรกๆ ที่มาจากฝั่งม็อบจะถูกตำแหน่งไม่ถึงแก่ชีวิตคือช่วงล่างเช่นขาเป็นต้น เป็นการยิงหวังผลเพื่อสร้างสถานการณ์ สังเกตได้ว่าช่วงแรกๆ ของม็อบไม่มีคนตาย แต่เมื่ออารมณ์คนจุดติดก็จะมีคนถูกยิงเสียชีวิต
เป็นที่รู้กันว่าดาบตำรวจที่เสียชีวิตเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. เป็นตำรวจจราจร เราถามว่าเหตุใดจึงใช้ตำรวจจราจรในการควบคุมฝูงชน นายตำรวจผู้นี้เล่าว่านั่นเพราะกำลังตำรวจไม่พอ กำลังตำรวจมีหลักแสนกว่าคนประจำตามโรงพักต่างๆ ทั่วประเทศ ขณะที่ตำรวจชุดควบคุมฝูงชนมีเพียงหลักร้อยคน ในการชุมนุม กปปส. ครั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้รับคำสั่งให้ระดมตำรวจจากทั่วประเทศมารักษาความสงบเรียบร้อยเนื่องเพราะใน กทม. กำลังตำรวจไม่พอ โดยแต่ละท้องที่ต้องจัดหาตำรวจมาประจำม็อบ เกณฑ์คืออายุต่ำกว่า 45 ปี ส่วนการสับเปลี่ยนกำลังก็ 7 วันบ้าง 15 วันบ้าง ไม่แน่นอนขึ้นกับความหนักเบาของสถานการณ์ และทุกคนได้รับคำสั่งห้ามพกอาวุธมา เพราะถ้าเอาอาวุธมาอาจถูกกล่าวหาได้ทุกเมื่อว่าตำรวจเป็นฝ่ายใช้ความรุนแรง
คำสั่งอันเข้มงวดและข่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจถูกทำร้ายไม่เว้นวันทำให้ไม่มีตำรวจคนไหนอยากมาประจำม็อบ กปปส. นอกจากต้องจากบ้านมาไกลทิ้งลูกเมียและครอบครัวไว้ข้างหลังแล้วยังไม่มีหลักประกันใดๆ ต่อความปลอดภัยในชีวิตด้วย ความเครียดและกดดันหวั่นกลัวส่งให้ตำรวจชั้นประทวนคนหนึ่งใช้อาวุธปืนยิงตัวตายหลังได้รับคำสั่งให้มาควบคุมฝูงชนที่ กทม. ก่อนหน้านั้นนายตำรวจชั้นประทวนผู้นั้นได้เข้าไปกราบเท้าลาแม่ ขอนอนตักแม่ และนอนกับพื้นขอให้แม่ใช้เท้าเหยียบศีรษะขอพรจากแม่ให้ปกป้องคุ้มครองชีวิตด้วย หลังจากนั้นก็ยิงตัวตายด้วยความเครียด
ความกดดันและความเครียดแผ่ซ่านปกคลุมไปทั่ว นี่คือสภาพที่เกิดขึ้นกับชีวิตครอบครัวตำรวจชั้นประทวนเมื่อได้รับคำสั่งให้มาดูแลม็อบนี้ ตัวเขาก็เช่นกัน เขาเล่าว่า “ตอนที่ผมได้รับคำสั่งให้ไปควบคุมฝูงชนที่สนามไทย-ญี่ปุ่นดินแดง แฟนผมร้องไห้เลย กลัวว่าผมจะเป็นอะไรไป”
เราถามว่ามีการฝึกอบรมหรือไม่ก่อนมาควบคุมฝูงชน เขากล่าวว่ามีการฝึกอบรมขั้นตอนควบคุมฝูงชน เริ่มตั้งแต่ 1. การประกาศกำหนดเขต 2. ประกาศเสียงเตือนถ้ามีการรุกล้ำ 3. ใช้วิธีดัน 4. ใช้ปืนฉีดน้ำความดันสูง ซึ่งอันที่จริงก็ไม่มีงบซื้อ ขอไปทางเขตทาง กทม. ก็มักไม่ได้รับความร่วมมือ 5. ใช้แก๊สน้ำตา และขั้นสุดท้ายคือใช้กระสุนยาง ไม่มีการใช้กระสุนจริงเด็ดขาด
“ถ้าฝูงชนไม่มีอาวุธ ตำรวจก็ควบคุมได้แน่นอน แต่สิ่งที่ยึดได้จากที่ชุมนุม เช่นระเบิดปิงปอง ซึ่งได้ทำการทดสอบให้ดูแล้วว่าทำให้ไก่ทั้งตัวกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หรือมีการใช้หัวน็อตยิงมา กระทั่งมีการใช้ประทัดยักษ์พันด้วยเทปดำซึ่งอานุภาพมันก็ระเบิดแสวงเครื่องดีๆ นี่เอง”
ล่าสุดวันนี้ตำรวจ 4 คนถูกทำร้ายที่สะพานหัวช้าง พวกเขาล้วนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้น้อยที่ได้รับคำสั่งให้ลงไปหาข่าวในที่ชุมนุมตามที่ได้รับมอบหมาย
“เวลานี้ผู้ชุมนุมมองตำรวจเป็นศัตรู มองตำรวจเป็นเครื่องมือของรัฐ กลายเป็นศัตรูของมวลชนทั้งหมด แต่ไม่ว่าอย่างไรตำรวจก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ ถ้าเลือกได้ก็ไม่มีใครอยากมา” เขาทิ้งท้ายแทนใจตำรวจชั้นผู้น้อยทุกคน
เรื่องราวอีกหนึ่งเสียงของตำรวจชั้นผู้น้อยที่มาร่วมจุดเทียนเขียนสันติภาพกับกลุ่มพอกันที! ฟังเสียงพวกเขาบ้าง
อ้างอิงข่าวที่เกี่ยวเนื่อง: http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1389098743&grpid&catid=19&subcatid=1906
#แบ่งปันเรื่องเล่า
อ่านเรื่องเล่าอื่นๆ ได้ที่
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=265291590292783&set=a.261378907350718.1073741830.259111500910792&type=1&theater