ว่าด้วยการอยากวิเวกเข้าป่า

กระทู้คำถาม
ผมอายุย่าง 32 แล้ว นับถือศาสนาพุทธ แต่ก็บอกกับใครๆเสมอว่าผมไม่มีศาสนา
ซึ่งตอนนี้ยังไม่ได้บวชเลย และก็ที่ผ่านมาไม่คิดที่จะบวชด้วย(แต่เคยบวชเณรตอนเด็กๆนะครับ) ธรรมมะก็ศึกษาบ้าง
เคยคิดว่าถ้าจะบวช อยากไปอยู่วัดป่าจนๆ ไม่มีการเมืองของสงฆ์ อยู่แบบสงบๆ แล้วก็บวชไม่สึกไปเลย
แต่คิดไปคิดมา บวชแล้วก็ต้องอยู่ในกรอบในกฎของสงฆ์อีก ยังมีความวุ่นวายอยู่ดี
จึงคิดว่า อยากวิเวกเข้าไปอยู่ในป่า หนีความวุ่นวายจากสังคม (เคยพูดกับแม่ว่า ผมอยากไปเป็นฤาษีในป่า)
ส่วนตัวมีแฟน แต่ยังไม่ได้แต่งงาน และก็ไม่คิดที่จะมีลูก
แต่แฟนอยากมีลูก(แฟนอายุ 30) เพราะว่าอยากให้ผมเปลี่ยนความคิดที่จะวิเวก
ตอนนี้หน้าที่การงานมั่นคงพอสมควร มีหนี้ผ่อนรถอีกประมาณ 150,000 บาท(นินจา 650) และไม่คิดสร้างหนี้สินเพิ่ม (แต่ก็ยังไม่มีเงินเก็บ)
คาดว่าหมดหนี้แล้ว ก็คงจะเก็บเงินหาซื้อที่แปลงเล็กๆใกล้ๆป่า แล้วอยู่จนคืนสู่สามัญ (แต่ก็ไม่ทิ้งงานประจำนะครับ เดี๋ยวไม่มีอะไรกิน)
เคยทบทวนตัวเองเหมือนกันว่าทำไมคิดอย่างนี้
ซึ่งตอนเด็กๆผมเป็นคนค่อนข้างเงียบ มีความคิดเป็นของตนเอง
ชอบเล่นกับสัตว์ อยู่กับสัตว์เลี้ยงมากกว่าการเข้าสังคมเสียอีก
บางครั้งเจอต้นไม้ที่ต้นใหญ่ๆหน่อยจะวิ่งเข้าไปกอด ไปสัมผัสให้เขารู้ว่าเราก็รู้ว่าเขามีชีวิตมีจิตใจ ประมาณนั้น
ตอนอยู่หอพักสมัยทำงานไปด้วยเรียนหนังสือไปด้วยก็เคยเลี้ยงมดดำ (คือมันชอบมากินกาแฟที่ติดก้นแก้ว แล้วผมก็เลี้ยงมันเลย เชื่องมาก)
ขอบอกว่าความพิเศษของมดดำคือ ไม่กัดคน อ่อนโยน บอบบาง และก็ไม่มีมดชนิดอื่นเข้ามาวุ่นวาย
แต่บางครั้งผมก็เคยเขี่ยช้อนกาแฟไปโดนมันตายโดยบังเอิญ (ตายง่ายมาก) แต่ตอนเด็กๆก็เคยฆ่าสัตว์นะครับ
ทุกวันนี้มาทำงานอยู่กับสังคม อยู่กับความขัดแย้ง ใส่หน้ากากเข้าหากันทุกวัน
ซึ่งตอนนี้ผมคิดว่าตอนเด็กๆผมอาจจะอยู่ในกลุ่มของเด็กพิเศษก็เป็นได้ ประเภทย้ำคิดย้ำทำด้วยรึเปล่าไม่แน่ใจ
ลักษณะเป็นคนสุภาพ ผู้หลักผู้ใหญ่รักใคร่ คอยอุปถัมถ์ แค่ไม่ค่อยยอมใคร ถ้าเลือดขึ้นหน้าแล้วถึงไหนถึงกัน (ประมาณว่าแก้ปัญหาด้วยกำลัง)
ตอนเด็กๆจนถึงวันรุ่น มีปัญหาก็ไม่เคยปรึกษาใครเลย มีแต่เคยเล่าให้เพื่อนฟังบ้าง (ไม่เคยมีใครที่น่าปรึกษาด้วยมั้ง)
แต่ก็เอาตัวรอดเรียนจบนิติ จบเนติมาได้
ตอนนี้ก็สับสนอยู่เหมือนกัน คือว่าถ้าจะแกล้งๆบวชไปเหอะ ให้แม่สบายใจ ได้เกาะผ้าเหลือง (แม่มีลูก 2 คน ผมมีพี่สาว 1 คน)
แต่ปัญหาคือ ผมเสแสร้งไม่เป็น ชอบก็คือชอบ ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ และก็ไม่ชอบให้ใครบังคับ
แต่แม่ของผมก็ไม่เคยพูดว่าอยากให้ผมบวชนะครับ คือถ้าเพื่อนบ้านมาถาม ส่วนมากแม่จะบอกว่า ก็แล้วแต่เขา แค่เป็นคนดีก็พอ
ตอนนี้กำลังสับสน
ขอคำแนะนำด้วยครับ
ขอบคุณครับ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 15
การที่เจ้าของกระทู้อยากจะเสพวิเวกในป่านั้นเป็นสิ่งที่ดีครับ ถ้าคุณทำได้ครับ แต่เท่าที่อ่านพิจารณาเห็นว่าตอนนี้ จิตใจของคุณยังมีความสับสนวุ่นวายอยู่ ดังนั้นคิดว่าตอนนี้ยังไม่ควรที่คุณจะไปเสพวิเวก เพราะเนื่องจากการเข้าไปในป่าเสพวิเวก ยิ่งผู้เดียว ไม่ใช่ของง่าย ถ้าคุณเตรียมตัวไม่ดี  หรือปฏิบัติไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสม อาจจะเกิดโทษเป็นอันตรายแก่ตนเองได้มากกว่าที่จะให้ความสงบ เช่น เกิดความวิปลาสขึ้น, เสียชีวิตในป่าเพราะถูกสัตว์ทำร้าย เป็นต้น  

ดังนั้นก่อนอื่นคุณควรที่จะเริ่มต้นเตรียมความพร้อมเสียก่อนครับ โดยอาจเริ่มจากการหา "หลัก" ให้กับใจที่สัดซ่ายของคุณ คำว่า "หลัก" ในที่นี้ ก็คือ "พระพุทธศาสนา" คือ ให้คุณมีศาสนาในใจ นับถือพระรัตนตรัยไว้เป็นที่พึ่งให้ได้เสียก่อน พยายามให้มี  ๔ ประการดังนี้

๑) ศรัทธา ให้มีศรัทธาในพระพุทธเจ้า และในคำสอนของพระพุทธเจ้า ด้วยการพยายามหาเหตุผลอันเป็นประโยชน์ของพระพุทธศาสนาว่าคืออะไร ทำไมเราต้องศรัทธาในพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ามีคุณอย่างไร และจำเป็นอย่างไรที่ต้องนับถือศาสนาพุทธ ต้องปฏิบัติธรรมกันด้วย จุดมุ่งหมายของการปฏิบัติธรรมนับถือศาสนาพุทธคืออะไร เพื่อจะได้มีฉันทะเกิดขึ้นต่อไป และไปได้ถูกทาง ไม่ย้อท้อเวลาที่ปฏิบัติธรรมยามเกิดอุปสรรค์ขึ้น

๒) ศีล ให้พยายามรักษาศีลให้ได้ด้วยสติปัญญา อย่างน้อยศีล ๕ ระลึกให้ได้ว่าแต่ละข้อมีประโยชน์อย่างไร ทำไมเราต้องรักษาศีล ไม่รักษาแล้วมีโทษอย่างไร ข้อนี้มีความสำคัญมาก เนื่องจากเวลาเข้าป่ามีสิ่งหลายอย่างที่สามารถทำร้ายเราได้ ถ้าเรามีศีลดีแล้ว เราย่อมมีเหมือนเกราะป้องกันรักษาเราให้เราพ้นจากอันตรายได้ อีกทั้งเวลาอยู่ในป่าคุณจะได้ไม่ทำอะไรที่ไม่เหมาะสมลงไปเป็นการลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ครับ

๓) จาคะ ให้หมั่นทำทาน รู้จักให้ทาน เสียสละต่อผู้อื่น อุทิศส่วนบุญต่างๆ ข้อนี้จะช่วยให้คุณปอดโปร่ง เวลาไปในป่าก็จะไม่รู้สึกคิดถึงบ้าน หรือทรัพย์สินเงินทองที่ตนเองเคยมี อีกทั้งอานิสงค์ของจาคะและทานจะช่วยให้เวลาไปอยู่ที่ไหนก็จะไม่อดอยาก และเป็นที่รัก เพราะโดยทั่วไปแล้วเวลาเราช่วยเหลือใคร ผู้นั้นย่อมจะไม่อยากให้ผู้ที่ช่วยเหลือตนได้รับอันตราย ย่อมจะช่วยเหลือคุ้มครองเป็นการตอบแทนครับ

๔) ปัญญา ให้หมั่นใช้สติปัญญาเวลากิเลสเกิดขึ้นในใจ พิจารณาให้รู้ทราบตามหลักความเป็นอย่างจริงเท่าที่เราจะทำได้ว่า สิ่งเหล่านั้นไม่ควรที่จะไปยึดติดถือมั่น และเป็นไตรลักษณ์อย่างไรครับ ข้อนี้สำคัญเวลาไปอยู่ป่า เพราะบางทีเราอาจจะเห็นสัตว์ร้าย หรือสิ่งที่ไม่น่าชอบใจ หรือความน่ากลัวต่างๆ ถ้าเรามีสติปัญญา ก็จะเหมือนมีอาวุธ  ที่จะประหัตถ์ประหารกิเลส กำจัดกิเลสได้ ไม่เกิดสติแตก ตะเลิดไป


ยกตัวอย่างการไปอยู่ป่าเสพวิเวกกับหลักธรรมข้างบน ได้แก่ เวลาที่คุณไปปฏิบัติในป่าแต่ผู้เดียวแล้วอยู่ท่ามกลางความมืด เวลาที่คุณนั่งหลับตา ประสาทหูของคุณจะทำงานดีมาก ทั้งๆ ที่คุณไม่อยากได้ยินเสียง แต่คุณกลับได้ยิน เสียงอะไรนิดหนึ่งเกิดขึ้นคุณจะรู้ทันที และคุณก็จะสะดุ้งกลัวได้ ความกลัวจะเกิดขึ้นได้ง่าย ตรงนี้ถ้าคุณมี "ปัญญา" ก็จะข่มมันไว้ได้ พิจารณาให้รู้ว่านี้เป็นการทดสอบระดับจิตใจความแน่วแน่ของเรา สิ่งที่ทำให้เรากลัวนี้เป็นไตรลักษณ์ย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา และถ้าคุณมี "ศรัทธา" ในพระพุทธเจ้า คุณก็จะไม่ยอมแพ้เลิกการปฏิบัติเสีย คุณจะพยายามทำต่อไป เวลาที่คุณไปบิณฑบาตร หรือหาอาหาร ก็จะไม่ขาดแคลน เพราะ "จาคะ" ที่เราทำมาดีแล้ว ย่อมจะมีผู้มาถวายอาหารคุณ คุณจะไม่อดอยาก อีกทั้งบางครั้งเราเกิดบาดเจ็บ จะเป็นจะตายขึ้นมา เราก็จะไม่กลัวเพราะ "ศีล" ที่เรารักษามาดีบริสุทธิ์ กลิ่นย่อมหอมเทวดาย่อมรักษา ถ้าแม้ด้วยวิบากกรรมมาตัดรอนให้เราตายจริงๆ ในป่า จะได้ไม่ต้องกลัวมาก เพราะผู้มีศีลย่อมไปสุขคติไม่ไปตกใปในอบายได้ครับ

ถ้าคุณได้ลองเสพวิเวกในป่า อย่างเตรียมตัวมาข้างต้น อย่างมีหลักธรรม คุณจะมั่นใจและแน่วแน่ การไปเสพวิเวกของคุณในป่า ก็จะไม่เป็นสิ่งน่ากลัว และทำได้จริง จะคุ้มค่า เมื่อนั้นรับรองว่าความสงบจะเกิดขึ้น สมาธิจะก้าวหน้า การปฏิบัติจะดำเนินไปได้ดี แล้วคุณจะเห็นคุณค่าของอยู่ป่าเป็นอย่างมากครับ

ขอให้เจริญในธรรม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่