โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
การเงิน - การลงทุน
วันที่ 15 มกราคม 2557 11:00
"มาร์ค โมเบียส"ยันเดินหน้าลงทุนหุ้นไทยปีนี้ต่อ ไม่หวั่นกระแสผู้ชุมนุมปิดกรุงเทพฯ เนื่องจากมั่นใจพื้นฐานของเศรษฐกิจไทย ยังคงเป็นไปในเชิงบวก
นายมาร์ค โมเบียส ผู้จัดการกองทุนแฟรงคลิน เทมเพิลตัน ได้เริ่มต้นปีใหม่ด้วยการเข้าลงทุนอย่างมากในตลาดหุ้นไทย โดยเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์และพลังงาน
โดยนายโมเบียส ซึ่งบริหารเม็ดเงินราว 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ในกองทุนเทมเพิลตัน เอเชียน โกรท ฟันด์ ซึ่งเป็นกองทุนหุ้นที่ใหญ่ที่สุดของเอเชีย กล่าวกับรอยเตอร์ว่า เขายังคงต้องการลงทุนในประเทศไทย แม้กลุ่มผู้ประท้วงทำการชุมนุมมานาน 2 เดือนเพื่อขับไล่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ออกจากตำแหน่ง
ทั้งนี้ นายโมเบียส ใช้เงินถึง 25% ของสินทรัพย์ในกองทุนเทมเพิลตัน เอเชียน โกรท ฟันด์ ณ สิ้นเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา เพื่อลงทุนในหุ้นไทย
"เราจะยังคงกลับเข้าลงทุนในไทย เพราะสถานการณ์การเมืองจะไม่เหมือนเดิม โดยจะมีการเปลี่ยนแปลงเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอดีต แต่ทิศทางด้านปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยจะยังคงเป็นไปในเชิงบวกอย่างมาก"
ส่วนการลงทุนที่เน้นลงทุนขณะนี้ จะอยู่ในหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์และพลังงาน แบบเดียวกันนี้ซึ่งเคยส่งผลให้กองทุนของเขาประสบภาวะขาดทุนในระดับสูงที่สุดในรอบเกือบ 15 ปีมาแล้ว โดยนักลงทุนถอนเงินลงทุนราว 500 ล้านดอลลาร์ออกจากกองทุนเทมเพิลตัน เอเชียน โกรท ฟันด์ ของเขาในปีที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการไถ่ถอนเงินที่สูงที่สุด นับตั้งแต่ลิปเปอร์เริ่มจัดทำข้อมูลสำหรับกองทุนดังกล่าวในปี 2546 เป็นต้นมา
กองทุนแห่งนี้มียอดขาดทุน 7.8% ในปีที่แล้ว ในขณะที่ดัชนี MSCI สำหรับตลาดหุ้นเอเชีย ยกเว้นญี่ปุ่น พุ่งขึ้น 3.33% และถือเป็นปีที่ 2 ติดต่อกันที่กองทุนแห่งนี้ปรับตัวอ่อนแอกว่าดัชนีดังกล่าว ขณะที่กองทุนประเภทเดียวกันปรับขึ้นเฉลี่ย 2.4% ในปีที่แล้ว
นอกจากนี้ นายโมเบียส ยังคงไม่กังวล และกล่าวว่าเขายังคงมุ่งมั่นที่จะลงทุนในเศรษฐกิจไทย เนื่องจากไทยสามารถรักษาความแข็งแกร่งไว้ได้ดีเมื่อเผชิญกับวิกฤตการณ์ในอดีต
ข้อมูลของลิปเปอร์ระบุว่า ภาวะปั่นป่วนวุ่นวายทางการเมืองมีส่วนทำให้ นักลงทุนต่างชาติถอนเงินลงทุนกว่า 750 ล้านดอลลาร์ออกจากกองทุนหุ้นไทยที่ตั้งอยู่ในต่างประเทศในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา และถอนเงินลงทุนสุทธิ 376 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว หลังจากกองทุนประเภทนี้มียอดเงินไหลเข้าสุทธิ ในปี 2555
สำหรับบรรยากาศการซื้อขายหุ้นไทยวานนี้ (14 ม.ค.) ปรากฏว่า มีแรงซื้อเข้ามาหนุนในหุ้นตัวใหญ่ ส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยวานนี้ ยังคงดีดตัวขึ้นต่อเนื่องจากวันก่อนอีก โดยปิดตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้น 12.31 จุด มาอยู่ที่ระดับ 1295.87 จุด มูลค่าซื้อขาย 35,094.08 ล้านบาท โดยต่างชาติขายสุทธิ 1,528.66 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ 915.85 ล้านบาท ส่วนสถาบันซื้อสุทธิ 1,787.71 ล้านบาท และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 656.84 ล้านบาท
ขณะที่นักค้าเงินจากธนาคารพาณิชย์ กล่าวว่า เงินบาทเทียบดอลลาร์วานนี้ เปิดตลาดทรงๆ ตัวแต่ในช่วงบ่ายปรับตัวแข็งค่ามาเคลื่อนไหวที่ 32.75-32.79 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับแข็งค่าสุดในรอบเกือบ 3 สัปดาห์ คาดเป็นผลจากเงินไหลกลับเข้าตลาดหุ้นไทย และมีแรงซื้อคืนเงินบาทช่วงสั้น หลังการชุมนุมปิดกรุงเทพฯ ยังไม่มีเหตุการณ์รุนแรงอย่างที่กังวล
ส่วนรายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แจ้งว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยปี 2556 ดัชนีปิดที่ 1,298.71 จุด ลดลง 6.70% จากสิ้นปี 2555 โดยปรับลดลงแรงที่สุดเป็นอันดับ 2 ในเอเชีย รองจากตลาดหุ้นจีน ที่ปรับลดลง 7.65% และปรับลดลงต่ำสุดในอาเซียน ขณะที่มีผลตอบแทนการลงทุนต่ำกว่าตลาดหุ้นในกลุ่มบริค (BRIC) คือ บราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน ซึ่งระหว่างปีดัชนีมีจุดสูงสุดที่ 1,643.43 จุด (21 พ.ค.2556) และมีจุดต่ำสุดที่ 1,275.76 จุด (28 ส.ค.2556)
ส่วนเดือนธ.ค. 2556 ดัชนีหุ้นไทยลดลง 5.28% เมื่อเทียบกับสิ้นเดือนก่อนหน้า และเป็นการปรับลดลงแรงที่สุดในภูมิภาค อันดับ 2 คือ ฟิลิปปินส์ ปรับลดลง 5.14% ตามมาด้วยตลาดหุ้นจีนปรับลดลง 4.47% ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 2.85 หมื่นล้านบาท ลดลง 25.48% จากเดือนก่อน ส่วนตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้ามีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 56,642 สัญญา เพิ่มขึ้น 11.69% จากเดือนก่อน
"นับแต่ช่วงกลางปี 2556 มีสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ ญี่ปุ่น และยุโรป จึงมีส่วนทำให้ผู้ลงทุนกลับไปให้ความสนใจลงทุนในตลาดพัฒนาแล้วมากขึ้น ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจไทยซึ่งเติบโตในอัตราที่ลดลง ประกอบกับมีความไม่แน่นอนทางการเมืองตลอดช่วงครึ่งหลังของปี กระทบต่อโครงการลงทุนภาครัฐและการขยายตัวของเศรษฐกิจในระยะสั้น ส่งผลให้ ณ สิ้นปี 2556 ตลาดหลักทรัพย์ไทยปรับลดลง"
ภาพรวมดัชนีหุ้นรายอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2555 มีเพียงกลุ่มเทคโนโลยีที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับการลงทุนของนักลงทุนที่ซื้อขายหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และหมวดเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความคืบหน้าของโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของรัฐ และโครงข่าย 3 จี
โดยปี 2556 พบว่า สัดส่วนการลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีและการสื่อสารเพิ่มขึ้นเป็น 18% จากเดิมอยู่ที่ 14% ส่วนสัดส่วนการลงทุนในพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็น 17% จากเดิมอยู่ที่ 11% ขณะที่การลงทุนกลุ่มธนาคารลดลงจาก 19% เหลือ 17% กลุ่มพลังงานลดลงจาก 16% เหลือ 11% กลุ่มอาหารและเครื่องดื่มลดลงจาก 7% เหลือ 4% กลุ่มปิโตรเคมีลดลงจาก 6% เหลือ 3% เป็นต้น
ส่วนมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (มาร์เก็ตแคป) สิ้นปี 2556 อยู่ที่ 11.49 ล้านล้านบาท ลดลง 2.83% จากสิ้นปีก่อน ตามทิศทางดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ส่วนของตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (MAI) อยู่ที่ 1.77 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.34% จากสิ้นปีก่อน จากการมีจำนวนบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่เพิ่มขึ้นมาก
ขณะที่คาดการณ์อัตราราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (ฟอร์เวิร์ด พีอี) ของตลาดหลักทรัพย์อยู่ 13.36 เท่า ลดลงจาก 15.55 เท่า ในสิ้นปีก่อน แต่ยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาค ซึ่งอยู่ที่ 13.62 เท่า สำหรับเอ็ม เอ ไอ อยู่ที่ 21.24 เท่า เพิ่มขึ้นจาก 15.60 เท่า ในสิ้นปีก่อนและมีอัตราเงินปันผลตอบแทนของตลาดหลักทรัพย์ และ เอ็ม เอ ไอ เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อนหน้า โดยอยู่ที่ 3.42% และ 1.80% ตามลำดับ
ด้านการระดมทุนในปี 2556 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และตลาด เอ็มเอไอ มีการระดมทุนรวม 339,891 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.69% จากปีก่อน โดยเป็นการระดมทุนในตลาดแรก 191,600 ล้านบาท จาก 31 บริษัท และ 7 กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่มีการระดมทุนในตลาดรอง 148,291 ล้านบาท
มาร์คโมเบียสลุยหุ้นไทย เมินชัตดาวน์กรุง
การเงิน - การลงทุน
วันที่ 15 มกราคม 2557 11:00
"มาร์ค โมเบียส"ยันเดินหน้าลงทุนหุ้นไทยปีนี้ต่อ ไม่หวั่นกระแสผู้ชุมนุมปิดกรุงเทพฯ เนื่องจากมั่นใจพื้นฐานของเศรษฐกิจไทย ยังคงเป็นไปในเชิงบวก
นายมาร์ค โมเบียส ผู้จัดการกองทุนแฟรงคลิน เทมเพิลตัน ได้เริ่มต้นปีใหม่ด้วยการเข้าลงทุนอย่างมากในตลาดหุ้นไทย โดยเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์และพลังงาน
โดยนายโมเบียส ซึ่งบริหารเม็ดเงินราว 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ในกองทุนเทมเพิลตัน เอเชียน โกรท ฟันด์ ซึ่งเป็นกองทุนหุ้นที่ใหญ่ที่สุดของเอเชีย กล่าวกับรอยเตอร์ว่า เขายังคงต้องการลงทุนในประเทศไทย แม้กลุ่มผู้ประท้วงทำการชุมนุมมานาน 2 เดือนเพื่อขับไล่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ออกจากตำแหน่ง
ทั้งนี้ นายโมเบียส ใช้เงินถึง 25% ของสินทรัพย์ในกองทุนเทมเพิลตัน เอเชียน โกรท ฟันด์ ณ สิ้นเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา เพื่อลงทุนในหุ้นไทย
"เราจะยังคงกลับเข้าลงทุนในไทย เพราะสถานการณ์การเมืองจะไม่เหมือนเดิม โดยจะมีการเปลี่ยนแปลงเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอดีต แต่ทิศทางด้านปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยจะยังคงเป็นไปในเชิงบวกอย่างมาก"
ส่วนการลงทุนที่เน้นลงทุนขณะนี้ จะอยู่ในหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์และพลังงาน แบบเดียวกันนี้ซึ่งเคยส่งผลให้กองทุนของเขาประสบภาวะขาดทุนในระดับสูงที่สุดในรอบเกือบ 15 ปีมาแล้ว โดยนักลงทุนถอนเงินลงทุนราว 500 ล้านดอลลาร์ออกจากกองทุนเทมเพิลตัน เอเชียน โกรท ฟันด์ ของเขาในปีที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการไถ่ถอนเงินที่สูงที่สุด นับตั้งแต่ลิปเปอร์เริ่มจัดทำข้อมูลสำหรับกองทุนดังกล่าวในปี 2546 เป็นต้นมา
กองทุนแห่งนี้มียอดขาดทุน 7.8% ในปีที่แล้ว ในขณะที่ดัชนี MSCI สำหรับตลาดหุ้นเอเชีย ยกเว้นญี่ปุ่น พุ่งขึ้น 3.33% และถือเป็นปีที่ 2 ติดต่อกันที่กองทุนแห่งนี้ปรับตัวอ่อนแอกว่าดัชนีดังกล่าว ขณะที่กองทุนประเภทเดียวกันปรับขึ้นเฉลี่ย 2.4% ในปีที่แล้ว
นอกจากนี้ นายโมเบียส ยังคงไม่กังวล และกล่าวว่าเขายังคงมุ่งมั่นที่จะลงทุนในเศรษฐกิจไทย เนื่องจากไทยสามารถรักษาความแข็งแกร่งไว้ได้ดีเมื่อเผชิญกับวิกฤตการณ์ในอดีต
ข้อมูลของลิปเปอร์ระบุว่า ภาวะปั่นป่วนวุ่นวายทางการเมืองมีส่วนทำให้ นักลงทุนต่างชาติถอนเงินลงทุนกว่า 750 ล้านดอลลาร์ออกจากกองทุนหุ้นไทยที่ตั้งอยู่ในต่างประเทศในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา และถอนเงินลงทุนสุทธิ 376 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว หลังจากกองทุนประเภทนี้มียอดเงินไหลเข้าสุทธิ ในปี 2555
สำหรับบรรยากาศการซื้อขายหุ้นไทยวานนี้ (14 ม.ค.) ปรากฏว่า มีแรงซื้อเข้ามาหนุนในหุ้นตัวใหญ่ ส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยวานนี้ ยังคงดีดตัวขึ้นต่อเนื่องจากวันก่อนอีก โดยปิดตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้น 12.31 จุด มาอยู่ที่ระดับ 1295.87 จุด มูลค่าซื้อขาย 35,094.08 ล้านบาท โดยต่างชาติขายสุทธิ 1,528.66 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ 915.85 ล้านบาท ส่วนสถาบันซื้อสุทธิ 1,787.71 ล้านบาท และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 656.84 ล้านบาท
ขณะที่นักค้าเงินจากธนาคารพาณิชย์ กล่าวว่า เงินบาทเทียบดอลลาร์วานนี้ เปิดตลาดทรงๆ ตัวแต่ในช่วงบ่ายปรับตัวแข็งค่ามาเคลื่อนไหวที่ 32.75-32.79 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับแข็งค่าสุดในรอบเกือบ 3 สัปดาห์ คาดเป็นผลจากเงินไหลกลับเข้าตลาดหุ้นไทย และมีแรงซื้อคืนเงินบาทช่วงสั้น หลังการชุมนุมปิดกรุงเทพฯ ยังไม่มีเหตุการณ์รุนแรงอย่างที่กังวล
ส่วนรายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แจ้งว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยปี 2556 ดัชนีปิดที่ 1,298.71 จุด ลดลง 6.70% จากสิ้นปี 2555 โดยปรับลดลงแรงที่สุดเป็นอันดับ 2 ในเอเชีย รองจากตลาดหุ้นจีน ที่ปรับลดลง 7.65% และปรับลดลงต่ำสุดในอาเซียน ขณะที่มีผลตอบแทนการลงทุนต่ำกว่าตลาดหุ้นในกลุ่มบริค (BRIC) คือ บราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน ซึ่งระหว่างปีดัชนีมีจุดสูงสุดที่ 1,643.43 จุด (21 พ.ค.2556) และมีจุดต่ำสุดที่ 1,275.76 จุด (28 ส.ค.2556)
ส่วนเดือนธ.ค. 2556 ดัชนีหุ้นไทยลดลง 5.28% เมื่อเทียบกับสิ้นเดือนก่อนหน้า และเป็นการปรับลดลงแรงที่สุดในภูมิภาค อันดับ 2 คือ ฟิลิปปินส์ ปรับลดลง 5.14% ตามมาด้วยตลาดหุ้นจีนปรับลดลง 4.47% ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 2.85 หมื่นล้านบาท ลดลง 25.48% จากเดือนก่อน ส่วนตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้ามีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 56,642 สัญญา เพิ่มขึ้น 11.69% จากเดือนก่อน
"นับแต่ช่วงกลางปี 2556 มีสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ ญี่ปุ่น และยุโรป จึงมีส่วนทำให้ผู้ลงทุนกลับไปให้ความสนใจลงทุนในตลาดพัฒนาแล้วมากขึ้น ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจไทยซึ่งเติบโตในอัตราที่ลดลง ประกอบกับมีความไม่แน่นอนทางการเมืองตลอดช่วงครึ่งหลังของปี กระทบต่อโครงการลงทุนภาครัฐและการขยายตัวของเศรษฐกิจในระยะสั้น ส่งผลให้ ณ สิ้นปี 2556 ตลาดหลักทรัพย์ไทยปรับลดลง"
ภาพรวมดัชนีหุ้นรายอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2555 มีเพียงกลุ่มเทคโนโลยีที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับการลงทุนของนักลงทุนที่ซื้อขายหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และหมวดเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความคืบหน้าของโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของรัฐ และโครงข่าย 3 จี
โดยปี 2556 พบว่า สัดส่วนการลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีและการสื่อสารเพิ่มขึ้นเป็น 18% จากเดิมอยู่ที่ 14% ส่วนสัดส่วนการลงทุนในพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็น 17% จากเดิมอยู่ที่ 11% ขณะที่การลงทุนกลุ่มธนาคารลดลงจาก 19% เหลือ 17% กลุ่มพลังงานลดลงจาก 16% เหลือ 11% กลุ่มอาหารและเครื่องดื่มลดลงจาก 7% เหลือ 4% กลุ่มปิโตรเคมีลดลงจาก 6% เหลือ 3% เป็นต้น
ส่วนมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (มาร์เก็ตแคป) สิ้นปี 2556 อยู่ที่ 11.49 ล้านล้านบาท ลดลง 2.83% จากสิ้นปีก่อน ตามทิศทางดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ส่วนของตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (MAI) อยู่ที่ 1.77 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.34% จากสิ้นปีก่อน จากการมีจำนวนบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่เพิ่มขึ้นมาก
ขณะที่คาดการณ์อัตราราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (ฟอร์เวิร์ด พีอี) ของตลาดหลักทรัพย์อยู่ 13.36 เท่า ลดลงจาก 15.55 เท่า ในสิ้นปีก่อน แต่ยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาค ซึ่งอยู่ที่ 13.62 เท่า สำหรับเอ็ม เอ ไอ อยู่ที่ 21.24 เท่า เพิ่มขึ้นจาก 15.60 เท่า ในสิ้นปีก่อนและมีอัตราเงินปันผลตอบแทนของตลาดหลักทรัพย์ และ เอ็ม เอ ไอ เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อนหน้า โดยอยู่ที่ 3.42% และ 1.80% ตามลำดับ
ด้านการระดมทุนในปี 2556 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และตลาด เอ็มเอไอ มีการระดมทุนรวม 339,891 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.69% จากปีก่อน โดยเป็นการระดมทุนในตลาดแรก 191,600 ล้านบาท จาก 31 บริษัท และ 7 กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่มีการระดมทุนในตลาดรอง 148,291 ล้านบาท