ชีวิตของนักเขียน(เล็ก ๆ) คนหนึ่ง
เส้นทางของนักเขียน(คนหนึ่ง)
“ เจียวต้าย “
โดยอาชีพผมเป็นทหาร เริ่มจากการเป็นพลทหารกองประจำการ เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๗ เป็นนักเรียนนายสิบ พ.ศ.๒๔๙๘ เป็นนายสิบ พ.ศ.๒๔๙๙ เป็นอยู่กว่าสิบปีก็สอบเลื่อนขึ้นเป็นนายทหารได้เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๑ และเป็นทหารต่อมาจนกระทั่งได้ยศพันเอก เมื่อ พ.ศ.๒๕๓๓ และเกษียณอายุราชการ พ.ศ.๒๕๓๕ นับว่าได้ประสบความสำเร็จในอาชีพเป็นอย่างดี
หลังจากเกษียณแล้ว มีคนชอบเรียกผมว่าผู้การ ผมก็ขอร้องว่าผมไม่ได้เป็นผู้การ เพราะผมไม่เคยปกครองบังคับบัญชาทหารเลย ไม่ว่าจะเป็นระดับ หมู่ หมวด กองร้อย และกองพัน ผมเป็นทหารเสมียน นั่งโต๊ะตัวเดียวตั้งแต่เป็นนายสิบ จนเป็นพันโท อยู่ร่วมสามสิบปี ไม่เคยเปลี่ยนโต๊ะ ผมจึงมีดินสอปากกาหรือเครื่องพิมพ์ดีด และคอมพิวเตอร์เป็นอาวุธ เขียนแต่หนังสือทุกวัน ซึ่งผมไม่เคยเบื่อ
เพราะผมรักการเขียนมาตั้งแต่ยังไม่จบมัธยมศึกษา เมื่อออกจากโรงเรียนวัดสมอราย โดยไม่จบ ม.๖ แล้ว ผมก็ลงมือเขียนหนังสือประเภทเรื่องสั้น ส่งไปยังสำนักพิมพ์ต่าง ๆ จนได้ลงพิมพ์เป็นครั้งแรก ในนิตยสาร โบว์แดง เมื่อเดือนตุลาคม ๒๔๙๑ ได้รับเงินค่าเรื่องยี่สิบบาท จึงมีกำลังใจที่จะเขียนต่อไปอีกสิบปี มีผลงานลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ รายวัน รายทศ รายสัปดาห์ รายปักษ์ รายเดือน มากกว่า ๒๐ ชื่อ เป็นจำนวนกว่า ๕๐ ชิ้น แต่ไม่มีชื่อเสียง ไม่มีใครรู้จัก และไม่มีรายได้จากการเขียน เป็นกอบเป็นกำพอที่จะเรียกว่าเป็นนักเขียนอาชีพได้
ในระยะก่อนเป็นทหารนั้น ผมเขียนหนังสืออยู่ตลอดเวลา แล้วก็ส่งไปให้หนังสือพิมพ์ฉบับต่าง ส่งไปแล้วก็คอยพลิกดูตามแผงหนังสือว่า เขาลงให้หรือยัง ถ้าได้ลงพิมพ์ก็ดีใจรีบซื้อมาเก็บไว้เป็นที่ระลึก แล้วก็รีบส่งเรื่องใหม่ไปให้ แล้วก็รอคอยเป็นวัฏจักรไปตลอดเดือน ตลอดปี ด้วยความอดทน เมื่อถึง พ.ศ.๒๕๐๑ ก็หมดแรงหมดกำลังใจ และได้เป็นทหารแล้ว ผมจึงเลิกส่งไปให้หนังสือพิมพ์อื่น คงเขียนส่งไปให้เฉพาะหนังสือของทหาร คือ เสนาสาร แฟนสัมพันธ์ และ วปถ.ปริทรรศน์ กับทหารสื่อสาร ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๐๓ จนเขาเลิกกิจการไปหมด เว้นแต่ เสนาสาร ที่มีการปรับปรุงใหม่ จึงเหลือแต่ ทหารสื่อสารเพียงแห่งเดียว
ต่อมาเมื่อถึง พ.ศ.๒๕๑๘ ท่านบรรณาธิการก็เรียกไปคุยด้วย และชักชวนให้เข้าไปอยู่ในกองบรรณาธิการ แต่บังเอิญหนังสือฉบับนี้หยุดดำเนินกิจการไปก่อน ปีถัดมาเมื่อเริ่มดำเนินการใหม่ตามแผนการปรับปรุง ผมก็ได้มีชื่ออยู่ในกองบรรณาธิการสมใจอยาก แต่บรรณาธิการไม่ใช่ท่านที่ชวนผมเสียแล้ว
ผมประจำกองบรรณาธิการ อยู่อีกสิบกว่าปี จึงได้เลื่อนขึ้นเป็นผู้ช่วยบรรณาธิการตามตำแหน่ง และทำหน้าที่นี้อยู่จนกระทั่งเกษียณอายุราชการ ผมจึงมีข้อเขียนอยู่ในนิตยสารทหารสื่อสาร ระหว่างการเป็นทหารประมาณร้อยกว่าชิ้น และใช้นามปากกามากกว่าสิบชื่อ
พอมาเป็นทหารนอกราชการ ผมก็ลงมือเขียนหนังสือเป็นงานหลัก โดยจับเอาวรรณคดีเรื่องสามก๊ก มาย่อยให้เป็น สามก๊กฉบับลิ่วล้อ ส่งไปลงพิมพ์ในวารสารของทหารเหล่าต่าง ๆ ทั้งในและนอกกองทัพบก ทั้งทหารราบ ทหารม้า ทหารปืนใหญ่ ทหารช่าง ทหารสรรพาวุธ รักษาดินแดน ยุทธโกษ เสนาสาร หลักเมือง กับนิตยสารที่อยู่นอกวงการทหาร คือ สยามอารยะ ของสยามสมาคม ฯ นิตยสารโล่เงิน ในวงการตำรวจ เขียนอยู่ร้อยกว่าตอน จนถึง พ.ศ.๒๕๔๑ ครบห้าสิบปีของการเขียนหนังสือ สามก๊กฉบับลิ่วล้อ จึงได้รับการพิมพ์รวมเล่ม จากสำนักพิมพ์ประพันธ์ สาส์น เป็นครั้งแรก ซึ่งพอจะเรียกได้ว่าเป็นนักเขียนอาชีพแล้ว
ในขณะเดียวกันก็ได้ย่อยเรื่องจีนอื่น ๆ ทยอยลงพิมพ์ในหนังสือ โล่เงิน รายเดือน ซึ่งเป็นหนังสือที่อยู่ในวงการตำรวจ จนถึง พ.ศ.๒๕๔๔ เรื่องจีนชื่อ ซ้องกั๋ง …ขุนโจรแห่งเขาเนียซัวเปาะ จึงได้รับการพิมพ์จากสำนักพิมพ์ประพันสาส์น ในชื่อ ซ้องกั๋ง..วีรบุรุษแห่งเขาเหลียงซาน เป็นครั้งที่สองในชีวิต
ในระหว่างนั้นก็ได้เขียนเรื่องประเภทต่าง ๆ ส่งไปลงพิมพ์เป็นประจำในนิตยสาร โล่เงิน รายเดือน วารสาร ฟ้าหม่น รายสองเดือนของเหล่าทหารม้า จังหวัดสระบุรี นิตยสารทหารปืนใหญ่ รายสามเดือน จังหวัดลพบุรี วารสารของกองพลทหารม้าที่ ๑ รายสี่เดือน จังหวัดเพชรบูรณ์ และนิตยสารทหารสื่อสาร รายปี กับนิตยสารเก่าแก่ ต่วยตูน รายปักษ์ เป็นครั้งคราวตามแต่โอกาส ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๔๑
จนถึง มีนาคม ๒๕๔๖ บรรณาธิการนิตยสารต่วยตูน จึงเชิญไปพบปะสังสรรค์เพื่อทำความรู้จัก และรับไว้เป็นนักเขียนประจำ ซึ่งจะทำให้มีผลงานในนิตยสารฉบับนี้ถี่ขึ้น และได้รับค่าตอบแทนตามมาตรฐาน ของวงการหนังสือพิมพ์ในประเทศไทย ซึ่งก็ได้มีข้อเขียนลงพิมพ์ภายใต้ ปากกาถึง ๖ ชื่อ คือ “ เพทาย “ ในฉากชีวิต “เล่าเซี่ยงชุน “ ใน ปกิณกะสามก๊ก“ เทพารักษ์ “ ใน บันทึกของคนเดินเท้า ฑ.มณฑา ใน คุ้ยวรรณคดี และ พ.สมานคุรุกรรม ในย้อนอดีต “วชิรพักตร์” ในความหลังริมคลองเปรม และ ความหลังโคนต้นไทร
แต่พอถึงปลายปี พ.ศ.๒๕๔๗ บรรณาธิการคงจะเบื่อ เรื่องของผมจึงค้างคาอยู่หลายเรื่อง และผมก็เพลาการหาเรื่องมาเขียนเหมือนกัน เพราะอายุเกิน ๖ รอบ ๗๒ ปีแล้ว คงเหลือเส้นทางที่จะเสนอผลงานได้อีกเพียงสามแห่ง คือ ฟ้าหม่น รายเดือน กองพลทหารม้าที่ ๑ รายสามเดือน และข่าวทหารอากาศ รายเดือน เท่านั้น
ส่วนเรื่องที่ได้รับการรวมเล่ม ก็ได้มีเพิ่มขึ้นอีก ๕ เรื่อง คือ นักรบสองแผ่นดิน อวสานสามก๊ก ปกิณกะสามก๊ก เปาบุ้นจิ้นผู้ทรงความยุติธรรม ในนามปากกา “เล่าเซี่ยงชุน” และบุญคุณต้องทดแทนความแค้นต้องอภัย ของ “เจียวต้าย”
บังเอิญในปีถัดมาก็ได้รู้จักอินเตอร์เนต และเวปไซท์ พันทิป คอม คาเฟ จึงขนเอาเรื่องในสต็อคมาวางให้สมาชิกได้อ่านกันอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งถึงบัดนี้ และได้มีความรู้ในการสร้างบล็อก ซึ่งเปรียบเหมือนห้องเก็บเอกสารส่วนตัว ที่จะอยู่อย่างยั่งยืนถาวรต่อไปในเวปไซท์นี้
จึงขอฝากข้อเขียนของเจียวต้าย ในนามปากกาทั้งหลายข้างต้นนั้นไว้ เพราะไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ในบรรณพิภพอันกว้างขวาง และลึกซึ้งประดุจห้วงมหรรณพนี้.
##############
ชีวิตของนักเขียน(เล็ก ๆ) คนหนึ่ง ๑๕ ม.ค.๕๗
เส้นทางของนักเขียน(คนหนึ่ง)
“ เจียวต้าย “
โดยอาชีพผมเป็นทหาร เริ่มจากการเป็นพลทหารกองประจำการ เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๗ เป็นนักเรียนนายสิบ พ.ศ.๒๔๙๘ เป็นนายสิบ พ.ศ.๒๔๙๙ เป็นอยู่กว่าสิบปีก็สอบเลื่อนขึ้นเป็นนายทหารได้เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๑ และเป็นทหารต่อมาจนกระทั่งได้ยศพันเอก เมื่อ พ.ศ.๒๕๓๓ และเกษียณอายุราชการ พ.ศ.๒๕๓๕ นับว่าได้ประสบความสำเร็จในอาชีพเป็นอย่างดี
หลังจากเกษียณแล้ว มีคนชอบเรียกผมว่าผู้การ ผมก็ขอร้องว่าผมไม่ได้เป็นผู้การ เพราะผมไม่เคยปกครองบังคับบัญชาทหารเลย ไม่ว่าจะเป็นระดับ หมู่ หมวด กองร้อย และกองพัน ผมเป็นทหารเสมียน นั่งโต๊ะตัวเดียวตั้งแต่เป็นนายสิบ จนเป็นพันโท อยู่ร่วมสามสิบปี ไม่เคยเปลี่ยนโต๊ะ ผมจึงมีดินสอปากกาหรือเครื่องพิมพ์ดีด และคอมพิวเตอร์เป็นอาวุธ เขียนแต่หนังสือทุกวัน ซึ่งผมไม่เคยเบื่อ
เพราะผมรักการเขียนมาตั้งแต่ยังไม่จบมัธยมศึกษา เมื่อออกจากโรงเรียนวัดสมอราย โดยไม่จบ ม.๖ แล้ว ผมก็ลงมือเขียนหนังสือประเภทเรื่องสั้น ส่งไปยังสำนักพิมพ์ต่าง ๆ จนได้ลงพิมพ์เป็นครั้งแรก ในนิตยสาร โบว์แดง เมื่อเดือนตุลาคม ๒๔๙๑ ได้รับเงินค่าเรื่องยี่สิบบาท จึงมีกำลังใจที่จะเขียนต่อไปอีกสิบปี มีผลงานลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ รายวัน รายทศ รายสัปดาห์ รายปักษ์ รายเดือน มากกว่า ๒๐ ชื่อ เป็นจำนวนกว่า ๕๐ ชิ้น แต่ไม่มีชื่อเสียง ไม่มีใครรู้จัก และไม่มีรายได้จากการเขียน เป็นกอบเป็นกำพอที่จะเรียกว่าเป็นนักเขียนอาชีพได้
ในระยะก่อนเป็นทหารนั้น ผมเขียนหนังสืออยู่ตลอดเวลา แล้วก็ส่งไปให้หนังสือพิมพ์ฉบับต่าง ส่งไปแล้วก็คอยพลิกดูตามแผงหนังสือว่า เขาลงให้หรือยัง ถ้าได้ลงพิมพ์ก็ดีใจรีบซื้อมาเก็บไว้เป็นที่ระลึก แล้วก็รีบส่งเรื่องใหม่ไปให้ แล้วก็รอคอยเป็นวัฏจักรไปตลอดเดือน ตลอดปี ด้วยความอดทน เมื่อถึง พ.ศ.๒๕๐๑ ก็หมดแรงหมดกำลังใจ และได้เป็นทหารแล้ว ผมจึงเลิกส่งไปให้หนังสือพิมพ์อื่น คงเขียนส่งไปให้เฉพาะหนังสือของทหาร คือ เสนาสาร แฟนสัมพันธ์ และ วปถ.ปริทรรศน์ กับทหารสื่อสาร ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๐๓ จนเขาเลิกกิจการไปหมด เว้นแต่ เสนาสาร ที่มีการปรับปรุงใหม่ จึงเหลือแต่ ทหารสื่อสารเพียงแห่งเดียว
ต่อมาเมื่อถึง พ.ศ.๒๕๑๘ ท่านบรรณาธิการก็เรียกไปคุยด้วย และชักชวนให้เข้าไปอยู่ในกองบรรณาธิการ แต่บังเอิญหนังสือฉบับนี้หยุดดำเนินกิจการไปก่อน ปีถัดมาเมื่อเริ่มดำเนินการใหม่ตามแผนการปรับปรุง ผมก็ได้มีชื่ออยู่ในกองบรรณาธิการสมใจอยาก แต่บรรณาธิการไม่ใช่ท่านที่ชวนผมเสียแล้ว
ผมประจำกองบรรณาธิการ อยู่อีกสิบกว่าปี จึงได้เลื่อนขึ้นเป็นผู้ช่วยบรรณาธิการตามตำแหน่ง และทำหน้าที่นี้อยู่จนกระทั่งเกษียณอายุราชการ ผมจึงมีข้อเขียนอยู่ในนิตยสารทหารสื่อสาร ระหว่างการเป็นทหารประมาณร้อยกว่าชิ้น และใช้นามปากกามากกว่าสิบชื่อ
พอมาเป็นทหารนอกราชการ ผมก็ลงมือเขียนหนังสือเป็นงานหลัก โดยจับเอาวรรณคดีเรื่องสามก๊ก มาย่อยให้เป็น สามก๊กฉบับลิ่วล้อ ส่งไปลงพิมพ์ในวารสารของทหารเหล่าต่าง ๆ ทั้งในและนอกกองทัพบก ทั้งทหารราบ ทหารม้า ทหารปืนใหญ่ ทหารช่าง ทหารสรรพาวุธ รักษาดินแดน ยุทธโกษ เสนาสาร หลักเมือง กับนิตยสารที่อยู่นอกวงการทหาร คือ สยามอารยะ ของสยามสมาคม ฯ นิตยสารโล่เงิน ในวงการตำรวจ เขียนอยู่ร้อยกว่าตอน จนถึง พ.ศ.๒๕๔๑ ครบห้าสิบปีของการเขียนหนังสือ สามก๊กฉบับลิ่วล้อ จึงได้รับการพิมพ์รวมเล่ม จากสำนักพิมพ์ประพันธ์ สาส์น เป็นครั้งแรก ซึ่งพอจะเรียกได้ว่าเป็นนักเขียนอาชีพแล้ว
ในขณะเดียวกันก็ได้ย่อยเรื่องจีนอื่น ๆ ทยอยลงพิมพ์ในหนังสือ โล่เงิน รายเดือน ซึ่งเป็นหนังสือที่อยู่ในวงการตำรวจ จนถึง พ.ศ.๒๕๔๔ เรื่องจีนชื่อ ซ้องกั๋ง …ขุนโจรแห่งเขาเนียซัวเปาะ จึงได้รับการพิมพ์จากสำนักพิมพ์ประพันสาส์น ในชื่อ ซ้องกั๋ง..วีรบุรุษแห่งเขาเหลียงซาน เป็นครั้งที่สองในชีวิต
ในระหว่างนั้นก็ได้เขียนเรื่องประเภทต่าง ๆ ส่งไปลงพิมพ์เป็นประจำในนิตยสาร โล่เงิน รายเดือน วารสาร ฟ้าหม่น รายสองเดือนของเหล่าทหารม้า จังหวัดสระบุรี นิตยสารทหารปืนใหญ่ รายสามเดือน จังหวัดลพบุรี วารสารของกองพลทหารม้าที่ ๑ รายสี่เดือน จังหวัดเพชรบูรณ์ และนิตยสารทหารสื่อสาร รายปี กับนิตยสารเก่าแก่ ต่วยตูน รายปักษ์ เป็นครั้งคราวตามแต่โอกาส ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๔๑
จนถึง มีนาคม ๒๕๔๖ บรรณาธิการนิตยสารต่วยตูน จึงเชิญไปพบปะสังสรรค์เพื่อทำความรู้จัก และรับไว้เป็นนักเขียนประจำ ซึ่งจะทำให้มีผลงานในนิตยสารฉบับนี้ถี่ขึ้น และได้รับค่าตอบแทนตามมาตรฐาน ของวงการหนังสือพิมพ์ในประเทศไทย ซึ่งก็ได้มีข้อเขียนลงพิมพ์ภายใต้ ปากกาถึง ๖ ชื่อ คือ “ เพทาย “ ในฉากชีวิต “เล่าเซี่ยงชุน “ ใน ปกิณกะสามก๊ก“ เทพารักษ์ “ ใน บันทึกของคนเดินเท้า ฑ.มณฑา ใน คุ้ยวรรณคดี และ พ.สมานคุรุกรรม ในย้อนอดีต “วชิรพักตร์” ในความหลังริมคลองเปรม และ ความหลังโคนต้นไทร
แต่พอถึงปลายปี พ.ศ.๒๕๔๗ บรรณาธิการคงจะเบื่อ เรื่องของผมจึงค้างคาอยู่หลายเรื่อง และผมก็เพลาการหาเรื่องมาเขียนเหมือนกัน เพราะอายุเกิน ๖ รอบ ๗๒ ปีแล้ว คงเหลือเส้นทางที่จะเสนอผลงานได้อีกเพียงสามแห่ง คือ ฟ้าหม่น รายเดือน กองพลทหารม้าที่ ๑ รายสามเดือน และข่าวทหารอากาศ รายเดือน เท่านั้น
ส่วนเรื่องที่ได้รับการรวมเล่ม ก็ได้มีเพิ่มขึ้นอีก ๕ เรื่อง คือ นักรบสองแผ่นดิน อวสานสามก๊ก ปกิณกะสามก๊ก เปาบุ้นจิ้นผู้ทรงความยุติธรรม ในนามปากกา “เล่าเซี่ยงชุน” และบุญคุณต้องทดแทนความแค้นต้องอภัย ของ “เจียวต้าย”
บังเอิญในปีถัดมาก็ได้รู้จักอินเตอร์เนต และเวปไซท์ พันทิป คอม คาเฟ จึงขนเอาเรื่องในสต็อคมาวางให้สมาชิกได้อ่านกันอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งถึงบัดนี้ และได้มีความรู้ในการสร้างบล็อก ซึ่งเปรียบเหมือนห้องเก็บเอกสารส่วนตัว ที่จะอยู่อย่างยั่งยืนถาวรต่อไปในเวปไซท์นี้
จึงขอฝากข้อเขียนของเจียวต้าย ในนามปากกาทั้งหลายข้างต้นนั้นไว้ เพราะไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ในบรรณพิภพอันกว้างขวาง และลึกซึ้งประดุจห้วงมหรรณพนี้.
##############