ยาวหน่อย แต่อยากให้อ่านและแชร์กันนะคะ
ถ้าชอบก็ช่วยกด Like และกด + ด้วยนะคะ
เพื่อส่งผ่านเรื่องดีๆ ไปให้เพื่อนๆ สมาชิกได้อ่านกันค่ะ
ในยามที่สังคมนี้กำลังแบ่งแยกและสร้างความเกลียดชังให้แก่กันและกัน
(จากผู้สงวนนามที่ส่งบันทึกจากใจมาให้เรา
เมื่อได้ร่วมกิจกรรมจุดเทียนเขียนสันติภาพที่หอศิลปเมื่อวันศุกร์ที่ 10 ม.ค.)
"ผมตัดสินใจไปร่วมจุดเทียนในวันนี้ ไม่ใช่เพื่อตัวผมเอง
ผมไม่ได้หวังว่าการปฎิรูปจะเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายภายในช่วงชีวิตของผม
แต่ผมเป็นห่วงสังคมไทยในอนาคตที่ลูกผมจะเจริญเติบโตขึ้นมา
สังคมที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ความรุนแรง และความแตกแยกของผู้คนในสังคม"
"เทียนหอมในขวดแก้วเล่มเล็ก ๆ 2 เล่ม อยู่ในกระเป๋ากางเกงของผม
... ผมได้แต่หวังว่าเมื่อลูกผมโตขึ้นมา
เค้าจะเติบโตขึ้นในสังคมที่ผู้คนเต็มไปด้วยความรัก ความเข้าใจ สังคมที่มีความยุติธรรม
เคารพสิทธิ เสรีภาพของความเป็นคนเท่า ๆ กัน
การจุดเทียน 2 เล่มในวันนี้ เป็นสิ่งเดียวที่ผมและลูกจะทำได้
เพราะเราเป็นแค่คนตัวเล็ก ๆ เราจะบอกให้ผู้ที่มีอำนาจชี้นำในสังคมได้รับรู้ว่า..
ผมและลูกก็รักประเทศนี้ รักคนไทยในประเทศนี้
เหมือน ๆ กันกับพวกท่านทุกคน
ได้โปรดหยุดเถิด หยุดความรุนแรงที่มันอาจจะเกิดขึ้น และมาร่วมกันสร้างสันติภาพ"
เชิญอ่านบันทึกเต็มๆ ได้ที่นี่ค่ะ
#################
“บี้ วันนี้กลับบ้านแล้ว ออกไปข้างนอกกับป๊ามั้ย”
...ผมถามลูกชายวัย 4 ขวบ ขณะนั้นเป็นเวลา 4 โมงเย็น
ผมมารับเค้าที่โรงเรียนและเรากำลังขับรถกลับบ้านกัน
“ป่าป๊า จะไปไหนครับ” ... บี้ถามด้วยความสงสัย
“ป่าป๊า จะไปจุดเทียน เราไปนั่งรถไฟฟ้ากันมั้ย
หนูชอบนั่งรถไฟฟ้านี่ ป่าป๊ารู้” ผมถามยิ้ม ๆ
“ไปครับป่าป๊า” เค้าตอบพร้อมรอยยิ้ม
เรากลับมาถึงบ้าน ผมได้บอกกับแฟนไว้ตั้งแต่เมื่อคืนว่า
วันนี้ผมจะไปร่วมจุดเทียนที่หน้าหอศิลป์ เค้าไม่ได้ว่าอะไร แต่เค้าไม่รู้ว่าผมจะชวนลูกไปด้วย
“จะเอาลูกไปด้วยเหรอ” แฟนถาม
“อือ...ไปนั่งรถไฟฟ้าเล่น ไม่เป็นไรหรอก ไม่น่ามีอะไร รีบไปรีบกลับ”
ผมตอบ แต่จริง ๆ ในใจผมแอบคิดวิตกกังวลอยู่เหมือนกัน
แต่พลั้งเอ่ยปากชวนลูกไปแล้ว ไม่อยากจะไปบอกเค้าว่าไม่ให้ไปแล้ว
“งั้นเดี๋ยวเอาขนมปังไปกินระหว่างทาง ลูกยังไม่ได้กินข้าวเย็น จะได้ไม่หิว”
“บี้ รอก่อนนะ เดี๋ยวป่าป๊าไปเอาเทียนข้างบน”
ผมเดินขึ้นไปที่ห้องนอน หยิบเทียนหอมที่เคยซื้อไว้นานแล้ว
แต่ไม่เคยได้จุด กลับลงมา
แฟนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ลูกจากชุดนักเรียน เป็นชุดเสื้อแขนยาว
“ลูกจะได้ไม่หนาว” แฟนผมพูดสั้นๆ แล้วก็หันไปพูดกับลูก
“บี้ หนูอยู่กับป่าป๊าดี ๆ นะลูก อย่าซน อย่าเดินหนีไปไหน ถ้าคนเยอะหนูต้องอยู่กับป่าป๊าตลอดนะ”
“ครับม่าม้า” บี้ตอบ
“ใส่รองเท้าผ้าใบไปนะลูก จะได้เดินทะมัดทะแมง”
แฟนผมถอดรองเท้านักเรียนของลูกออก
“โอเค รีบไปดีกว่า เดี๋ยวไม่ทัน” ผมเร่ง
ผมขับรถออกมาจากบ้าน บี้นั่งอยู่ข้างๆ กินขนมปังที่คุณแม่ให้มา
ระหว่างที่ขับรถ ในใจผมก็คิดว่า ผมไม่น่าชวนลูกมาด้วยเลย
ถ้าสมมติมีคนไม่หวังดี มาก่อให้เกิดความวุ่นวายในระหว่างที่มีการรวมตัวกันจุดเทียน
ถ้าผมหรือบี้เคราะห์ร้ายเป็นอะไรไป .... ในใจผมคิดไปต่างๆ นานา
แล้วผมก็คิดว่า เอาอย่างนี้ดีกว่า ผมถามลูกอีกที
“บี้ หนูชอบมั้ยเวลาที่คนทะเลาะกัน แล้วเค้าตีกัน ชกกัน ต่อยหน้ากันหน่ะลูก”
“หนู ... หนูไม่ชอบ”
“ป่าป๊าก็ไม่ชอบเหมือนกันลูก เวลาป่าป๊า ม่าม๊าทะเลาะกัน
เราก็คุยกันใช่มั้ยลูก เวลาที่ม่าม๊ากับหนูทะเลาะกัน แล้วม่าม๊าตีหนู หนูชอบมั้ย”
“ไม่ชอบ หนูไม่ชอบถูกตี ตีเจ็บ”
“ฮ่ะ ๆ ๆ” ผมหัวเราะในคำตอบที่จริงใจของเด็กวัย 4 ขวบที่แสนซน
“แล้วถ้าเค้ายิงปืนใส่กัน แล้วต้องไป Hospital ได้มั้ยแบบนั้น” ผมถามต่อ
“ยิงปืนได้ ... ยิงใน iPad”
“ฮ่ะ ๆ ๆ” ผมหัวเราะในคำตอบของเค้า “อ้าวแล้วยิงจริง ๆ ได้มั้ยลูก ยิงปุ้ง ๆ เลือดไหลเลย” ผมถามไปขำไป
“ไม่ได้ ยิงจริง ๆ ไม่ได้ ให้ตำรวจกับทหารยิงได้ ให้ตำรวจยิงผู้ร้ายได้ คนอื่นยิงไม่ได้”
“ยิงปืนในเกมส์ได้ใช่มั้ยลูก แต่ยิงจริง ๆ ไม่ได้”
“ยิงจริง ๆ ไม่ได้” เค้าตอบ ขนมปังยังเต็มปาก
“แล้วหนูรู้มั้ยว่าเราจะไปจุดเทียนทำไม”
ผมถาม ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเค้าคงไม่รู้คำตอบ
“หนูไม่รู้”
“เราจะไปจุดเทียน จะได้บอกให้เค้ารู้ว่า อย่าตีกัน อย่ายิงกันลูก”
ผมหันไปมองหน้าเค้า ผมเห็นบี้ทำหน้างง ๆ ผมอธิบายต่อ
“ก็ถ้าเราจุดเทียนคนเดียว เค้าก็นึกว่าเราจุดเทียนแฮปปี้เบิร์ธเดย์ไงลูก
เค้าก็มองไม่เห็น แต่ถ้าเราไปจุดกันหลาย ๆ คน เค้าก็จะเห็นเรา ทุกคนก็จะเห็นเรา”
บี้พูดไปหัวเราะไป “จุดเทียนแฮปปี้เบิร์ธเดย์ ถ้าเราจุดคนเดียวก็แฮปปี้เบิร์ธเดย์ เราไปจุดหลาย ๆ คน”
เด็กวัยนี้ บางทีก็หัวเราะเส้นตื้น และก็ชอบพูดทวนประโยคของผู้ใหญ่
“จุดเทียนแฮปปี้เบิร์ธเดย์ จุดเทียนแฮปปี้เบิร์ธเดย์” บี้ยังคงขำ
“ตกลงหนูเข้าใจมั้ยว่าเราไปทำอะไรกันวันนี้” ผมถามยิ้ม ๆ
“เราไปจุดเทียน ให้เค้าไม่ตีกัน ไม่ยิงกัน ป่าป๊า หนูไม่ชอบให้ตีกัน ไม่ชอบต่อยหน้า”
“หนูอยากไปกับป่าป๊ามั้ยลูก”
“อยากไปครับ ป่าป๊า”
“งั้นเราไปกันลูก”
.... ใจผมรู้สึกโล่งขึ้นมา แต่ก็ยังมีความกังวลอยู่
สัญญากับตัวเองว่า จะดูทิศทางลมให้ดี
ถ้ามีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นต้องวิ่งพาลูกหนีอย่างเดียว
ผมตัดสินใจไปร่วมจุดเทียนในวันนี้ ไม่ใช่เพื่อตัวผมเอง
ผมไม่ได้หวังว่าการปฎิรูปจะเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายภายในช่วงชีวิตของผม
แต่ผมเป็นห่วงสังคมไทยในอนาคตที่ลูกผมจะเจริญเติบโตขึ้นมา
สังคมที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ความรุนแรง และความแตกแยกของผู้คนในสังคม
ผมอยากได้สังคมไทยที่สงบสุขกลับคืนมา
สังคมที่ผู้คนที่คิดต่าง สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ อย่างสงบ
ถึงจะมีการกระทบกระทั่งกันบ้างเป็นครั้งคราว
แต่เราก็อยู่กันมาได้ด้วยดี
แต่สถานการณ์ที่ผมเห็นในวันนี้ มีแต่ความกลียดชัง
ผลักดันให้ผู้คนเป็นสีนั้นสีนี้
ใครคิดต่างก็แทบจะไม่มีที่ยืน
สังคมที่ความอดทนเหลือน้อยกันเต็มที
เทียนหอมในขวดแก้วเล่มเล็ก ๆ 2 เล่ม อยู่ในกระเป๋ากางเกงของผม ...
ผมได้แต่หวังว่าเมื่อลูกผมโตขึ้นมา
เค้าจะเติบโตขึ้นในสังคมที่ผู้คนเต็มไปด้วยความรัก ความเข้าใจ
สังคมที่มีความยุติธรรม เคารพสิทธิ เสรีภาพของความเป็นคนเท่า ๆ กัน
การจุดเทียน 2 เล่มในวันนี้ เป็นสิ่งเดียวที่ผมและลูกจะทำได้
เพราะเราเป็นแค่คนตัวเล็ก ๆ
เราจะบอกให้ผู้ที่มีอำนาจชี้นำในสังคมได้รับรู้ว่า
ผมและลูกก็รักประเทศนี้ รักคนไทยในประเทศนี้เหมือน ๆ กันกับพวกท่านทุกคน
ได้โปรดหยุดเถิด หยุดความรุนแรงที่มันอาจจะเกิดขึ้น และมาร่วมกันสร้างสันติภาพ
ผมไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับสังคมไทยในวันข้างหน้า
ถ้าความเลวร้ายมันจะเกิดขึ้น มันก็คงจะเกิด
เพราะผมไม่มีอำนาจที่จะไปห้ามมันได้
แต่สิ่งที่ผมทำในวันนี้
เพราะวันหนึ่งที่ผมแก่เฒ่าและลูกผมเติบโตขึ้นมา
เมื่อเค้ารู้เรื่องมีความคิดอ่านเป็นของตัวเอง
และถ้าเค้ามาถามผมว่า อะไรมันเกิดขึ้นกับสังคมไทย
ทำไมมันจึงเลวร้ายเช่นนี้ ผมก็คงไม่มีคำตอบ
ผมคงตอบได้แต่เพียงว่า ....
ลูกจำได้มั้ย วันนั้นที่เราไปนั่งรถไฟฟ้ากัน
แล้วเราไปจุดเทียนด้วยกัน เราทำดีที่สุดแล้ว
พ่อไม่เคยเสียใจ เราสองคนทำดีที่สุดแล้วลูก
เราได้ทำหน้าที่ของเราโดยสมบูรณ์
ผมจอดรถไว้ที่ใต้สถานีรถไฟฟ้าวุฒากาศ
แล้วเดินไปขึ้นรถไฟฟ้า
บี้ชอบมากเวลาที่ผมอุ้มเค้าให้เค้าเป็นคนหยอดเหรียญในตู้เพื่อซื้อบัตร
และเป็นคนที่เสียบบัตรเองตอนที่เราเดินผ่านเครื่องกั้น
เราสองคนสนุกสนานไปกับการนั่งรถไฟฟ้าชมเมือง ไปยังไม่ทันถึงครึ่งทางดี
“ป่าป๊า หนูปวดฉี่”
“อ้าว ทำไงละเนี่ย มันไม่มีห้องน้ำอ่ะลูก อั้นไว้ก่อนได้มั้ย”
“ได้ครับ”
ผมพยายามชวนลูกคุยเปลี่ยนเรื่องไปเรื่อย
เค้าจะได้ไม่คิดเรื่องปวดฉี่
เราเล่นทายคำศัพท์ภาษาอังกฤษระหว่างที่เรามองเห็นสิ่งต่าง ๆ
ผ่านหน้าต่างรถไฟฟ้า
กรุงเทพช่างเป็นเมืองที่ใหญ่ สวยงาม
มีความเจริญมากมาย ตึกใหญ่สูงเสียดฟ้า
สังคมเราเปลี่ยนไปมากจริง ๆ
วัยเด็กของผม กับของบี้ช่างต่างกันราวฟ้ากับดิน
ผู้คนก็ดูจะเปลี่ยนไปเช่นกัน ....
“ถึงแล้วลูก เดี๋ยวเราไปหาห้องน้ำกัน”
...เราลงที่สถานีสนามกีฬาแห่งชาติ
ผมไม่เคยมาที่หอศิลป์ ไม่รู้ว่าต้องออกประตูไหน
แต่ต้องรีบหาห้องน้ำก่อน
หลังจากได้เข้าห้องน้ำโดยความช่วยเหลือของเจ้าหน้าที่ประจำสถานี
เราก็มุ่งหน้าไปที่หอศิลป์
ภาพแรกที่ปรากฎตรงหน้าหลังจากออกจากสถานี
คือผู้คนที่ใส่เสื้อสีขาว ยืนอยู่เต็มไปหมด
ผมชะโงกหน้าจากสะพานลอย มองลงไปที่ด้านหน้าหอศิลป์
ก็เห็นผู้คนชุดขาวเต็มไปหมด
คนล้นขึ้นมาจนถึงบันไดเลื่อนไม่มีทางลงไปข้างล่างได้
ผมตัดสินใจที่จะอยู่บนสถานี
“บี้ ๆ ดูอะไรมั้ยลูก เดี๋ยวป่าป๊าอุ้ม” ผมอุ้มให้ศีรษะเค้าพ้นขอบกั้นสะพานลอย ให้สายตามองผ่านไปได้
“โอ้โห...ป่าป๊า คนเยอะแยะเลย ป่าป๊า” บี้อุทานทำตาโต
“นี่แหละลูก เรามาจุดเทียนกันกับพวกเค้า”
“ป่าป๊า หนูอยากจุดเทียนแล้ว ป่าป๊า” ผมรู้สึกได้ถึงน้ำเสียงที่ตื่นเต้นและดีใจของลูก
“รอก่อนลูกรอก่อน รอจุดพร้อม ๆ กันลูก” ผมหัวเราะและยิ้มอย่างมีความสุขที่สุด
ภาพที่เห็นนี้ คือเทียน 2 เล่ม
ที่ผมและลูกได้ร่วมกันจุดขึ้นในวันที่ 10 มกราคม พุทธศักราช 2557
บริเวณสถานีรถไฟฟ้าสนามกีฬาแห่งชาติ ทางลงบันไดหน้าหอศิลป์
เทียน 2 เล่มนี้ ถึงแม้ว่าจะถูกจุดขึ้นมาและก็ดับไปภายในวันเดียวกัน
แต่เทียนที่อยู่ในใจของผมและลูก จะไม่มีวันดับ
และผมก็เชื่อว่า เทียนที่อยู่ในใจของผู้คนอีกหลายร้อย หลายพันคน
ที่ได้ถูกจุดขึ้นในวันนั้น จะไม่มีวันดับไป
เพราะมันคือเทียนของสันติภาพ
เทียนของการเรียกร้องให้ประเทศไทยมีความสงบสุขที่ยั่งยืนและอนาคตที่ดี
ไม่ใช่เพื่อลูกของผมเพียงคนเดียว
แต่เพื่อลูก ๆ หลาน ๆ ของคนไทยทุกคนที่จะเกิดมาบนผืนแผ่นดินนี้
แผ่นดินไทยที่ครั้งหนึ่งเคยมีความสงบสุข และจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป
###########
“หาอะไรกินก่อนแล้วกลับ จบแล้วไม่มีไร สบายหายห่วง แต่แบตจะหมดแล้ว” ผมส่งข้อความให้แฟน
“เดินทางปลอดภัยพ่อลูก” คือข้อความที่ตอบกลับมาบนหน้าจอ
......................................................................................
ที่มา :
https://www.facebook.com/YaBastaThailand/posts/265026033652672
>>> เรื่องเล่าของคุณพ่อที่พาลูกไปจุดเทียนสร้างสันติภาพ หยุดความรุนแรง >>>
ถ้าชอบก็ช่วยกด Like และกด + ด้วยนะคะ
เพื่อส่งผ่านเรื่องดีๆ ไปให้เพื่อนๆ สมาชิกได้อ่านกันค่ะ
ในยามที่สังคมนี้กำลังแบ่งแยกและสร้างความเกลียดชังให้แก่กันและกัน
(จากผู้สงวนนามที่ส่งบันทึกจากใจมาให้เรา
เมื่อได้ร่วมกิจกรรมจุดเทียนเขียนสันติภาพที่หอศิลปเมื่อวันศุกร์ที่ 10 ม.ค.)
"ผมตัดสินใจไปร่วมจุดเทียนในวันนี้ ไม่ใช่เพื่อตัวผมเอง
ผมไม่ได้หวังว่าการปฎิรูปจะเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายภายในช่วงชีวิตของผม
แต่ผมเป็นห่วงสังคมไทยในอนาคตที่ลูกผมจะเจริญเติบโตขึ้นมา
สังคมที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ความรุนแรง และความแตกแยกของผู้คนในสังคม"
"เทียนหอมในขวดแก้วเล่มเล็ก ๆ 2 เล่ม อยู่ในกระเป๋ากางเกงของผม
... ผมได้แต่หวังว่าเมื่อลูกผมโตขึ้นมา
เค้าจะเติบโตขึ้นในสังคมที่ผู้คนเต็มไปด้วยความรัก ความเข้าใจ สังคมที่มีความยุติธรรม
เคารพสิทธิ เสรีภาพของความเป็นคนเท่า ๆ กัน
การจุดเทียน 2 เล่มในวันนี้ เป็นสิ่งเดียวที่ผมและลูกจะทำได้
เพราะเราเป็นแค่คนตัวเล็ก ๆ เราจะบอกให้ผู้ที่มีอำนาจชี้นำในสังคมได้รับรู้ว่า..
ผมและลูกก็รักประเทศนี้ รักคนไทยในประเทศนี้
เหมือน ๆ กันกับพวกท่านทุกคน
ได้โปรดหยุดเถิด หยุดความรุนแรงที่มันอาจจะเกิดขึ้น และมาร่วมกันสร้างสันติภาพ"
เชิญอ่านบันทึกเต็มๆ ได้ที่นี่ค่ะ
#################
“บี้ วันนี้กลับบ้านแล้ว ออกไปข้างนอกกับป๊ามั้ย”
...ผมถามลูกชายวัย 4 ขวบ ขณะนั้นเป็นเวลา 4 โมงเย็น
ผมมารับเค้าที่โรงเรียนและเรากำลังขับรถกลับบ้านกัน
“ป่าป๊า จะไปไหนครับ” ... บี้ถามด้วยความสงสัย
“ป่าป๊า จะไปจุดเทียน เราไปนั่งรถไฟฟ้ากันมั้ย
หนูชอบนั่งรถไฟฟ้านี่ ป่าป๊ารู้” ผมถามยิ้ม ๆ
“ไปครับป่าป๊า” เค้าตอบพร้อมรอยยิ้ม
เรากลับมาถึงบ้าน ผมได้บอกกับแฟนไว้ตั้งแต่เมื่อคืนว่า
วันนี้ผมจะไปร่วมจุดเทียนที่หน้าหอศิลป์ เค้าไม่ได้ว่าอะไร แต่เค้าไม่รู้ว่าผมจะชวนลูกไปด้วย
“จะเอาลูกไปด้วยเหรอ” แฟนถาม
“อือ...ไปนั่งรถไฟฟ้าเล่น ไม่เป็นไรหรอก ไม่น่ามีอะไร รีบไปรีบกลับ”
ผมตอบ แต่จริง ๆ ในใจผมแอบคิดวิตกกังวลอยู่เหมือนกัน
แต่พลั้งเอ่ยปากชวนลูกไปแล้ว ไม่อยากจะไปบอกเค้าว่าไม่ให้ไปแล้ว
“งั้นเดี๋ยวเอาขนมปังไปกินระหว่างทาง ลูกยังไม่ได้กินข้าวเย็น จะได้ไม่หิว”
“บี้ รอก่อนนะ เดี๋ยวป่าป๊าไปเอาเทียนข้างบน”
ผมเดินขึ้นไปที่ห้องนอน หยิบเทียนหอมที่เคยซื้อไว้นานแล้ว
แต่ไม่เคยได้จุด กลับลงมา
แฟนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ลูกจากชุดนักเรียน เป็นชุดเสื้อแขนยาว
“ลูกจะได้ไม่หนาว” แฟนผมพูดสั้นๆ แล้วก็หันไปพูดกับลูก
“บี้ หนูอยู่กับป่าป๊าดี ๆ นะลูก อย่าซน อย่าเดินหนีไปไหน ถ้าคนเยอะหนูต้องอยู่กับป่าป๊าตลอดนะ”
“ครับม่าม้า” บี้ตอบ
“ใส่รองเท้าผ้าใบไปนะลูก จะได้เดินทะมัดทะแมง”
แฟนผมถอดรองเท้านักเรียนของลูกออก
“โอเค รีบไปดีกว่า เดี๋ยวไม่ทัน” ผมเร่ง
ผมขับรถออกมาจากบ้าน บี้นั่งอยู่ข้างๆ กินขนมปังที่คุณแม่ให้มา
ระหว่างที่ขับรถ ในใจผมก็คิดว่า ผมไม่น่าชวนลูกมาด้วยเลย
ถ้าสมมติมีคนไม่หวังดี มาก่อให้เกิดความวุ่นวายในระหว่างที่มีการรวมตัวกันจุดเทียน
ถ้าผมหรือบี้เคราะห์ร้ายเป็นอะไรไป .... ในใจผมคิดไปต่างๆ นานา
แล้วผมก็คิดว่า เอาอย่างนี้ดีกว่า ผมถามลูกอีกที
“บี้ หนูชอบมั้ยเวลาที่คนทะเลาะกัน แล้วเค้าตีกัน ชกกัน ต่อยหน้ากันหน่ะลูก”
“หนู ... หนูไม่ชอบ”
“ป่าป๊าก็ไม่ชอบเหมือนกันลูก เวลาป่าป๊า ม่าม๊าทะเลาะกัน
เราก็คุยกันใช่มั้ยลูก เวลาที่ม่าม๊ากับหนูทะเลาะกัน แล้วม่าม๊าตีหนู หนูชอบมั้ย”
“ไม่ชอบ หนูไม่ชอบถูกตี ตีเจ็บ”
“ฮ่ะ ๆ ๆ” ผมหัวเราะในคำตอบที่จริงใจของเด็กวัย 4 ขวบที่แสนซน
“แล้วถ้าเค้ายิงปืนใส่กัน แล้วต้องไป Hospital ได้มั้ยแบบนั้น” ผมถามต่อ
“ยิงปืนได้ ... ยิงใน iPad”
“ฮ่ะ ๆ ๆ” ผมหัวเราะในคำตอบของเค้า “อ้าวแล้วยิงจริง ๆ ได้มั้ยลูก ยิงปุ้ง ๆ เลือดไหลเลย” ผมถามไปขำไป
“ไม่ได้ ยิงจริง ๆ ไม่ได้ ให้ตำรวจกับทหารยิงได้ ให้ตำรวจยิงผู้ร้ายได้ คนอื่นยิงไม่ได้”
“ยิงปืนในเกมส์ได้ใช่มั้ยลูก แต่ยิงจริง ๆ ไม่ได้”
“ยิงจริง ๆ ไม่ได้” เค้าตอบ ขนมปังยังเต็มปาก
“แล้วหนูรู้มั้ยว่าเราจะไปจุดเทียนทำไม”
ผมถาม ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเค้าคงไม่รู้คำตอบ
“หนูไม่รู้”
“เราจะไปจุดเทียน จะได้บอกให้เค้ารู้ว่า อย่าตีกัน อย่ายิงกันลูก”
ผมหันไปมองหน้าเค้า ผมเห็นบี้ทำหน้างง ๆ ผมอธิบายต่อ
“ก็ถ้าเราจุดเทียนคนเดียว เค้าก็นึกว่าเราจุดเทียนแฮปปี้เบิร์ธเดย์ไงลูก
เค้าก็มองไม่เห็น แต่ถ้าเราไปจุดกันหลาย ๆ คน เค้าก็จะเห็นเรา ทุกคนก็จะเห็นเรา”
บี้พูดไปหัวเราะไป “จุดเทียนแฮปปี้เบิร์ธเดย์ ถ้าเราจุดคนเดียวก็แฮปปี้เบิร์ธเดย์ เราไปจุดหลาย ๆ คน”
เด็กวัยนี้ บางทีก็หัวเราะเส้นตื้น และก็ชอบพูดทวนประโยคของผู้ใหญ่
“จุดเทียนแฮปปี้เบิร์ธเดย์ จุดเทียนแฮปปี้เบิร์ธเดย์” บี้ยังคงขำ
“ตกลงหนูเข้าใจมั้ยว่าเราไปทำอะไรกันวันนี้” ผมถามยิ้ม ๆ
“เราไปจุดเทียน ให้เค้าไม่ตีกัน ไม่ยิงกัน ป่าป๊า หนูไม่ชอบให้ตีกัน ไม่ชอบต่อยหน้า”
“หนูอยากไปกับป่าป๊ามั้ยลูก”
“อยากไปครับ ป่าป๊า”
“งั้นเราไปกันลูก”
.... ใจผมรู้สึกโล่งขึ้นมา แต่ก็ยังมีความกังวลอยู่
สัญญากับตัวเองว่า จะดูทิศทางลมให้ดี
ถ้ามีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นต้องวิ่งพาลูกหนีอย่างเดียว
ผมตัดสินใจไปร่วมจุดเทียนในวันนี้ ไม่ใช่เพื่อตัวผมเอง
ผมไม่ได้หวังว่าการปฎิรูปจะเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายภายในช่วงชีวิตของผม
แต่ผมเป็นห่วงสังคมไทยในอนาคตที่ลูกผมจะเจริญเติบโตขึ้นมา
สังคมที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ความรุนแรง และความแตกแยกของผู้คนในสังคม
ผมอยากได้สังคมไทยที่สงบสุขกลับคืนมา
สังคมที่ผู้คนที่คิดต่าง สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ อย่างสงบ
ถึงจะมีการกระทบกระทั่งกันบ้างเป็นครั้งคราว
แต่เราก็อยู่กันมาได้ด้วยดี
แต่สถานการณ์ที่ผมเห็นในวันนี้ มีแต่ความกลียดชัง
ผลักดันให้ผู้คนเป็นสีนั้นสีนี้
ใครคิดต่างก็แทบจะไม่มีที่ยืน
สังคมที่ความอดทนเหลือน้อยกันเต็มที
เทียนหอมในขวดแก้วเล่มเล็ก ๆ 2 เล่ม อยู่ในกระเป๋ากางเกงของผม ...
ผมได้แต่หวังว่าเมื่อลูกผมโตขึ้นมา
เค้าจะเติบโตขึ้นในสังคมที่ผู้คนเต็มไปด้วยความรัก ความเข้าใจ
สังคมที่มีความยุติธรรม เคารพสิทธิ เสรีภาพของความเป็นคนเท่า ๆ กัน
การจุดเทียน 2 เล่มในวันนี้ เป็นสิ่งเดียวที่ผมและลูกจะทำได้
เพราะเราเป็นแค่คนตัวเล็ก ๆ
เราจะบอกให้ผู้ที่มีอำนาจชี้นำในสังคมได้รับรู้ว่า
ผมและลูกก็รักประเทศนี้ รักคนไทยในประเทศนี้เหมือน ๆ กันกับพวกท่านทุกคน
ได้โปรดหยุดเถิด หยุดความรุนแรงที่มันอาจจะเกิดขึ้น และมาร่วมกันสร้างสันติภาพ
ผมไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับสังคมไทยในวันข้างหน้า
ถ้าความเลวร้ายมันจะเกิดขึ้น มันก็คงจะเกิด
เพราะผมไม่มีอำนาจที่จะไปห้ามมันได้
แต่สิ่งที่ผมทำในวันนี้
เพราะวันหนึ่งที่ผมแก่เฒ่าและลูกผมเติบโตขึ้นมา
เมื่อเค้ารู้เรื่องมีความคิดอ่านเป็นของตัวเอง
และถ้าเค้ามาถามผมว่า อะไรมันเกิดขึ้นกับสังคมไทย
ทำไมมันจึงเลวร้ายเช่นนี้ ผมก็คงไม่มีคำตอบ
ผมคงตอบได้แต่เพียงว่า ....
ลูกจำได้มั้ย วันนั้นที่เราไปนั่งรถไฟฟ้ากัน
แล้วเราไปจุดเทียนด้วยกัน เราทำดีที่สุดแล้ว
พ่อไม่เคยเสียใจ เราสองคนทำดีที่สุดแล้วลูก
เราได้ทำหน้าที่ของเราโดยสมบูรณ์
ผมจอดรถไว้ที่ใต้สถานีรถไฟฟ้าวุฒากาศ
แล้วเดินไปขึ้นรถไฟฟ้า
บี้ชอบมากเวลาที่ผมอุ้มเค้าให้เค้าเป็นคนหยอดเหรียญในตู้เพื่อซื้อบัตร
และเป็นคนที่เสียบบัตรเองตอนที่เราเดินผ่านเครื่องกั้น
เราสองคนสนุกสนานไปกับการนั่งรถไฟฟ้าชมเมือง ไปยังไม่ทันถึงครึ่งทางดี
“ป่าป๊า หนูปวดฉี่”
“อ้าว ทำไงละเนี่ย มันไม่มีห้องน้ำอ่ะลูก อั้นไว้ก่อนได้มั้ย”
“ได้ครับ”
ผมพยายามชวนลูกคุยเปลี่ยนเรื่องไปเรื่อย
เค้าจะได้ไม่คิดเรื่องปวดฉี่
เราเล่นทายคำศัพท์ภาษาอังกฤษระหว่างที่เรามองเห็นสิ่งต่าง ๆ
ผ่านหน้าต่างรถไฟฟ้า
กรุงเทพช่างเป็นเมืองที่ใหญ่ สวยงาม
มีความเจริญมากมาย ตึกใหญ่สูงเสียดฟ้า
สังคมเราเปลี่ยนไปมากจริง ๆ
วัยเด็กของผม กับของบี้ช่างต่างกันราวฟ้ากับดิน
ผู้คนก็ดูจะเปลี่ยนไปเช่นกัน ....
“ถึงแล้วลูก เดี๋ยวเราไปหาห้องน้ำกัน”
...เราลงที่สถานีสนามกีฬาแห่งชาติ
ผมไม่เคยมาที่หอศิลป์ ไม่รู้ว่าต้องออกประตูไหน
แต่ต้องรีบหาห้องน้ำก่อน
หลังจากได้เข้าห้องน้ำโดยความช่วยเหลือของเจ้าหน้าที่ประจำสถานี
เราก็มุ่งหน้าไปที่หอศิลป์
ภาพแรกที่ปรากฎตรงหน้าหลังจากออกจากสถานี
คือผู้คนที่ใส่เสื้อสีขาว ยืนอยู่เต็มไปหมด
ผมชะโงกหน้าจากสะพานลอย มองลงไปที่ด้านหน้าหอศิลป์
ก็เห็นผู้คนชุดขาวเต็มไปหมด
คนล้นขึ้นมาจนถึงบันไดเลื่อนไม่มีทางลงไปข้างล่างได้
ผมตัดสินใจที่จะอยู่บนสถานี
“บี้ ๆ ดูอะไรมั้ยลูก เดี๋ยวป่าป๊าอุ้ม” ผมอุ้มให้ศีรษะเค้าพ้นขอบกั้นสะพานลอย ให้สายตามองผ่านไปได้
“โอ้โห...ป่าป๊า คนเยอะแยะเลย ป่าป๊า” บี้อุทานทำตาโต
“นี่แหละลูก เรามาจุดเทียนกันกับพวกเค้า”
“ป่าป๊า หนูอยากจุดเทียนแล้ว ป่าป๊า” ผมรู้สึกได้ถึงน้ำเสียงที่ตื่นเต้นและดีใจของลูก
“รอก่อนลูกรอก่อน รอจุดพร้อม ๆ กันลูก” ผมหัวเราะและยิ้มอย่างมีความสุขที่สุด
ภาพที่เห็นนี้ คือเทียน 2 เล่ม
ที่ผมและลูกได้ร่วมกันจุดขึ้นในวันที่ 10 มกราคม พุทธศักราช 2557
บริเวณสถานีรถไฟฟ้าสนามกีฬาแห่งชาติ ทางลงบันไดหน้าหอศิลป์
เทียน 2 เล่มนี้ ถึงแม้ว่าจะถูกจุดขึ้นมาและก็ดับไปภายในวันเดียวกัน
แต่เทียนที่อยู่ในใจของผมและลูก จะไม่มีวันดับ
และผมก็เชื่อว่า เทียนที่อยู่ในใจของผู้คนอีกหลายร้อย หลายพันคน
ที่ได้ถูกจุดขึ้นในวันนั้น จะไม่มีวันดับไป
เพราะมันคือเทียนของสันติภาพ
เทียนของการเรียกร้องให้ประเทศไทยมีความสงบสุขที่ยั่งยืนและอนาคตที่ดี
ไม่ใช่เพื่อลูกของผมเพียงคนเดียว
แต่เพื่อลูก ๆ หลาน ๆ ของคนไทยทุกคนที่จะเกิดมาบนผืนแผ่นดินนี้
แผ่นดินไทยที่ครั้งหนึ่งเคยมีความสงบสุข และจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป
###########
“หาอะไรกินก่อนแล้วกลับ จบแล้วไม่มีไร สบายหายห่วง แต่แบตจะหมดแล้ว” ผมส่งข้อความให้แฟน
“เดินทางปลอดภัยพ่อลูก” คือข้อความที่ตอบกลับมาบนหน้าจอ
......................................................................................
ที่มา : https://www.facebook.com/YaBastaThailand/posts/265026033652672