เรื่องของแม่ ทักษิณ และประชาธิปไตย
นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่ผมอยากเขียน อยากจะเล่า เรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ผมได้มีโอกาสศึกษาเธออย่างจริงจัง เมื่อเธอเสียไปแล้ว อย่าเพิ่งวิจารณ์อะไร ถ้าคุณยังอ่านไม่จบ การอ่านจนจบ ก็อาจจะทำให้คุณได้อะไรบางอย่าง และข้ามไปได้เลยถ้าใจยังมีอคติ
ย้อนเหตุการณ์กลับไปประมาณสิบปีที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่แม่ผมยังมีชีวิตอยู่ บ้านผมเป็นชนชั้นกลาง พ่อเป็นกรรมการไก่ชน อาจจะดูแปลกไปบ้าง แม่ผมค้าขาย ผมภูมิใจกับอาชีพของพ่อแม่นะ แม่ผมเป็นคนที่เป็นคนดีจากเนื้อแท้คนแรกที่ผมได้รู้จัก ดีทุกประการ จนผมไม่รู้จะติอะไร สัตว์ทุกตัวไม่เคยเห่า เพราะแม่ผมเลี่ยงทั้งหมด เลี้ยงจนหมาจรจัด กลายมาเป็นหมาบ้านผม คนจรไม่มีบ้านมีอาหารกิน เพราะแม่ผมเรียกมากิน จนบางครั้งผมก็คิดว่าแม่ผมดีเกินไป ในช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลทักษิณปกครองประเทศ ในช่วงแรกทักษิณจะได้ใจประชาชนมาก จากนโยบายที่ไม่เคยในประเทศไทยและการเข้าถึงประชาชนโดยตรง นายกทักษิณนี่เอง ที่เป็นนักการเมืองคนแรก ที่แม่ผมชื่นชอบ ขนาดอยากให้กำลังใจในการทำงาน ซึ่งในระหว่างนั้นผมยังเรียนอยู่ ผมยังศึกษาการเมืองจากวงนอก ในรูปแบบของนักศึกษา ซึ่งการเมืองเป็นเรื่องน่าเบื่อสำหรับผม เพราะชีวิตตอนนั้นโฟกัสไปที่เรียน เกมส์ ผู้หญิง เที่ยว เหล้า มีแค่นี้จริงๆ
การบริหารประเทศผ่านมาถึงจุดที่รัฐบาลได้ครองอำนาจที่มั่นคง จนหลายๆคนหวั่นว่า มันมากเกินไป จนการตรวจสอบทำได้ยาก ตอนนี้ก็ได้เกิดความขัดแย้งทางความคิด จนเกิดการใช้สีเป็นสัญลักษณ์ทางการเมือง สีแรกที่เกิดขึ้นมาคือ สีเหลือง ซึ่งทำให้คนที่คิดว่าการบริหารประเทศแบบนี้นั้น มันไม่ถูก ทำให้ชนชั้นกลางที่เสพข้อมูลพวกนี้ได้เร็วกว่าคนทั่วไปเทกระจาดกันไปอยู่สีเหลืองกันซะส่วนใหญ่ ซึ่งความคิดของคนในครอบครัวผมทุกคนรวมผมด้วย ยกเว้นแม่ เทไปอยู่สีนี้ โดยไม่มีใครสอบถามเธอซักหน่อย ว่าทำไมเธอยังรักทักษิณอยู่ และหลังจากนั้นสีแดงก็เกิดขึ้นมา และแน่นอน ถึงไม่ต้องถามก็รู้ว่า แม่ผมต้องสีนี้แหละ ใครบอกว่าเรื่องสีนี้ทำให้ครอบครัวเหมือนเดิม ผมยังจำได้อยู่ถึงความขัดแย้งของคนในบ้าน เรื่องสีนี่แหละมันทำให้คนพูดจากันไม่เหมือนเดิมจริงๆ ผมเคยหลุดปากออกไปว่า แม่ไม่รู้เรื่องอะไรหรอก โง่แล้วที่ไปเชื่อทักษิณ แต่หลังจากสำนึกผิดกับคำพูดตัวเองที่ออกไปแบบไม่ตั้งใจ การพูดจาไม่ดีกับบุพการีทำให้ความคิดผมเริ่มสับสนเช่นกัน ว่าผมรู้จริงเรื่องการเมืองมากแค่ไหนกัน เชื่อเถอะใครเคยพูดแบบนี้ต้องกลับมาคิดทีหลังทุกคน และในวัยทำงานผมก็ได้เจอกับคนที่อยู่สุดขั้วทั้งสองสี ซึ่งเป็นคนที่ผมเคารพทั้งนั้น .....แต่ผมไม่กล้าไปดูถูกความคิดเขา ผมเข้าใจในข้อแรกแล้วว่า ผมเองยังนับถือคนที่การศึกษา เพราะว่าแม่ผมจบแค่ปอสี่ ผมก็ไปหาว่าเขาโง่ ทั้งๆที่เขาคือผู้หญิงที่ฉลาดที่สุดคนนึงที่ผมเคยเจอมาทั้งชีวิต เขาบริหารจัดการชีวิตจนส่งเสียลูกให้ได้เรียนทุกคนแม้ว่าตัวเองต้องลำบาก เขาผ่านช่วงเวลาแบบนี้มาได้ยังไง เขาทำยังไงให้เป็นคนที่มีแต่คนรักและเคารพ ... นี่คือสิ่งที่เราลืมคิด
หลังจากนั้นทักษิณก็ถูกล้มอำนาจลง รัฐบาลทหารเข้าแทนที่ แล้วก็ได้เปิดลงคะแนนเพื่อรับรัฐธรรมนูญฉบับนั้น โดยหญิงชราผู้ที่มีจิตใจดีงามคนนี้ พูดชัดเจนว่า ไม่รับร่าง และออกไปใช้สิทธิ ในขณะที่คนอื่นทั้งครอบครัวไปลงคะแนนเพื่อรับรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไป ในระหว่างนี้ร่างกายของแม่เริ่มไม่เหมือนเดิม การเคลื่อนไหวเริ่มช้าลง เริ่มผิดปกติ ในช่วงแรกที่หมอยังวินิจฉัยไม่ได้ ก็มีการคาดการว่าเป็นโรคกระดูกพรุน ต้องมีการทำกายภาพบำบัด ช่วงนี้เราคุยกันมากขึ้น ผมรับฟังความคิดของเขามากขึ้น พยายามไม่ขัดคอ และเข้าใจมากขึ้นในหลายๆเหตุผล ไม่เฉพาะแค่แม่ผม ผมเริ่มเข้าใจชาวบ้านคนอื่นๆ ผมเริ่มลดอคติกับทักษิณ ลงมาบ้าง พยายามลบข้อมูลที่เสพมาเกินจริงออกไปในบางส่วน ที่ผมพิจารณาแล้ว ว่ามันไม่น่าใช่เรื่องจริง
แล้วก็มาถึงจุดเปลียนในชีวิตจริงๆ ที่ทำให้เรามีสติและโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น นั่นคือ ช่วงเวลาที่หมอเดินเรียกผมไปคุยเป็นคนแรกว่า แม่ของคุณเป็นมะเร็งชนิด มัลติเพิ้ลมายอีโรม่า ซึ่งมาถึงระยะที่สามแล้ว .....ผมช็อค ตกใจ น้ำตาที่ไม่เคยไหลมาตั้งแต่ประถม ไหลอาบสองแก้ม ไหลจนหยุดไม่ได้ คนเราจะมีอนาคตที่สวยงามอย่างไร ถ้าไม่เหลือคนในครอบครัวคอยยินดีกับความสำเร็จ สิ่งที่ผมทำได้คือเวลาที่เหลือหลังจากนี้ผมจะทำดีกับเธอให้มากที่สุด หลังจากนั้นไม่นานหมอก็เรียกคนในครอบครัวไปรับทราบเพื่อแนะนำวิธีปฏิบัติต่อผู้ป่วยอีกรอบ ซึ่งทั้งผมทั้งน้องก็ร้องไห้น้ำตาอาบสองแก้มไปตลอดทาง อะไรที่ไม่ดีที่เคยผ่านมา ทั้งการที่ไม่ตั้งใจเรียน ปฏิเสธทุน ปฏิเสธที่เรียน ปฏิเสธโอกาสต่างๆ เรื่องผู้หญิง หนีเรียน พูดจาไม่ดีกับพ่อแม่ ดูถูกความคิดเขา มันพรั่งพรูขึ้นมาตลอดการเดินทางกลับบ้าน จนการเดินทางจากแล็ปตรวจเลือดที่ราชบุรีกลับมายังบ้าน มันนานเหมือนสิบปี นานจนไม่มีน้ำตาจะเหลือ กลางคืนก็ยังนอนไม่หลับ ร้องไห้ตลอดคืน คิดไม่ออกว่าจะรับมือกับปัญหายังไง แต่ที่ทำเป็นอย่างแรก คือ เลิกเหล้า เลิกเที่ยว และโยนอคติต่างๆออกจากชีวิตไปจนหมด ไม่รู้จะเก็บไว้ทำไมให้หนักชีวิต ผมยินดีที่ฟังทุกสีโดยไม่บ่นอะไร ชีวิตนอกจากบ้านและที่ทำงาน คือห้องสมุด ทั้งวิธีการรักษา ดูแลผู้ป่วย ยังมีหนังสืออีกชุดที่ผมชอบอ่าน คือหนังสือประวัติศาสตร์ แล้วผมก็ได้พบทางสว่างจากการศึกษาประวัติศาสตร์ไทยไล่มาตั้งแต่อยุธยา อ่านมาก รู้มาก เสียงของเราจะเงียบลง มันคือเรื่องจริงที่ได้ค้นพบ แล้วข้อเท็จจริงและเหตุผลมันจะคานความเชื่อต่างๆได้ ว่าสิ่งไหนจริง สิ่งไหนเท็จ ความสูญเสียและสิ่งที่ได้รับจากการปฏิวัติ สิ่งใดที่มากกว่ากัน
แล้วแม่กับน้องผมก็ก้าวเข้าสู่การปฏิบัติธรรม ก่อนการทำคลีโม ซึ่งร่างกายต้องพร้อมที่จะทำ แม่ผมเลือกการทำให้ใจสงบอย่างจริงจัง ด้วยการไปอยู่ปฏิบัติธรรมที่วัด สลับกับไปโรงพยาบาลตามที่หมอนัด แล้วช่วงนี้ผมก็ได้ค้นพบคำตอบว่าทำไมแม่ผมถึงรักนายกทักษิณ เพราะการรักษาและบำบัดของแม่ผม และคนชราอื่นๆที่ผมได้เจอ ได้อานิสงค์จากนโยบาย สามสิบบาทรักษาทุกโรค ซึ่งเป็นนโยบายที่ไม่เคยมีมาก่อนจากรัฐบาลไหน เป็นนโยบายที่ไม่ได้หวังผลจากชนชั้นกลางที่มีเงินในการดูแลตัวเอง แต่มันคือนโยบายที่เข้าถึงทุกคนจริงๆ ด้วยนโยบายนี้ทำให้ค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายตั้งแต่กายภาพบำบัด จนถึงการทำคลีโม ซึ่งรวมกันเป็นหลักล้าน ลดลงมาได้มาก สิ่งนี้อาจจะเป็นสิ่งเล็กๆ สำหรับคนที่มีเงิน แต่คนจนทั่วไปที่เราเคยได้เจอ มันทำให้เขาได้มีโอกาสที่ดีมากขึ้นที่จะเข้าถึงหมอ ....ในที่สุดผมก็เข้าใจประชาธิปไตยแบบพื้นฐานเสียที ว่าคนที่เรามองว่าเขาโง่ เขาเลือกกันที่อะไร มันเป็นเรื่องที่พื้นมาก ไม่ต้องคิดไกลเลย เพราะเขาพึงพอใจในสิ่งที่เขาได้รับนั่นเอง ในตอนนี้ผมไม่คิดว่าผมเหนือกว่าเขาอีกแล้ว เสียงของผม และเสียงของแม่ เท่ากันแล้ว
ในช่วงที่ปฏิบัติธรรมนั้น แม่ผมสภาพไม่เหมือนผู้ป่วยโรคมะเร็ง เพราะทั้งร่างกายและจิตใจแจ่มใสมาก แม่เข้าถึงความดี เข้าถึงการให้อภัย ถึงผมจะไม่ได้ขอโทษเธอในตอนนี้ ทั้งเรื่องที่ผ่านมา และเรื่องที่ผมดูถูกความคิดเขา แต่ผมเชื่อว่าแม่ก็ได้ให้อภัยผมแล้ว
หลังจากคลีโมแล้ว แม่ผมก็เสียชีวิต มันเศร้าเกินกว่าที่จะเอามาเล่า แต่การจากไปของแม่นั้น จากไปอย่างสวยงามมาก เหมือนคนที่ปล่อยวางได้ทุกอย่างแล้ว สิ่งหนึ่งที่ผมรับปากไว้ก็คือ การเป็นคนที่รับผิดชอบ เป็นคนที่ดีพอที่จะเลี้ยงดูครอบครัว ไม่เจ้าชู้ ไม่ทิ้งพี่น้อง ซื่อสัตย์ต่อสิ่งที่ทำอยู่ ให้อภัยคนอื่น ที่สำคัญคือไม่ดูถูกความคิดคนอื่น ผมในวันนี้ไม่มีน้ำตาแล้ว เพราะร้องมาจนไม่มีจะไหล หลังจากนั้นมาผมก็ไม่มีสี ไม่มีอคติกับทักษิณ ผมมองแค่ความถูกต้องเท่านั้น เพราะผมผิดพลาดมาเยอะจากการไม่เหลียวตามองในเรื่องง่ายๆ ไม่เข้าใจคนอื่น หากแค่เรื่องสีที่ไม่เหมือนกัน จะทำให้ผมต้องขัดกับพี่น้อง ถึงผมไม่เห็นด้วย ผมจะยอมเขา เพราะผมก็ยังแคร์ญาติพี่น้องเหมือนเดิม แต่ก็อยากให้เขาได้เรียนรู้เช่นกันว่าความถูกต้องมันควรเริ่มมาจากอะไร ความคิดที่บริสุทธิ์ต่างหากมันถึงจะก่อเกิดความดี ไม่ใช่การเริ่มต้นจากความโกรธแค้น ความโกรธแค้นมันจะเผากันเองทั้งการเอาคืนที่มากขึ้น ความเกลียดที่ฝังไว้ไม่ได้หายไปไหนเลย แค่รอวันประทุเมื่อมีโอกาส แนวคิดล้มล้างมันจะยังอยู่ต่อไป เพียงแต่รอวันที่จะมีคนมานำอีกครั้ง ล้มฝ่ายหนึ่งได้โดยเขาไม่ยอมรับ เขาก็จะกลับมาใหม่ ดังนั้นประเทศไทยควรจะก้าวข้ามทักษิณไปได้แล้ว ไม่ใช่การใช้ทักษิณมาจุดประกายให้คนออกมาล้ม ตัวคุณเองนั่นแหละควรจะเป็นทางเลือกให้คนอื่น หากการเลือกตั้งยังมี ผมจะใช้วิธีนี้ในการล้มทักษิณ เพราะผมจะไม่มองข้ามเสียงของคนที่ผมดูถูก เสียงพวกนี้มีความหมายเช่นกัน ผมรู้แล้วว่าทำไมเขาถึงเลือก และผมจะไม่ยอมเป็นเบี้ย เป็นหมากให้ให้นักการเมือง หรือคนอื่นๆเดิน เราคือผู้เล่น ผู้เล่นต้องอยู่นอกกระดาน
ผมไม่เคยยกศิลปินเป็นไอด้อล เพราะไอด้อลผมคือพ่อและแม่ แม่ที่มีจิตใจดีความ และมีพ่อที่มีความซื่อสัตย์ มีญาติพี่น้องที่เป็นคนดี ไม่รู้วันนี้เขาจะเกลียดผมไหม ที่ผมไม่เห็นด้วย จนบางครั้งเราจะเมินในการคุยกัน แต่อยากให้รู้ไว้ถ้าผ่านมาอ่าน ผมรักและเป็นห่วงเขาเหมือนเดิม แค่ขออธิบายในบางสิ่งที่เขาไม่อยากฟัง เหมือนกับตอนที่ผมก็ไม่ฟังแม่ของผม
เขียนไว้ในโอกาสระลึกถึงบุญคุณของคนที่ตนรัก เผื่อจะเป็นอุทาหรณ์ไว้สอนใจใครได้บ้าง เพราะว่าวันนี้ไม่ต้องทำงานเช้า และพักหัวสมองจากการแก้วิทยานิพนธ์ ที่ทุกวันนี้ผมยังไม่รู้เลย ว่าผมเรียนทำไม
เรื่องของแม่ ทักษิณ และประชาธิปไตย
นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่ผมอยากเขียน อยากจะเล่า เรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ผมได้มีโอกาสศึกษาเธออย่างจริงจัง เมื่อเธอเสียไปแล้ว อย่าเพิ่งวิจารณ์อะไร ถ้าคุณยังอ่านไม่จบ การอ่านจนจบ ก็อาจจะทำให้คุณได้อะไรบางอย่าง และข้ามไปได้เลยถ้าใจยังมีอคติ
ย้อนเหตุการณ์กลับไปประมาณสิบปีที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่แม่ผมยังมีชีวิตอยู่ บ้านผมเป็นชนชั้นกลาง พ่อเป็นกรรมการไก่ชน อาจจะดูแปลกไปบ้าง แม่ผมค้าขาย ผมภูมิใจกับอาชีพของพ่อแม่นะ แม่ผมเป็นคนที่เป็นคนดีจากเนื้อแท้คนแรกที่ผมได้รู้จัก ดีทุกประการ จนผมไม่รู้จะติอะไร สัตว์ทุกตัวไม่เคยเห่า เพราะแม่ผมเลี่ยงทั้งหมด เลี้ยงจนหมาจรจัด กลายมาเป็นหมาบ้านผม คนจรไม่มีบ้านมีอาหารกิน เพราะแม่ผมเรียกมากิน จนบางครั้งผมก็คิดว่าแม่ผมดีเกินไป ในช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลทักษิณปกครองประเทศ ในช่วงแรกทักษิณจะได้ใจประชาชนมาก จากนโยบายที่ไม่เคยในประเทศไทยและการเข้าถึงประชาชนโดยตรง นายกทักษิณนี่เอง ที่เป็นนักการเมืองคนแรก ที่แม่ผมชื่นชอบ ขนาดอยากให้กำลังใจในการทำงาน ซึ่งในระหว่างนั้นผมยังเรียนอยู่ ผมยังศึกษาการเมืองจากวงนอก ในรูปแบบของนักศึกษา ซึ่งการเมืองเป็นเรื่องน่าเบื่อสำหรับผม เพราะชีวิตตอนนั้นโฟกัสไปที่เรียน เกมส์ ผู้หญิง เที่ยว เหล้า มีแค่นี้จริงๆ
การบริหารประเทศผ่านมาถึงจุดที่รัฐบาลได้ครองอำนาจที่มั่นคง จนหลายๆคนหวั่นว่า มันมากเกินไป จนการตรวจสอบทำได้ยาก ตอนนี้ก็ได้เกิดความขัดแย้งทางความคิด จนเกิดการใช้สีเป็นสัญลักษณ์ทางการเมือง สีแรกที่เกิดขึ้นมาคือ สีเหลือง ซึ่งทำให้คนที่คิดว่าการบริหารประเทศแบบนี้นั้น มันไม่ถูก ทำให้ชนชั้นกลางที่เสพข้อมูลพวกนี้ได้เร็วกว่าคนทั่วไปเทกระจาดกันไปอยู่สีเหลืองกันซะส่วนใหญ่ ซึ่งความคิดของคนในครอบครัวผมทุกคนรวมผมด้วย ยกเว้นแม่ เทไปอยู่สีนี้ โดยไม่มีใครสอบถามเธอซักหน่อย ว่าทำไมเธอยังรักทักษิณอยู่ และหลังจากนั้นสีแดงก็เกิดขึ้นมา และแน่นอน ถึงไม่ต้องถามก็รู้ว่า แม่ผมต้องสีนี้แหละ ใครบอกว่าเรื่องสีนี้ทำให้ครอบครัวเหมือนเดิม ผมยังจำได้อยู่ถึงความขัดแย้งของคนในบ้าน เรื่องสีนี่แหละมันทำให้คนพูดจากันไม่เหมือนเดิมจริงๆ ผมเคยหลุดปากออกไปว่า แม่ไม่รู้เรื่องอะไรหรอก โง่แล้วที่ไปเชื่อทักษิณ แต่หลังจากสำนึกผิดกับคำพูดตัวเองที่ออกไปแบบไม่ตั้งใจ การพูดจาไม่ดีกับบุพการีทำให้ความคิดผมเริ่มสับสนเช่นกัน ว่าผมรู้จริงเรื่องการเมืองมากแค่ไหนกัน เชื่อเถอะใครเคยพูดแบบนี้ต้องกลับมาคิดทีหลังทุกคน และในวัยทำงานผมก็ได้เจอกับคนที่อยู่สุดขั้วทั้งสองสี ซึ่งเป็นคนที่ผมเคารพทั้งนั้น .....แต่ผมไม่กล้าไปดูถูกความคิดเขา ผมเข้าใจในข้อแรกแล้วว่า ผมเองยังนับถือคนที่การศึกษา เพราะว่าแม่ผมจบแค่ปอสี่ ผมก็ไปหาว่าเขาโง่ ทั้งๆที่เขาคือผู้หญิงที่ฉลาดที่สุดคนนึงที่ผมเคยเจอมาทั้งชีวิต เขาบริหารจัดการชีวิตจนส่งเสียลูกให้ได้เรียนทุกคนแม้ว่าตัวเองต้องลำบาก เขาผ่านช่วงเวลาแบบนี้มาได้ยังไง เขาทำยังไงให้เป็นคนที่มีแต่คนรักและเคารพ ... นี่คือสิ่งที่เราลืมคิด
หลังจากนั้นทักษิณก็ถูกล้มอำนาจลง รัฐบาลทหารเข้าแทนที่ แล้วก็ได้เปิดลงคะแนนเพื่อรับรัฐธรรมนูญฉบับนั้น โดยหญิงชราผู้ที่มีจิตใจดีงามคนนี้ พูดชัดเจนว่า ไม่รับร่าง และออกไปใช้สิทธิ ในขณะที่คนอื่นทั้งครอบครัวไปลงคะแนนเพื่อรับรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไป ในระหว่างนี้ร่างกายของแม่เริ่มไม่เหมือนเดิม การเคลื่อนไหวเริ่มช้าลง เริ่มผิดปกติ ในช่วงแรกที่หมอยังวินิจฉัยไม่ได้ ก็มีการคาดการว่าเป็นโรคกระดูกพรุน ต้องมีการทำกายภาพบำบัด ช่วงนี้เราคุยกันมากขึ้น ผมรับฟังความคิดของเขามากขึ้น พยายามไม่ขัดคอ และเข้าใจมากขึ้นในหลายๆเหตุผล ไม่เฉพาะแค่แม่ผม ผมเริ่มเข้าใจชาวบ้านคนอื่นๆ ผมเริ่มลดอคติกับทักษิณ ลงมาบ้าง พยายามลบข้อมูลที่เสพมาเกินจริงออกไปในบางส่วน ที่ผมพิจารณาแล้ว ว่ามันไม่น่าใช่เรื่องจริง
แล้วก็มาถึงจุดเปลียนในชีวิตจริงๆ ที่ทำให้เรามีสติและโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น นั่นคือ ช่วงเวลาที่หมอเดินเรียกผมไปคุยเป็นคนแรกว่า แม่ของคุณเป็นมะเร็งชนิด มัลติเพิ้ลมายอีโรม่า ซึ่งมาถึงระยะที่สามแล้ว .....ผมช็อค ตกใจ น้ำตาที่ไม่เคยไหลมาตั้งแต่ประถม ไหลอาบสองแก้ม ไหลจนหยุดไม่ได้ คนเราจะมีอนาคตที่สวยงามอย่างไร ถ้าไม่เหลือคนในครอบครัวคอยยินดีกับความสำเร็จ สิ่งที่ผมทำได้คือเวลาที่เหลือหลังจากนี้ผมจะทำดีกับเธอให้มากที่สุด หลังจากนั้นไม่นานหมอก็เรียกคนในครอบครัวไปรับทราบเพื่อแนะนำวิธีปฏิบัติต่อผู้ป่วยอีกรอบ ซึ่งทั้งผมทั้งน้องก็ร้องไห้น้ำตาอาบสองแก้มไปตลอดทาง อะไรที่ไม่ดีที่เคยผ่านมา ทั้งการที่ไม่ตั้งใจเรียน ปฏิเสธทุน ปฏิเสธที่เรียน ปฏิเสธโอกาสต่างๆ เรื่องผู้หญิง หนีเรียน พูดจาไม่ดีกับพ่อแม่ ดูถูกความคิดเขา มันพรั่งพรูขึ้นมาตลอดการเดินทางกลับบ้าน จนการเดินทางจากแล็ปตรวจเลือดที่ราชบุรีกลับมายังบ้าน มันนานเหมือนสิบปี นานจนไม่มีน้ำตาจะเหลือ กลางคืนก็ยังนอนไม่หลับ ร้องไห้ตลอดคืน คิดไม่ออกว่าจะรับมือกับปัญหายังไง แต่ที่ทำเป็นอย่างแรก คือ เลิกเหล้า เลิกเที่ยว และโยนอคติต่างๆออกจากชีวิตไปจนหมด ไม่รู้จะเก็บไว้ทำไมให้หนักชีวิต ผมยินดีที่ฟังทุกสีโดยไม่บ่นอะไร ชีวิตนอกจากบ้านและที่ทำงาน คือห้องสมุด ทั้งวิธีการรักษา ดูแลผู้ป่วย ยังมีหนังสืออีกชุดที่ผมชอบอ่าน คือหนังสือประวัติศาสตร์ แล้วผมก็ได้พบทางสว่างจากการศึกษาประวัติศาสตร์ไทยไล่มาตั้งแต่อยุธยา อ่านมาก รู้มาก เสียงของเราจะเงียบลง มันคือเรื่องจริงที่ได้ค้นพบ แล้วข้อเท็จจริงและเหตุผลมันจะคานความเชื่อต่างๆได้ ว่าสิ่งไหนจริง สิ่งไหนเท็จ ความสูญเสียและสิ่งที่ได้รับจากการปฏิวัติ สิ่งใดที่มากกว่ากัน
แล้วแม่กับน้องผมก็ก้าวเข้าสู่การปฏิบัติธรรม ก่อนการทำคลีโม ซึ่งร่างกายต้องพร้อมที่จะทำ แม่ผมเลือกการทำให้ใจสงบอย่างจริงจัง ด้วยการไปอยู่ปฏิบัติธรรมที่วัด สลับกับไปโรงพยาบาลตามที่หมอนัด แล้วช่วงนี้ผมก็ได้ค้นพบคำตอบว่าทำไมแม่ผมถึงรักนายกทักษิณ เพราะการรักษาและบำบัดของแม่ผม และคนชราอื่นๆที่ผมได้เจอ ได้อานิสงค์จากนโยบาย สามสิบบาทรักษาทุกโรค ซึ่งเป็นนโยบายที่ไม่เคยมีมาก่อนจากรัฐบาลไหน เป็นนโยบายที่ไม่ได้หวังผลจากชนชั้นกลางที่มีเงินในการดูแลตัวเอง แต่มันคือนโยบายที่เข้าถึงทุกคนจริงๆ ด้วยนโยบายนี้ทำให้ค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายตั้งแต่กายภาพบำบัด จนถึงการทำคลีโม ซึ่งรวมกันเป็นหลักล้าน ลดลงมาได้มาก สิ่งนี้อาจจะเป็นสิ่งเล็กๆ สำหรับคนที่มีเงิน แต่คนจนทั่วไปที่เราเคยได้เจอ มันทำให้เขาได้มีโอกาสที่ดีมากขึ้นที่จะเข้าถึงหมอ ....ในที่สุดผมก็เข้าใจประชาธิปไตยแบบพื้นฐานเสียที ว่าคนที่เรามองว่าเขาโง่ เขาเลือกกันที่อะไร มันเป็นเรื่องที่พื้นมาก ไม่ต้องคิดไกลเลย เพราะเขาพึงพอใจในสิ่งที่เขาได้รับนั่นเอง ในตอนนี้ผมไม่คิดว่าผมเหนือกว่าเขาอีกแล้ว เสียงของผม และเสียงของแม่ เท่ากันแล้ว
ในช่วงที่ปฏิบัติธรรมนั้น แม่ผมสภาพไม่เหมือนผู้ป่วยโรคมะเร็ง เพราะทั้งร่างกายและจิตใจแจ่มใสมาก แม่เข้าถึงความดี เข้าถึงการให้อภัย ถึงผมจะไม่ได้ขอโทษเธอในตอนนี้ ทั้งเรื่องที่ผ่านมา และเรื่องที่ผมดูถูกความคิดเขา แต่ผมเชื่อว่าแม่ก็ได้ให้อภัยผมแล้ว
หลังจากคลีโมแล้ว แม่ผมก็เสียชีวิต มันเศร้าเกินกว่าที่จะเอามาเล่า แต่การจากไปของแม่นั้น จากไปอย่างสวยงามมาก เหมือนคนที่ปล่อยวางได้ทุกอย่างแล้ว สิ่งหนึ่งที่ผมรับปากไว้ก็คือ การเป็นคนที่รับผิดชอบ เป็นคนที่ดีพอที่จะเลี้ยงดูครอบครัว ไม่เจ้าชู้ ไม่ทิ้งพี่น้อง ซื่อสัตย์ต่อสิ่งที่ทำอยู่ ให้อภัยคนอื่น ที่สำคัญคือไม่ดูถูกความคิดคนอื่น ผมในวันนี้ไม่มีน้ำตาแล้ว เพราะร้องมาจนไม่มีจะไหล หลังจากนั้นมาผมก็ไม่มีสี ไม่มีอคติกับทักษิณ ผมมองแค่ความถูกต้องเท่านั้น เพราะผมผิดพลาดมาเยอะจากการไม่เหลียวตามองในเรื่องง่ายๆ ไม่เข้าใจคนอื่น หากแค่เรื่องสีที่ไม่เหมือนกัน จะทำให้ผมต้องขัดกับพี่น้อง ถึงผมไม่เห็นด้วย ผมจะยอมเขา เพราะผมก็ยังแคร์ญาติพี่น้องเหมือนเดิม แต่ก็อยากให้เขาได้เรียนรู้เช่นกันว่าความถูกต้องมันควรเริ่มมาจากอะไร ความคิดที่บริสุทธิ์ต่างหากมันถึงจะก่อเกิดความดี ไม่ใช่การเริ่มต้นจากความโกรธแค้น ความโกรธแค้นมันจะเผากันเองทั้งการเอาคืนที่มากขึ้น ความเกลียดที่ฝังไว้ไม่ได้หายไปไหนเลย แค่รอวันประทุเมื่อมีโอกาส แนวคิดล้มล้างมันจะยังอยู่ต่อไป เพียงแต่รอวันที่จะมีคนมานำอีกครั้ง ล้มฝ่ายหนึ่งได้โดยเขาไม่ยอมรับ เขาก็จะกลับมาใหม่ ดังนั้นประเทศไทยควรจะก้าวข้ามทักษิณไปได้แล้ว ไม่ใช่การใช้ทักษิณมาจุดประกายให้คนออกมาล้ม ตัวคุณเองนั่นแหละควรจะเป็นทางเลือกให้คนอื่น หากการเลือกตั้งยังมี ผมจะใช้วิธีนี้ในการล้มทักษิณ เพราะผมจะไม่มองข้ามเสียงของคนที่ผมดูถูก เสียงพวกนี้มีความหมายเช่นกัน ผมรู้แล้วว่าทำไมเขาถึงเลือก และผมจะไม่ยอมเป็นเบี้ย เป็นหมากให้ให้นักการเมือง หรือคนอื่นๆเดิน เราคือผู้เล่น ผู้เล่นต้องอยู่นอกกระดาน
ผมไม่เคยยกศิลปินเป็นไอด้อล เพราะไอด้อลผมคือพ่อและแม่ แม่ที่มีจิตใจดีความ และมีพ่อที่มีความซื่อสัตย์ มีญาติพี่น้องที่เป็นคนดี ไม่รู้วันนี้เขาจะเกลียดผมไหม ที่ผมไม่เห็นด้วย จนบางครั้งเราจะเมินในการคุยกัน แต่อยากให้รู้ไว้ถ้าผ่านมาอ่าน ผมรักและเป็นห่วงเขาเหมือนเดิม แค่ขออธิบายในบางสิ่งที่เขาไม่อยากฟัง เหมือนกับตอนที่ผมก็ไม่ฟังแม่ของผม
เขียนไว้ในโอกาสระลึกถึงบุญคุณของคนที่ตนรัก เผื่อจะเป็นอุทาหรณ์ไว้สอนใจใครได้บ้าง เพราะว่าวันนี้ไม่ต้องทำงานเช้า และพักหัวสมองจากการแก้วิทยานิพนธ์ ที่ทุกวันนี้ผมยังไม่รู้เลย ว่าผมเรียนทำไม