เมื่อวานหุ้นขึ้นแรงเพราะข่าวนี้หรือไม่

กระทู้คำถาม
ข่าวลือนายกฯ จะมีการตัดสินใจลาออกในเวลา 4 โมงเย็นของวันที่ 12 มกราคม
http://www.komchadluek.net/detail/20140114/176781.html

'ปูไม่มาตามนัดกองทัพประเมินวันต่อวัน
'ยิ่งลักษณ์'ไม่มาตามนัด กองทัพประเมินวันต่อวัน : ทีมข่าวความมั่นคงรายงาน
              สถานการณ์ทางการเมืองได้เดินเข้าสู่จุดเขม็งเกลียวอีกครั้ง เมื่อมวลชน กปปส.ปักหลักตามแยกสำคัญ 7 จุดในกรุงเทพฯ ตามมาตรการปิดกรุงเทพฯ ของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.

              แน่นอนว่า ทุกครั้งในภาวะที่การเมืองของประเทศกำลังเข้าสู่วิกฤติ บทบาทของ "กองทัพ" ย่อมถูกจับตามองเป็นพิเศษ

              อย่างไรก็ตาม บทบาทของทหารในการใช้อำนาจนอกระบบไม่ได้รับเหมือนในอดีตและถ้าคิดจะปฏิวัติรัฐอีกครั้งคงไม่ได้รับการต้อนรับด้วย "ดอกไม้" ปลายกระบอกปืนเหมือนปี 2549 แน่ !!

              ดังนั้น การวางบทบาทของกองทัพในช่วงที่ผ่านมา ได้จำกัดบทบาทของตัวเองไว้เพียง "ตัวประสาน" ในการเจรจากับทุกฝ่ายเท่านั้น

              ดังเช่นการเป็นตัวประสานการเจรจาระหว่าง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งแม้จะล้มเหลว แต่ทหารได้แสดงบทบาทตามหลักสันติวิธีแล้ว

              ล่าสุด มีรายงานข่าวจากฝ่ายความมั่นคงว่า ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ได้มีการต่อสายหารือสถานการณ์ในวันที่ 13 มกราคม ระหว่าง น.ส.ยิ่งลักษณ์ กับ พล.อ.ประยุทธ์

              รวมความที่ได้หารือกันประมาณว่า คิดอย่างไรกับสถานการณ์วันที่ 13 มกราคม ซึ่งคำตอบที่ได้มาคือ รู้สึกเบื่อและท้อกับสถานการณ์การชุมนุมที่ยืดเยื้อแล้ว

              จากนั้นนายกฯ ได้ถาม พล.อ.ประยุทธ์ ว่า มีข้อเสนอแนะอย่างไร ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า ได้พูดคุยในเหล่าทัพแล้วทางออกที่ดีที่สุด คือ นายกฯ ต้อง "ตัดสินใจ" อย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะหากเกิดเหตุรุนแรงขึ้น นายกฯ คือผู้รับผิดชอบโดยตรง

              ภายหลังการหารือข่าวลือก็สะพัดทันทีว่า จะมีการตัดสินใจลาออกในเวลา 4 โมงเย็นของวันที่ 12 มกราคม เพียงแต่ขอไปหารือในที่ประชุมยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยก่อน

              แน่นอนว่า ระดับทีมยุทธศาสตร์เมื่อมีการหารือในเรื่องสำคัญๆ ก็มักจะต้องมี "คนแดนไกล" สไกป์ เข้ามาขอรับรู้ด้วย แล้วที่ผ่านมาเกมของฝ่ายรัฐบาลก็ไม่ได้เป็นรองสักเท่าไร

              ผลก็เป็นดังคาด มีการหยิบยกข้อกฎหมายที่นอกเหนือว่า ลาออกไม่ได้เพราะไม่มีรัฐธรรมนูญรองรับ แล้วแถมยังอาจมีความผิดตามมาตรา 157 ข้อหา "ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่" ซึ่งตรงนี้มองกันว่า เป็น "หลุมพราง" ของฝ่ายตรงข้าม

              ที่สุด คนไกลจึงทุบโต๊ะเปรี้ยงว่า ถอยไม่ได้ และให้นายกฯ รักษาการ และเดินหน้าการเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ ต่อไป !!!

              ฝ่ายกองทัพที่รอคำตอบจากนายกฯ แต่เมื่อถึงเวลานัดหมายก็เงียบหายไปกับสายลม...ไม่ต้องเดาว่านายกฯ เลือกทางเดินอย่างไร ดังนั้น การประเมินสถานการณ์การเมืองหลังจากนี้จึงต้องประเมินใหม่หมด และจะต้องประเมินแบบวันต่อวัน

              น่าสนใจว่า หลังปรากฏการณ์เมื่อวันที่ 12 มกราคม ในวันที่ 13 มกราคม พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่ได้เดินทางไปร่วมงานสถาปนากองทัพภาคที่ 1 ที่เดิมมีกำหนดเดินทางไปร่วมงานกับ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมช.กลาโหม และจะมีการหารือถึงสถานการณ์การเมืองร่วมกัน

              นอกจากนี้ เหล่า "พี่น้องบูรพาพยัคฆ์" ที่เคยเป็นผู้บังคับบัญชา กองทัพภาคที่ 1 ทั้ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีต รมว.กลาโหม และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีต ผบ.ทบ. ต่างก็ไม่ได้เดินทางมาร่วมงานด้วย

              ขณะที่พล.อ.ประยุทธ์ ได้แจ้งเหตุผลที่ยกเลิกการเดินทางมาเป็นประธานในพิธีอย่างกะทันหันว่า ติดภารกิจร่วมประชุมติดตามสถานการณ์การชุมนุมร่วมกับนายทหารระดับ 5 เสือของกองทัพบกในกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ (ร.1 รอ.)

              ในการประชุมที่ ร.1 รอ. นั้น ผบ.ทบ.ได้เน้นย้ำถึงการทำหน้าที่ของกำลังพลในการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยในสถานที่ราชการ ซึ่งได้รับมอบหมายภารกิจจาก ศอ.รส.

              ผบ.ทบ.ยังสั่งให้ทุกคนตรวจสอบ "อุปกรณ์การสื่อสาร" ให้พร้อมสมบูรณ์ในการปฏิบัติงาน เมื่อเกิดเหตุจะได้ไม่มีปัญหาการสื่อสาร ทั้งยังมอบหมายให้ผู้บังคับหน่วยไปตรวจเยี่ยมการปฏิบัติหน้าที่ของกำลังพลในพื้นที่ และตรวจสอบจำนวนทหารที่ประจำจุดต่างๆ ด้วย

              วันดียวกัน พล.ท.วีรัณ ฉันทศาสตร์โกศล ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ (ผบ.นปอ.) ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมกำลังพลของหน่วยที่ส่งเข้าดูแลความปลอดภัยที่จุดบริการร่วมตำรวจทหาร แยกหลักสี่

              พล.ท.วีรัณ กล่าวระหว่างการลงพื้นที่ว่า ได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยดูแลความปลอดภัย เน้นหลักสันติวิธีและปฏิบัติตามข้อบังคับ และไม่ยอมให้เกิดความรุนแรงโดยเด็ดขาด ส่วนการมาปฏิบัติงานของทหารไม่ได้กดดันเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่เป็นการบูรณาการร่วมกัน

              นปอ.ได้จัดกำลัง 9 กองร้อยดูแลสถานที่ราชการและสถานที่สำคัญต่างๆ อาทิ ทำเนียบรัฐบาล ศูนย์ราชการ ถนนแจ้งวัฒนะ และบริเวณจุดบริการประชาชน แยกหลักสี่ แยกปทุมวัน โรงงานผลิตน้ำดื่มสามเสน และกำลังพลจะมีเพียงโล่ กระบองและเสื้อเกราะเท่านั้น

              "หากเกิดเหตุฉุกเฉินในพื้นที่ที่ไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ ทหารก็จะเข้าไปแก้ไขสถานการณ์เบื้องต้นก่อน" ผบ.นปอ.ย้ำถึงภารกิจอีกประการของทางหน่วย

              ส่วนความเคลื่อนไหวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในเช้าวันที่ 13 มกราคม ได้เดินทางด้วยรถตู้ยี่ห้อโฟล์คสวาเก้นสีดำ (กันกระสุน) มายังอาคารสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เมืองทองธานี ถนนแจ้งวัฒนะ

              นายกฯ ได้เรียกประชุมคณะรัฐมนตรีบางส่วนและหน่วยงานความมั่นคงเพื่อประเมินสถานการณ์การชุมนุม โดยฝ่ายความมั่นคงที่เข้าร่วมประชุมด้วย ได้แก่ พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคง (สมช.) และ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมช.กลาโหม โดย พล.อ.นิพัทธ์ได้เสนอสถานที่ดังกล่าวเป็นสถานที่ทำงานชั่วคราวของนายกฯ

              นอกจากนี้ ยังมีการเสนอให้นายกฯ ใช้ "เซฟเฮ้าส์" ในต่างจังหวัด ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ เป็นที่พักชั่วคราว เพื่อความปลอดภัยด้วย

              จะเห็นได้ว่า ระยะห่างระหว่างรัฐบาลกับกองทัพในห้วงเวลาสำคัญเช่นนี้ "ช่องว่าง" ที่เคยมีได้ถ่างกว้างขึ้น และคล้ายจะคู่ขนานกันเสียด้วยซ้ำ ซึ่งขึ้นอยู่กับว่า รัฐบาลและกองทัพจะก้าวต่อไปอย่างไรในสภาวะบ้านเมืองสุ่มเสี่ยงที่จะเกิความสูญเสียมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์

ส่งทหารลดแรงปะทะแทนตร.
              แม้กองทัพบก (ทบ.) จะแถลงข่าวชี้แจงหลายครั้งว่า การเคลื่อนย้ายกำลังเข้ากรุงเทพฯ ในช่วงนี้เป็นการนำกำลังพล และยุทโธปกรณ์เข้ามาร่วมงานวันเด็กเมื่อวันที่ 11 มกราคม และร่วมพิธีสวนสนามในวันกองทัพไทย 18 มกราคม แต่ข่าวการ "รัฐประหาร" ก็ยังไม่ซาลงไป

              น่าสนใจว่า นอกจากกำลังพล และยุทโธปกรณ์จำนวนดังกล่าวแล้ว กำลังทหารอีกราว 40 กองร้อยยังได้รับมอบภารกิจจากศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ให้รักษาสงบเรียบร้อยสถานที่สำคัญร่วมกับตำรวจอีกกว่า 20,000 นาย

              ทหารที่ออกมาปฏิบัติหน้าที่ในครั้งนี้จัดกำลังมาจากกองทัพภาคที่ 1 ทำหน้าที่ในฐานะ "ผู้ช่วยเจ้าพนักงาน" ของตำรวจ โดยกระจายกำลังอยู่ในสถานที่ราชการสำคัญ สนามบินสุวรรณภูมิ และสถานีโทรทัศน์ช่อง 3, 5, 7, 9 เอ็นบีที ไทยพีบีเอส รวมถึงหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ทั้งการประปาสามเสน การไฟฟ้านครหลวงและศูนย์วิทยุการบิน เพื่อเตรียมรับมือการชุมนุมปิดกรุงเทพฯ ของกลุ่มกปปส.

              แหล่งข่าวในกองทัพระบุว่า การนำทหารเข้าไปรักษาสถานที่รัฐบาลเพื่อรักษาความสงบ ไม่ให้เกิดความรุนแรงเหมือนที่ ม.รามคำแหง และสนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง รัฐบาลจึงต้องการจัดกำลังทหารเข้าไปช่วยดูแล เพราะห่วงว่าจะมีความรุนแรงมากกว่าทุกครั้ง

              “ดังนั้น เมื่อไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรง หรือเกิดการปะทะกัน ถ้าในพื้นที่จุดไหนมีกำลังทหารอยู่ คิดว่า กปปส.คงจะหลีกเลี่ยงในการเผชิญหน้ากัน และไม่อยากเข้าปะทะกับทหาร จึงได้มีแนวความคิดให้ทหารไปดูแลพื้นที่ที่สำคัญแทนตำรวจ”

              แหล่งข่าวคนเดิมชี้ว่า ทหารมีบทเรียนจากปี 2553 ดังนั้น การปฏิบัติหน้าที่คงจะต้องระมัดระวังให้มากขึ้น โดยจะเข้าไปเป็น "กันชน" ให้ในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม การสั่งการไม่ได้อยู่ในมือของพลเรือน หรือตำรวจ ดังนั้น ตำรวจคงสั่งการทหารไม่ได้ทั้งหมด

              ทั้งนี้ การที่ทหารออกมาปฏิบัติการในครั้งนี้ ต้องดูว่าใครเป็นผู้สั่งการโดยตรง หรือใครเป็นผู้บังคับบัญชา ดังนั้น จึงทำให้อำนาจของพลเรือนลดลงไปพอสมควร ซึ่งตรงนี้จะเป็นปัญหาในอนาคต เพราะการควบคุมศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ในปี 2553 มีผู้รับผิดชอบตามนโยบายที่ชัดเจนคือ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง (ในขณะนั้น)

              แต่ ศอ.รส.ในปัจจุบันการควบคุมการสั่งการบังคับบัญชาไม่มีความชัดเจน และไม่แน่ใจว่า ศอ.รส.จะสั่งให้ทหารปฏิบัติการได้แค่ไหน ตรงนี้จะกลายเป็นปัญหาที่จะตามมา

              ส่วนเรื่องการเคลื่อนย้ายกำลัง และอาวุธยุทโธปกรณ์เข้ากรุงเทพฯ จำนวนมากนั้น ไม่อยากให้นำมาเป็นประเด็นทางการเมือง เพราะจะเป็นการซ้ำเติมประเทศชาติเข้าไปอีก

              "น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ต้องรีบตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง อย่าปล่อยให้บานปลาย และอย่ามองข้ามปัญหาที่จะเกิดขึ้น เพราะถ้าเกิดความรุนแรงเกิดขึ้นมา นายกฯ จะต้องรับผิดชอบ” แหล่งข่าวกล่าวย้ำ
......................
(หมายเหตุ : 'ยิ่งลักษณ์'ไม่มาตามนัด กองทัพประเมินวันต่อวัน : ทีมข่าวความมั่นคงรายงาน)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่