"ซื้อหุ้นปันผล" พาร์ทไทม์"กฤษฎา โพธิสมภรณ์"

กระทู้สนทนา
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์



ผลักดันรายได้ “ศรีราชา คอนสตรัคชั่น” สู่เป้าหมาย 5 พันล้านบาท ภายใน 5 ปี งานหลักของ “กฤษฎา โพธิสมภรณ์” บริหาร 2 พอร์ตหุ้น มูลค่าหลายพันล้าน

“ดูกราฟหุ้นไม่เป็น อาศัยเพียงสัญชาตญาณและประสบการณ์ล้วนๆในการลงทุน” “กฤษฎา โพธิสมภรณ์” รองกรรมการผู้จัดการ ในฐานะผู้ถือหุ้นลำดับ 3 สัดส่วน 9,962,500 หุ้น คิดเป็น 3.26 เปอร์เซ็นต์ บมจ. ศรีราชา คอนสตรัคชั่น หรือ SRICHA ผู้ประกอบการธุรกิจงานรับเหมาก่อสร้างโลหะในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่แบบครบวงจร เกริ่นนำสไตล์การลงทุนสุดถนัดให้ “กรุงเทพ Biz Week” ฟัง

25 กว่าปีแล้วที่ “ชายวัย 56 ปี” โลดแล่นอยู่ในแวดวงตลาดหุ้นไทย “เมื่อก่อนผมไม่ค่อยชอบที่จะนำเงินไปฝากธนาคาร เพราะได้ดอกเบี้ยไม่กี่เปอร์เซ็นต์ แม้ว่าสมัยนั้นดอกเบี้ยแบงก์จะสูงถึง 17-18 เปอร์เซ็นต์ต่อปี แต่หากนำเงินไปซื้อหุ้นจะได้กำไรมากกว่านี้ เนื่องจากดัชนีหุ้นไทยสูงถึง 1,700 จุด ยอมรับช่วงแรกๆ ของการลงทุนออกแนวลองผิดลองถูก ผมเล่นมาตั้งแต่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยยังใช้ระบบเคาะกระดาน (ยิ้ม)

“กฤษฎา” เล่าว่า ครอบครัวย้ายไปตั้งรกรากที่ประเทศออสเตรเลียตั้งแต่เรายังเด็กๆ แต่ตัวเองย้ายตามไปตอนอายุ 16 ปี หลังเรียนจบปริญญาตรี คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาก่อสร้าง ก็ทำงานต่อที่โน่นทันที ทำได้เพียง 5-6 ปี ตัดสินใจมาสมัครงานที่บมจ.ไทยออยล์ หรือ TOP ตอนแรกตั้งใจจะกลับมาเที่ยวเมืองไทยไม่นาน สุดท้ายอยู่ยาวหน้าตาเฉย ก่อนจะย้ายมาร่วมกันก่อตั้ง “ศรีราชา คอนสตรัคชั่น” ตามคำชักชวนของ “บุญเครือ เขมาภิรัตน์” ในฐานะกรรมการผู้จัดการ

สมัยทำงานใหม่ๆ บนโต๊ะทำงานจะมีคอมพิวเตอร์ 2 ตัว แต่ละตัวแบ่งหน้าที่กันชัดเจน คอมพิวเตอร์ตัวแรกจะไว้ทำงานล้วนๆ ส่วนตัวที่ 2 จะไว้ดูราคาหุ้น เวลาทำงานจะคอยๆแอบดูจอหุ้นว่า มีความเคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง เพราะช่วงแรกของการลงทุนเราเน้นเล่นหุ้นเก็งกำไร ตามประสาวัยรุ่น แต่โชคดีที่ “ไม่โลภ” เมื่อเรารู้ว่า เขา (เจ้ามือ) ปั่นหุ้นจึงงัดกลยุทธ์ “ซื้อตามหลัง และขายก่อนหน้ามาสู้”

หุ้นตัวแรกที่ซื้อลงทุน คือ หุ้น ธนาคารเกียรตินาคิน หรือ KKP และหุ้น บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ตะวันออกไฟแนนซ์ (1991) หรือ DEFT จำต้นทุนหุ้น 2 ตัวนี้ไม่ได้ รู้เพียงได้หุ้น DEFT มาในราคา 5 บาท บังเอิญรู้จักคนข้างใน เขาแบ่งขายหุ้นให้ก่อนที่หุ้น DEFT จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ผมตัดสินใจขายบางส่วนก่อนหุ้นจะเทรดในราคา 7-8 บาท ทำให้ได้ทุนคืนกลับมาบางส่วน

วันแรกของการซื้อขายหุ้น DEFT ราคาพุ่งสูงถึง 110 บาท ตอนแรกตั้งใจจะขายที่ราคา 120 บาท แต่ราคาหุ้นไปไม่ถึง แถมค่อยๆไหลลงเรื่อยๆ แต่ด้วยความที่คิดว่า หุ้นที่เหลือเป็น “หุ้นเชลย” หรือหุ้นที่มีกำไรแล้ว จึงปล่อยไว้ไม่ยอมขาย จนล่วงเลยมาถึงปี 2540 ประเทศไทยเกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง ส่งผลให้บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ตะวันออกไฟแนนซ์ (1991) ปิดกิจการ จากที่เคยกำไรหลายสิบล้านบาท มูลค่าเหลือศูนย์บาทภายในวันเดียว แต่เราไม่เจ็บตัว เพราะนั่นมันหุ้นเชลย (ยิ้ม)

อายุที่เริ่มมากขึ้น ทำให้ไม่กล้าเสี่ยงเหมือนสมัยวัยรุ่น จึงตัดสินใจเปลี่ยนสไตล์การลงทุนจาก “เก็งกำไร” เป็นลงทุนอย่าง “ระมัดระวัง” เมื่อช่วง 10 ปีก่อน โดยจะลงทุนเป็นรอบๆ หมายความว่า หากสบจังหวะหุ้นลดลงเยอะๆจะรีบเข้าไปช้อนทันที เน้นหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลดีๆ

หุ้นขาประจำของ “ชายวัย 56 ปี” คือ หุ้น ชิน คอร์ปอเรชั่น หรือ INTUCH, หุ้น แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือ ADVANC ,หุ้น ธนาคารกสิกรไทย หรือ KBANK และหุ้น บ้านปู หรือ BANPU ส่วนใหญ่เป็น “หุ้นบลูชิพ” โดยจะใช้เงินซื้อมากถึง “หลักร้อยล้านบาท” ไม่ค่อยชอบเล่นหุ้นตัวเล็กๆ แม้จะใช้เงินซื้อแค่หลักสิบล้านบาท แต่เวลาออกมันไม่ง่ายเลยเหมือนหุ้นตัวใหญ่

ปัจจุบันบริหารอยู่ 2 พอร์ต โดยพอร์ตแรกเป็นหุ้นมรดกของคุณพ่อ “วรพจน์ โพธิสมภรณ์” ท่านเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง บมจ.กรุงเทพประกันภัย หรือ BKI มากับ “ชิน โสภณพนิช” ทำให้ถือหุ้น BKI มานานกว่า 10 ปี ทันทีที่คุณพ่อเสียชีวิต หุ้น BKI จึงถูกแบ่งให้ลูกๆ ปัจจุบันหุ้นตัวนี้ยังคงอยู่ตั้งใจเก็บไว้เป็นมรดกให้ลูกหลานในอนาคต

ทุกครั้งที่มีพี่น้องคนใดอยากขายหุ้น BKI ผมจะรับซื้อเองทั้งหมด ปัจจุบันพอร์ตหุ้น BKI มีมูลค่าสูงถึง “หลักพันล้านบาท” ทุกปีเราจะได้รับเงินปันผลอย่างน้อย 12 บาทต่อหุ้นทุกปี ฉะนั้นจะถือว่าไปเรื่อยๆไม่ขายแน่นอน

ส่วนอีกพอร์ต หากลงทุนเต็มร้อย มูลค่าจะสูงถึง “หลักพันล้านบาท” เช่นกัน ส่วนใหญ่จะมีหุ้นในพอร์ตประมาณ 3-4 ตัว ตอนนี้ที่มีอยู่คือ หุ้น ชิน คอร์ปอเรชั่น หรือ INTUCH ชอบเพราะเขาจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 7-8 เปอร์เซ็นต์ อีกตัวคือ หุ้น ธนาคารกสิกรไทย หรือ KBANK

“ไม่ชอบลงทุนหุ้นแบบจับฉ่าย แต่ชอบเล่นหุ้นปันผล ทุกครั้งที่หุ้นปรับตัวลดลง เรายังได้เงินปันผลปลอบใจ”

“รองกรรมการผู้จัดการ” ถือโอกาสเล่าแผนธุรกิจของ “ศรีราชา คอนสตรัคชั่น” ให้ฟังว่า อยากเห็นบริษัทเป็นผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างโลหะในโรงงานขนาดกลางที่ “เก่งที่สุดในแถบเอเชีย” แอบหวังลึกๆว่า จะได้เห็นก่อนเกษียณอายุ (หัวเราะ) ปัจจุบันเราได้นำพาบริษัทมาสู่ความสำเร็จแล้ว จากที่เป็นเพียงบริษัทโนแนมขนาดเล็กๆ

หากถามถึงการเติบโตในแง่ของตัวเลข แน่นอนอยากให้บริษัทโตขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในด้านของ “กำไรสุทธิ” เราอยากเห็นความสม่ำเสมอ ผ่านมา 10 ปี กำไรสุทธิของเราเติบโตเฉลี่ย 35 เปอร์เซ็นต์

เป้าหมายในช่วง 5 ปีข้างหน้า (2557-2561) บริษัทต้องมีรายได้ประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท ที่สำคัญอยากเห็นบริษัทจ่ายเงินปันผลในระดับที่ดีต่อเนื่อง หากเราสามารถจ่ายเงินปันผลอย่างน้อยปีละ 7-10 เปอร์เซ็นต์ เราจะกลายเป็นบริษัทที่นักลงทุนต้องการอันดับต้น หายากนะบริษัทที่จ่ายเงินปันผลสูงๆแบบนี้

“ศรีราชา คอนสตรัคชั่น” มีความชำนาญงานหลากหลายด้าน ข้อแรก คือ งานโครงสร้างเหล็ก 2.งานประกอบและติดตั้งระบบท่อ 3.งานประกอบและติดตั้งระบบถังบรรจุภัณฑ์เครื่องจักรและอุปกรณ์ และงานซ่อมบำรุงเครื่องจักรและอุปกรณ์ เรามีผลงานที่สร้างชื่อมากกว่า 50 โครงการ อาทิ โครงการโรงงานถลุงแร่ ประเทศมาดากัสการ์ มูลค่างานกว่า 7,500 ล้านบาท

โครงการโรงกลั่นน้ำมันเอกซอนโมบิล (เอสโซ่) ประเทศสิงคโปร์ มูลค่างานกว่า 950 ล้านบาท นอกจากนั้นในอดีตเรายังเคยรับงานโรงกลั่นน้ำมันของบมจ.ไทยออยล์ มูลค่า 1,440 ล้านบาท โรงกลั่นน้ำมันเอสโซ่มูลค่า 200 ล้านบาท และงานโรงกลั่นน้ำมัน ประเทศการ์ตา มูลค่า 600 ล้านบาท เป็นต้น

ถามถึง “จุดเด่น” ของบริษัท เขาตอบว่า เรามีทีมงานวิศวกรระดับสูงที่มีประสบการณ์ในงานรับเหมาก่อสร้างงานโลหะหรือเครื่องกลมากกกว่า 20 ปี ทำให้สามารถรับงานที่ใช้ความเชี่ยวชาญสูงได้ ที่ผ่านมาเราได้รับความเชื่อมั่นจากบริษัทรับเหมาก่อสร้างระดับโลกหลายแห่ง อาทิ บริษัท ฟอสเตอร์ วีลเลอร์,บริษัท เบคเทล จากสหรัฐอเมริกา และบริษัท เจจีซี (JGC) จากประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น

“ธุรกิจของเรามีคู่แข่งน้อยรายมาก ส่งผลทำให้บริษัทสามารถเลือกรับงานที่มีความถนัดและมีอัตรากำไรที่สูงได้ โดยเฉพาะโครงการระดับสูงในต่างประเทศที่มีอัตรากำไรที่ดีมาก”

เขา ย้อนความสำเร็จหลังเดินสายโรดโชว์ให้ฟังว่า ผลงานต่างๆที่ดีของเรา ทำให้ที่ผ่านมากองทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศติดต่อเข้ามาคุยกับเราเยอะมาก ด้วยความที่กองทุนเหล่านี้สงสัยว่า “ศรีราชา คอนสตรัคชั่น” ทำธุรกิจอะไร? เหตุใดจึงมี “กำไร” เติบโตอยู่ใน “หลักพันล้าน” ประจวบเหมาะกับช่วงเวลาหนึ่งราคาหุ้น SRICHA เคยขึ้นไปสูงถึง 60 กว่าบาท ทั้งๆที่บริษัทไม่เคยเดินสายโรดโชว์นักลงทุนต่างชาติเลย

ตอนบริษัทขายหุ้น IPO ใหม่ๆ เรามียอดจองมากถึง 7 เท่า ของจำนวนหุ้นที่จะเข้าระดมทุน ทำให้ไม่มีความจำเป็นต้องโรดโชว์ แต่หลังจากนั้นไม่นานที่ปรึกษาทางการเงินแนะนำว่า หากเราต้องการให้บริษัทเป็นที่รู้จักมากขึ้นต้องนำเสนอข้อมูลบ้าง บริษัทจึงเดินทางไปโรดโชว์ในประเทศสิงคโปร์ 2 ครั้ง

ผลปรากฎว่า หลังจากเข้าตลาดหุ้นได้ 8 เดือน เราคุยกับกองทุนต่างชาติไม่ต่ำกว่า 50 กองทุน ซึ่งกองทุนเหล่านั้นมีทั้งที่อยากซื้อและไม่อยากซื้อหุ้นเรา ที่ผ่านมาเราเปิดเผยข้อมูลที่เป็นจริงตลอดไม่มีวาดฝันเกินจริง ปัจจุนสัดส่วนผู้ถือหุ้นต่างชาติอยู่ประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ จากช่วงแรกที่มีนักลงทุนต่างชาติไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์

“รองกรรมการผู้จัดการ” ปิดท้ายบทสนทนาว่า เราเลือกรับแต่งานภาคเอกชนทั้งต่างประเทศและในประเทศ ส่วนงานก่อสร้างของภาครัฐ เราไม่ได้รับแม้แต่โครงการเดียว ดังนั้นบริษัทจึงไม่ได้รับผลกระทบจากการเลื่อนการก่อสร้างโครงการบริหารการจัดการน้ำ และสาธารณูปโภคพื้นฐานของรัฐบาล (ยิ้ม)

สำหรับผลประกอบการในปี 2556 เราคงมีรายได้ประมาณ 2,400-2,700 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2557 อาจมีรายได้ไม่น้อยกว่า 2,000-3,000 ล้านบาท โดยจะรับรู้รายได้จากยอด Backlog ที่มีอยู่ประมาณ 1,700 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้ในปี 2556 จำนวน 700 ล้านบาท ที่เหลือจะรับรู้รายในปี 2557จำนวน 1,000 ล้าบาท เราจะพยายามรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ 35 เปอร์เซ็นต์

ตอนนี้อยู่ระหว่างเจรจาประมูลงานในและนอกประเทศ มูลค่า 4,500 ล้านบาท คาดว่าจะได้งานประมาณ 1,500-2,500 ล้านบาท แบ่งแป็นงานโรงกลั่น มูลค่างานไม่เกิน 1,000 ล้านบาท งานท่อมูลค่างาน 1,000 ล้านบาท งานโมดูล ประเภทงานโรงไฟฟ้า ประเทศเม็กซิโก มูลค่างานประมาณ 500-800 ล้านบาท งานผลิตไฟฟ้า ประเทศพม่า มูลค่างาน 1,400 ล้าบาท และงานโรงแยกแก๊ส ประเทศโมซัมบิก มูลค่างาน 500 ล้านบาท

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่