แชร์จากบทความในเฟสของคุ ณ Surachai K. Varodom
++++++++++++++++++++++++++++++++
ผมพยายามหาคำตอบว่า ทำไมสถานการณ์จึงเป็นอย่างนี้ขึ้นมาได้ แล้วคิดว่าน่าจะเป็นพราะเหตุนี้ครับ
EMOTIONAL หรือ ด้วยอารมณ์ กับ
RATIONAL หรือ ด้วยเหตุผล
มันเป็นการต่อสู้ ของ สองสิ่งนี้ในสังคมไทย ในเหตุการณ์ที่ผ่าน ๆ มา ตลอด 3-4 เดือนที่เราประสบมา
ฝ่ายหนึ่ง กำลังใช้ อารมณ์ มากระตุ้นความรู้สึกของผู้ตนในสังคม ด้วย วาทกรรม ต่าง ๆ นานา ทุกข้อเสนอล้วนมาจากอารมณ์ภายในที่สะสมและก่อเกิดขึ้นมาในฝ่ายกลุ่มของตน และได้สร้างวาทกรรมต่าง ๆ ขึ้นมา ล้วนต้องการสร้างอารมณ์ร่วมของคนในชาติให้เกิดขึ้นมา เพื่อสนับสนุน ให้ฝ่ายตนได้รับชัยชนะทางการเมือง ทุกข้อเสนอ ล้วนเกิดจากอารมณ์โดยมิได้ผ่านขั้นตอนของการแสวงหาเหตุผลอย่างละเอียดของข้อเสนอ จึงทำให้ข้อเสนอต่าง ๆ ติดขัดตรงข้าม ย้อนแย้ง ถ้าเรานำข้อเสนอแต่ละข้อมาพิจารณา อาจฟังดูมีเหตุมีผล แต่ถ้านำมาประกอบเป็นองค์รวมของภาพแล้ว มันจะขัดแย้งกันเองทั้งหมด ไม่อาจหาเหตุผลใด ๆ มาอธิบายภาพปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นและที่จะเกิดต่อไปได้เลย รวมถึงข้อเสนอต่าง ๆ ล้วนไม่ใช่เจตนาที่มาจากส่วนลึกภายในหัวใจที่ต้องการอย่างแท้จริง เป็นเพียงข้ออ้างเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์สุดท้าย ก็คือ ชัยชนะทางการเมือง ของกลุ่มฝ่ายตน
ไม่ว่า ปฎิรูป ก่อน เลือกตั้ง ต้านคอร์รัปชั่น กระจายอำนาจ เลือกผู้ว่า เลือก ผบตร. ล้มล้างระบอบทักษิณ สภาประชาชน ขอเวลาปฏิรูปแก้ไขกติกาการเลือกตั้ง ไปไกลถึงกับไม่เอา หนึ่งสิทธ็หนึ่งเสียง การเสนอแผนปฏิรูปของนายอภิสิทธิ์ การเรียกร้องให้เลื่อนการเลือกตั้งไปก่อน การจะขอปิดกรุงเทพ ตัดน้ำตัดไฟ ปิดสถานที่ราชการ การร้องขอให้ทหารออกมาทำการรัฐประหาร รวมทั้งข้อเรียกร้องทุกข้อที่ผ่านมา หรือ จะเกิดขึ้นตามมา ล้วนเป็นข้อเรียกร้อง ที่เกิดจาก Emotional ทั้งสิ้น ในทุก ๆ เรื่อง ที่สรรหามา
จึงเป็นคำตอบที่ว่า ทำไมจึงเป็นไปไม่ได้ และ ไม่อาจประสบความสำเร็จ ตามข้อเสนอของ ฝ่ายนี้ได้เลย
แต่สังคมไทย คนไทยเรา ส่วนใหญ่ ขาดการมองภาพที่เป็น Rational ที่เป็นภาพองค์รวม เราจะมองเพียงข้อเสนอแต่ละเรื่องที่เขาเสนอมา แล้วก็ถกเถียงกันเพียงข้อเสนอในเรื่องนั้น ๆ แต่ละเรื่อง ซึ่งก็ดูเหมือนการถกเถียงเป็นไปอย่างมีเหตุมีผล ของทั้งสองฝ่าย แล้วเลยความคิดเตลิดกันไป ว่า ล้วนมีเหตุผลและน่าสนใจที่จะนำมาพิจารณา แม้กระทั่งรัฐบาล ก็ยังหลงเข้าไป ในเรื่องข้อเสนอการปฏิรูปอย่างที่ไม่น่าจะต้องเสนอซ้อนกันขึ้นมา ทั้งที่ก็รู้ว่า มันทำไม่ได้ ในกำหนดเวลาที่เขาเสนอและคิดกันขึ้นมาไม่ว่าจะกี่เดือนปีก็ตาม เลยกลายเป็นทั้งสองฝ่าย ช่วงชิงการเอาชนะทางการเมืองกันไป โดยที่ฝ่ายหนึ่งมีเจตนา แต่อีกฝ่ายไม่รู้ในเจตนา
แต่คำถามทีสำคัญ ก็คือ ทำไมจึงยังมีคนกลุ่มที่ใหญ่มาก ๆ สนับสนุนการเคลื่อนไหวของฝ่าย Emotional สิ่งสำคัญที่เราต้องยอมรับกันอย่างตรงไปตรงมา ก็คือ การใช้วาทกรรม Hate Speech และการนำเอาข้อหาที่ฉกาจฉการณ์มากมาล่าวหาอีกฝ่าย โดยที่คนส่วนใหญ่หลงเชื่อไปแล้วว่า มันคงเป็นความจริง โดยไม่พิจารณาให้ถ่องแท้ว่ามันไม่ใช่ หรือถ้าจะมี ก็เป็นคนส่วนที่น้อยมากที่สุด ที่หลงทางด้วยความคิดสุดขั้ว แต่ด้วยความเป็นประชาธิปไตยของฝ่ายนี้ จึงลำบากใจที่จะกำจัดออกไป เพราะจะขาดความเป็นประชาธิปไตยที่ต้องมี Rational เป็นกติกาของการรับฟังความคิดทุกฝ่าย ผิดถูกให้สังคมเป็นผู้ตัดสินและพิจารณา แต่เรื่องนี้เป็นเรื่อง Sensitive ของคนไทยส่วนใหญ่ คนส่วนนี้จึงออกมาร่วมด้วยโดยมิได้ใช้เหตุผลเป็นเครื่องมือในการพิจารณา แต่กระทำหรือเข้าร่วมด้วยรู้สึกว่า นั่นคือ ความดี หรือ คนดี ของสังคม ที่ต้องช่วยฝ่าย Emotional เพื่อกำจัดหรือแม้แต่ฆ่าก็จะทำ ถ้าต้องทำ ซึ่งยิ่งทำให้เป็น Emotional กันไปใหญ่
แต่ในที่สุดแล้ว ทิศทางที่ถูกต้องของสังคม ด้วยเหตุผล ต้องชนะ ด้วยอารมณ์ ความชอบธรรม ต้อง ชนะความไม่ชอบธรรม เพราะมนุษย์เป็นสัตว์ที่มีเหตุผล แม้ก็ต้องมีอารมณ์เป็นองค์ประกอบเช่นกันในตัวของเราทุก ๆ คน แต่ด้านที่มีเหตุผล มักต้องชนะ และมีปริมาณทีสูงกว่าอารมณ์ในตัวของเราทุก ๆ คน ซึ่งในทางสังคมก็เช่นเดียวกัน ฝ่ายที่มีเหตุผล ต้องมีจำนวนมากกว่าหรือสูงกว่า ฝ่ายที่ใช้อารมณ์ ไม่เช่นนั้น สังคมก็ไม่สามารถดำรงคงอยู่ต่อไปได้ เพราะมันเป็นหลักทางสังคมวิทยา ถ้าเขียนยาวเกินไปกว่านี้ เกรงจะไม่อยากอ่านกัน ก็เลยขอให้ส่วนขยายเป็น comments ที่จะตามมา
ท่านเห็นด้วย หรือ ไม่เห็นด้วย ขอได้โปรด comment กันมา เพื่อหาทางออกให้แก่สังคมไทยของเราครับ..
---------------------------------------------------------
อ่านแล้ว คิดว่าไงคะ
ไปอ่านเจอมา น่าสนใจดี
++++++++++++++++++++++++++++++++
ผมพยายามหาคำตอบว่า ทำไมสถานการณ์จึงเป็นอย่างนี้ขึ้นมาได้ แล้วคิดว่าน่าจะเป็นพราะเหตุนี้ครับ
EMOTIONAL หรือ ด้วยอารมณ์ กับ
RATIONAL หรือ ด้วยเหตุผล
มันเป็นการต่อสู้ ของ สองสิ่งนี้ในสังคมไทย ในเหตุการณ์ที่ผ่าน ๆ มา ตลอด 3-4 เดือนที่เราประสบมา
ฝ่ายหนึ่ง กำลังใช้ อารมณ์ มากระตุ้นความรู้สึกของผู้ตนในสังคม ด้วย วาทกรรม ต่าง ๆ นานา ทุกข้อเสนอล้วนมาจากอารมณ์ภายในที่สะสมและก่อเกิดขึ้นมาในฝ่ายกลุ่มของตน และได้สร้างวาทกรรมต่าง ๆ ขึ้นมา ล้วนต้องการสร้างอารมณ์ร่วมของคนในชาติให้เกิดขึ้นมา เพื่อสนับสนุน ให้ฝ่ายตนได้รับชัยชนะทางการเมือง ทุกข้อเสนอ ล้วนเกิดจากอารมณ์โดยมิได้ผ่านขั้นตอนของการแสวงหาเหตุผลอย่างละเอียดของข้อเสนอ จึงทำให้ข้อเสนอต่าง ๆ ติดขัดตรงข้าม ย้อนแย้ง ถ้าเรานำข้อเสนอแต่ละข้อมาพิจารณา อาจฟังดูมีเหตุมีผล แต่ถ้านำมาประกอบเป็นองค์รวมของภาพแล้ว มันจะขัดแย้งกันเองทั้งหมด ไม่อาจหาเหตุผลใด ๆ มาอธิบายภาพปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นและที่จะเกิดต่อไปได้เลย รวมถึงข้อเสนอต่าง ๆ ล้วนไม่ใช่เจตนาที่มาจากส่วนลึกภายในหัวใจที่ต้องการอย่างแท้จริง เป็นเพียงข้ออ้างเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์สุดท้าย ก็คือ ชัยชนะทางการเมือง ของกลุ่มฝ่ายตน
ไม่ว่า ปฎิรูป ก่อน เลือกตั้ง ต้านคอร์รัปชั่น กระจายอำนาจ เลือกผู้ว่า เลือก ผบตร. ล้มล้างระบอบทักษิณ สภาประชาชน ขอเวลาปฏิรูปแก้ไขกติกาการเลือกตั้ง ไปไกลถึงกับไม่เอา หนึ่งสิทธ็หนึ่งเสียง การเสนอแผนปฏิรูปของนายอภิสิทธิ์ การเรียกร้องให้เลื่อนการเลือกตั้งไปก่อน การจะขอปิดกรุงเทพ ตัดน้ำตัดไฟ ปิดสถานที่ราชการ การร้องขอให้ทหารออกมาทำการรัฐประหาร รวมทั้งข้อเรียกร้องทุกข้อที่ผ่านมา หรือ จะเกิดขึ้นตามมา ล้วนเป็นข้อเรียกร้อง ที่เกิดจาก Emotional ทั้งสิ้น ในทุก ๆ เรื่อง ที่สรรหามา
จึงเป็นคำตอบที่ว่า ทำไมจึงเป็นไปไม่ได้ และ ไม่อาจประสบความสำเร็จ ตามข้อเสนอของ ฝ่ายนี้ได้เลย
แต่สังคมไทย คนไทยเรา ส่วนใหญ่ ขาดการมองภาพที่เป็น Rational ที่เป็นภาพองค์รวม เราจะมองเพียงข้อเสนอแต่ละเรื่องที่เขาเสนอมา แล้วก็ถกเถียงกันเพียงข้อเสนอในเรื่องนั้น ๆ แต่ละเรื่อง ซึ่งก็ดูเหมือนการถกเถียงเป็นไปอย่างมีเหตุมีผล ของทั้งสองฝ่าย แล้วเลยความคิดเตลิดกันไป ว่า ล้วนมีเหตุผลและน่าสนใจที่จะนำมาพิจารณา แม้กระทั่งรัฐบาล ก็ยังหลงเข้าไป ในเรื่องข้อเสนอการปฏิรูปอย่างที่ไม่น่าจะต้องเสนอซ้อนกันขึ้นมา ทั้งที่ก็รู้ว่า มันทำไม่ได้ ในกำหนดเวลาที่เขาเสนอและคิดกันขึ้นมาไม่ว่าจะกี่เดือนปีก็ตาม เลยกลายเป็นทั้งสองฝ่าย ช่วงชิงการเอาชนะทางการเมืองกันไป โดยที่ฝ่ายหนึ่งมีเจตนา แต่อีกฝ่ายไม่รู้ในเจตนา
แต่คำถามทีสำคัญ ก็คือ ทำไมจึงยังมีคนกลุ่มที่ใหญ่มาก ๆ สนับสนุนการเคลื่อนไหวของฝ่าย Emotional สิ่งสำคัญที่เราต้องยอมรับกันอย่างตรงไปตรงมา ก็คือ การใช้วาทกรรม Hate Speech และการนำเอาข้อหาที่ฉกาจฉการณ์มากมาล่าวหาอีกฝ่าย โดยที่คนส่วนใหญ่หลงเชื่อไปแล้วว่า มันคงเป็นความจริง โดยไม่พิจารณาให้ถ่องแท้ว่ามันไม่ใช่ หรือถ้าจะมี ก็เป็นคนส่วนที่น้อยมากที่สุด ที่หลงทางด้วยความคิดสุดขั้ว แต่ด้วยความเป็นประชาธิปไตยของฝ่ายนี้ จึงลำบากใจที่จะกำจัดออกไป เพราะจะขาดความเป็นประชาธิปไตยที่ต้องมี Rational เป็นกติกาของการรับฟังความคิดทุกฝ่าย ผิดถูกให้สังคมเป็นผู้ตัดสินและพิจารณา แต่เรื่องนี้เป็นเรื่อง Sensitive ของคนไทยส่วนใหญ่ คนส่วนนี้จึงออกมาร่วมด้วยโดยมิได้ใช้เหตุผลเป็นเครื่องมือในการพิจารณา แต่กระทำหรือเข้าร่วมด้วยรู้สึกว่า นั่นคือ ความดี หรือ คนดี ของสังคม ที่ต้องช่วยฝ่าย Emotional เพื่อกำจัดหรือแม้แต่ฆ่าก็จะทำ ถ้าต้องทำ ซึ่งยิ่งทำให้เป็น Emotional กันไปใหญ่
แต่ในที่สุดแล้ว ทิศทางที่ถูกต้องของสังคม ด้วยเหตุผล ต้องชนะ ด้วยอารมณ์ ความชอบธรรม ต้อง ชนะความไม่ชอบธรรม เพราะมนุษย์เป็นสัตว์ที่มีเหตุผล แม้ก็ต้องมีอารมณ์เป็นองค์ประกอบเช่นกันในตัวของเราทุก ๆ คน แต่ด้านที่มีเหตุผล มักต้องชนะ และมีปริมาณทีสูงกว่าอารมณ์ในตัวของเราทุก ๆ คน ซึ่งในทางสังคมก็เช่นเดียวกัน ฝ่ายที่มีเหตุผล ต้องมีจำนวนมากกว่าหรือสูงกว่า ฝ่ายที่ใช้อารมณ์ ไม่เช่นนั้น สังคมก็ไม่สามารถดำรงคงอยู่ต่อไปได้ เพราะมันเป็นหลักทางสังคมวิทยา ถ้าเขียนยาวเกินไปกว่านี้ เกรงจะไม่อยากอ่านกัน ก็เลยขอให้ส่วนขยายเป็น comments ที่จะตามมา
ท่านเห็นด้วย หรือ ไม่เห็นด้วย ขอได้โปรด comment กันมา เพื่อหาทางออกให้แก่สังคมไทยของเราครับ..
---------------------------------------------------------
อ่านแล้ว คิดว่าไงคะ