จันทร์ที่ 13 มกราคม ทุกสายตาเพ่งมองไปที่ 7 เวทีในกรุงเทพมหานคร ประกอบด้วย
เวทีที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เวทีที่ปากทางลาดพร้าว เวทีที่ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ
เวทีที่ปทุมวัน เวทีที่ลุมพินี เวทีที่แยกราชประสงค์ และเวทีที่อโศก
การตั้งเวทีปิดกรุงเทพฯครั้งนี้ นายสเทพ เทือกสุบรรณ เลขาฯ กปปส. เรียกว่า
"ชัตดาวน์กรุงเทพฯ"
วัตถุประสงค์ที่นายสุเทพประกาศบนเวทีก็เพื่อกดดันให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปฏิบัติ
หน้าที่นายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลรักษาการ ลาออกจากการทำหน้าที่รักษาการ
และให้รัฐมนตรีที่ปฏิบัติหน้าที่ในรัฐบาลรักษาการลาออกไปด้วย
ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยืนยันว่าทำเช่นนั้นมิได้ และอ้อนวอนให้ทุกฝ่ายเดินหน้าเลือกตั้ง
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ เพื่อจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ขึ้นมาบริหารประเทศ
เกิดเป็นการเผชิญหน้าระหว่าง กปปส. ที่อ้างความเคลื่อนไหวโดย "มวลมหาประชาชน"
กับรัฐบาลรักษาการที่มีกลุ่มมวลชนคนเสื้อแดงประกาศสนับสนุนอยู่
ล่าสุด เมื่อ กปปส.ประกาศปิดกรุงเทพฯ นางธิดา ถาวรเศรษฐ นายจาตุพร พรหมพันธุ์
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ก็ประกาศให้คนเสื้อแดงเคลื่อนไหวในพื้นที่ภาคเหนือและอีสาน
กระทั่งน่าเป็นห่วงว่า เหตุการณ์ชัตดาวน์จะนำไปสู่อะไร?
ประการแรก คือ ไม่ได้นำไปสู่อะไร เพราะทุกอย่างดำเนินไปตามปกติ เพียงติดขัดด้าน
การสัญจร เนื่องจากกลุ่มผู้ชุมนุมตั้งเวทีขวางทางอยู่ ส่วนรัฐบาลก็ยังคงรักษาการต่อไป
ขณะที่ความขัดแย้งอื่นๆ ปล่อยให้เป็นไปตามกาลเวลาและกระบวนการ
ประการที่สอง เกิดความวุ่นวาย กระทั่งรัฐบาลต้องประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการ
ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ดึงเอาทหารเข้ามาช่วย และปฏิบัติการควบคุมความวุ่นวายให้กลับ
คืนสู่ความสงบ
ประการที่สาม เกิดความรุนแรงขึ้น จนฝ่ายทหารต้องเคลื่อนกำลัง เพื่อยึดอำนาจและเข้า
จัดการประเทศ เหมือนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนกันยายน 2549
นั่นคือ ยึดอำนาจ แต่งตั้งรัฐบาลฝ่ายทหารขึ้นมาบริหารประเทศ
อย่างไรก็ตาม ก่อนเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งจะเกิดขึ้น ขณะนี้เริ่มบังเกิดปรากฏการณ์
อันมาจากผลกระทบจากการประกาศชัตดาวน์กรุงเทพฯแล้ว
ทั้งนี้ เพราะการประกาศชัตดาวน์กรุงเทพฯ มิเพียงแต่จะกระทบกับรัฐบาลในฐานะผู้รับผิด
ชอบบ้านเมืองเท่านั้น หากแต่ยังกระทบต่อประชาชนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ
และยังกระทบต่อความรู้สึกของคนต่างจังหวัด ที่ไม่เห็นด้วยกับการประกาศชัตดาวน์กรุงเทพฯ
ณ วันนี้ จึงก่อเกิดกลุ่มที่สามขึ้นมามากขึ้น นั่นคือกลุ่ม "พอกันที" เกิดกลุ่ม "ขั้วที่สาม"
เริ่มมีกิจกรรมจุดเทียนเรียกร้องให้เลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ เพราะเห็นว่าเป็นทางออก
ตามวิถีประชาธิปไตย
เริ่มมีกลุ่ม "ไทยเฉย" ซึ่งเคยอยู่เงียบรอฟัง ออกมาเคลื่อนไหวแสดงความรู้สึกไม่เห็นด้วยกับ กปปส.
มีคนชูป้าย เป่านกหวีด และทักท้วงพรรคประชาธิปัตย์ ในขณะที่กำลังอธิบายเรื่องปฏิรูป
ประเทศ และมีนักศึกษายกมือขึ้นแสดงความเห็นแย้งกับอาจารย์ ซึ่งสนับสนุนแนวทางการ
เคลื่อนไหวของ กปปส.
ล่าสุด บรรดานักวิชาการได้รวมตัวกันประกาศจุดยืน "2 เอา 2 ไม่เอา" ไปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
เท่ากับว่าประเทศไทยกำลังยืนอยู่บน "แพร่ง" ที่ต้องเลือกเดิน
ทางหนึ่ง เดินตามแนวทางประชาธิปไตย คือ ไปเลือกตั้ง และปฏิรูปประเทศ
ทางหนึ่ง เดินตามแนวทางเผด็จการ คือ รัฐประหารยึดอำนาจ และปฏิรูปประเทศ
ทั้งนี้ ข้อแตกต่างระหว่าง 2 แนวทางที่อาจเกิดขึ้นมีความแตกต่างกันตรงที่
การยึดโยงกับประชาชน
แนวทางประชาธิปไตยยึดโยงกับประชาชนโดยรูปแบบการปกครอง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้ง
ไม่ว่าจะเป็นตัวแทนของประชาชนที่มาจากประชาชน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบริหารที่ต้องยึดโยง
กับตัวแทนประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการออกกฎหมาย หรือการถอดถอนผู้มีอำนาจ
ทุกอย่างล้วนยึดโยงกับประชาชน คือต้องมีความรับผิดชอบต่อประชาชน
ขณะที่แนวทางเผด็จการยึดอำนาจ มีปัญหาตรง ระบบดังกล่าวไม่ยึดโยงกับประชาชน
เพราะอำนาจที่ยึดมาไม่ใช่ได้มาจากประชาชน หากแต่ได้มาด้วยการใช้พลังแย่งชิง
ดังนั้น ผลิตผลจากแนวทางประชาธิปไตย กับแนวทางเผด็จการจึงแตกต่าง
รัฐบาลที่มาตามแนวทางประชาธิปไตย กับรัฐบาลที่มาตามแนวทางการยึดอำนาจก็แตกต่าง
สภาปฏิรูปที่เกิดจากแนวทางที่ยึดโยงประชาชน กับสภาปฏิรูปที่เกิดจากคณะผู้ยึดอำนาจก็
ต้องแตกต่างกัน
กฎกติกาในสังคมที่ยึดโยงกับประชาชน กับกฎกติกาในสังคมที่ยึดโยงกับคณะบุคคลก็ย่อม
แตกต่างกัน
ดังนั้น ในขณะที่รัฐบาลรักษาการกำลังพบกับมรสุมรอบทิศ ทั้งจากกลุ่มผู้ประท้วงในนาม กปปส.
ทั้งจากการรุกคืบขององค์กรอิสระที่โหมตัดสินความผิดของฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายนิติบัญญัติ อย่าง
ต่อเนื่อง รวมไปถึงความพยายามของกลุ่มผู้มีอำนาจเพื่อขัดขวางมิให้แนวทางประชาธิปไตยเดิน
ไปได้ จึงเป็นวิธีคิดและวิธีทำที่น่าสะพรึงกลัว
กลัวว่าสังคมไทยจะผละผลักไส "ประชาธิปไตย" ทิ้งไป แล้วช่วยกันเปิดทางให้ "เผด็จการ"
เข้ามาครอบงำประเทศ
เกรงว่า "ชัตดาวน์กรุงเทพฯ" จะเป็นประตูนำไปสู่ระบบใหม่ที่ล้าสมัย
เกรงว่า หากปล่อยให้ประเทศเดินสู่หุบเหว จะกลายเป็นข้ออ้างที่ทำให้ "อำนาจ" ในมือประชาชน
ต้องระเห็จออกไปอยู่ในมือของ "คณะบุคคล"
ดังนั้น หลายคนจึงเริ่มออกมาเคลื่อนไหว ประกาศแต่เนิ่นๆ ว่าต้อง "เลือกตั้ง" ต้อง "ประชาธิปไตย"
นักวิชาการผู้ตื่นรู้ก็ออกมารวมตัว ประกาศว่า ประเทศไทยไม่เอา "ปฏิวัติ" ไม่ต้องการ "รัฐประหาร"
และไม่ต้องการให้ "ชัตดาวน์กรุงเทพฯ" นำไปสู่การปิดประตูใส่หน้า "ประชาธิปไตย"
http://www.matichon.co.th/daily/view_newsonline.php?newsid=1389497888§ionid=0116
"
อำนาจในมือใคร" ถามกันจัง คงเป็นคำถามที่ บิ๊กบัง เคยตอบแล้วว่า "ตายไป ยังตอบไม่ได้"
แต่เขาบอกว่า เป็น "มือที่มองไม่เห็น" หรือไม่ก็ "คนที่คุณก็รู้ว่าเป็นใคร" ที่ปิดกันให้ "แซ่ด"
ข่าวสารแบบนี้ สื่อต่างประเทศ ให้ข้อมูลได้ดีกว่า สื่อไทย เพราะ "กล้า" กว่า "อิสระกว่า"
คนไทยในต่างประเทศ ก็เลยเข้าถึงข้อมูล ข่าวสาร ได้มากกว่าคนไทย ที่อยู่ในประเทศ
แต่ความลับ ไม่มีในโลก วันนึง ก็ต้องเปิดเผยจนได้ แล้วเมื่อคุณรู้ความจริง ว่า เรื่องแบบนี้
มันเกิดได้ยังไง คุณคง "อึ้ง" แบบ "ไม่น่าเชื่อ" เหมือนอย่างหลายๆ คนเป็นแล้ว วันนี้
"ชัดดาวน์" เปิด-ปิด ประชาธิปไตย อำนาจในมือใคร ? วิเคราะห์ มติชนออนไลน์
เวทีที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เวทีที่ปากทางลาดพร้าว เวทีที่ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ
เวทีที่ปทุมวัน เวทีที่ลุมพินี เวทีที่แยกราชประสงค์ และเวทีที่อโศก
การตั้งเวทีปิดกรุงเทพฯครั้งนี้ นายสเทพ เทือกสุบรรณ เลขาฯ กปปส. เรียกว่า
"ชัตดาวน์กรุงเทพฯ"
วัตถุประสงค์ที่นายสุเทพประกาศบนเวทีก็เพื่อกดดันให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปฏิบัติ
หน้าที่นายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลรักษาการ ลาออกจากการทำหน้าที่รักษาการ
และให้รัฐมนตรีที่ปฏิบัติหน้าที่ในรัฐบาลรักษาการลาออกไปด้วย
ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยืนยันว่าทำเช่นนั้นมิได้ และอ้อนวอนให้ทุกฝ่ายเดินหน้าเลือกตั้ง
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ เพื่อจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ขึ้นมาบริหารประเทศ
เกิดเป็นการเผชิญหน้าระหว่าง กปปส. ที่อ้างความเคลื่อนไหวโดย "มวลมหาประชาชน"
กับรัฐบาลรักษาการที่มีกลุ่มมวลชนคนเสื้อแดงประกาศสนับสนุนอยู่
ล่าสุด เมื่อ กปปส.ประกาศปิดกรุงเทพฯ นางธิดา ถาวรเศรษฐ นายจาตุพร พรหมพันธุ์
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ก็ประกาศให้คนเสื้อแดงเคลื่อนไหวในพื้นที่ภาคเหนือและอีสาน
กระทั่งน่าเป็นห่วงว่า เหตุการณ์ชัตดาวน์จะนำไปสู่อะไร?
ประการแรก คือ ไม่ได้นำไปสู่อะไร เพราะทุกอย่างดำเนินไปตามปกติ เพียงติดขัดด้าน
การสัญจร เนื่องจากกลุ่มผู้ชุมนุมตั้งเวทีขวางทางอยู่ ส่วนรัฐบาลก็ยังคงรักษาการต่อไป
ขณะที่ความขัดแย้งอื่นๆ ปล่อยให้เป็นไปตามกาลเวลาและกระบวนการ
ประการที่สอง เกิดความวุ่นวาย กระทั่งรัฐบาลต้องประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการ
ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ดึงเอาทหารเข้ามาช่วย และปฏิบัติการควบคุมความวุ่นวายให้กลับ
คืนสู่ความสงบ
ประการที่สาม เกิดความรุนแรงขึ้น จนฝ่ายทหารต้องเคลื่อนกำลัง เพื่อยึดอำนาจและเข้า
จัดการประเทศ เหมือนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนกันยายน 2549
นั่นคือ ยึดอำนาจ แต่งตั้งรัฐบาลฝ่ายทหารขึ้นมาบริหารประเทศ
อย่างไรก็ตาม ก่อนเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งจะเกิดขึ้น ขณะนี้เริ่มบังเกิดปรากฏการณ์
อันมาจากผลกระทบจากการประกาศชัตดาวน์กรุงเทพฯแล้ว
ทั้งนี้ เพราะการประกาศชัตดาวน์กรุงเทพฯ มิเพียงแต่จะกระทบกับรัฐบาลในฐานะผู้รับผิด
ชอบบ้านเมืองเท่านั้น หากแต่ยังกระทบต่อประชาชนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ
และยังกระทบต่อความรู้สึกของคนต่างจังหวัด ที่ไม่เห็นด้วยกับการประกาศชัตดาวน์กรุงเทพฯ
ณ วันนี้ จึงก่อเกิดกลุ่มที่สามขึ้นมามากขึ้น นั่นคือกลุ่ม "พอกันที" เกิดกลุ่ม "ขั้วที่สาม"
เริ่มมีกิจกรรมจุดเทียนเรียกร้องให้เลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ เพราะเห็นว่าเป็นทางออก
ตามวิถีประชาธิปไตย
เริ่มมีกลุ่ม "ไทยเฉย" ซึ่งเคยอยู่เงียบรอฟัง ออกมาเคลื่อนไหวแสดงความรู้สึกไม่เห็นด้วยกับ กปปส.
มีคนชูป้าย เป่านกหวีด และทักท้วงพรรคประชาธิปัตย์ ในขณะที่กำลังอธิบายเรื่องปฏิรูป
ประเทศ และมีนักศึกษายกมือขึ้นแสดงความเห็นแย้งกับอาจารย์ ซึ่งสนับสนุนแนวทางการ
เคลื่อนไหวของ กปปส.
ล่าสุด บรรดานักวิชาการได้รวมตัวกันประกาศจุดยืน "2 เอา 2 ไม่เอา" ไปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
เท่ากับว่าประเทศไทยกำลังยืนอยู่บน "แพร่ง" ที่ต้องเลือกเดิน
ทางหนึ่ง เดินตามแนวทางประชาธิปไตย คือ ไปเลือกตั้ง และปฏิรูปประเทศ
ทางหนึ่ง เดินตามแนวทางเผด็จการ คือ รัฐประหารยึดอำนาจ และปฏิรูปประเทศ
ทั้งนี้ ข้อแตกต่างระหว่าง 2 แนวทางที่อาจเกิดขึ้นมีความแตกต่างกันตรงที่
การยึดโยงกับประชาชน
แนวทางประชาธิปไตยยึดโยงกับประชาชนโดยรูปแบบการปกครอง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้ง
ไม่ว่าจะเป็นตัวแทนของประชาชนที่มาจากประชาชน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบริหารที่ต้องยึดโยง
กับตัวแทนประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการออกกฎหมาย หรือการถอดถอนผู้มีอำนาจ
ทุกอย่างล้วนยึดโยงกับประชาชน คือต้องมีความรับผิดชอบต่อประชาชน
ขณะที่แนวทางเผด็จการยึดอำนาจ มีปัญหาตรง ระบบดังกล่าวไม่ยึดโยงกับประชาชน
เพราะอำนาจที่ยึดมาไม่ใช่ได้มาจากประชาชน หากแต่ได้มาด้วยการใช้พลังแย่งชิง
ดังนั้น ผลิตผลจากแนวทางประชาธิปไตย กับแนวทางเผด็จการจึงแตกต่าง
รัฐบาลที่มาตามแนวทางประชาธิปไตย กับรัฐบาลที่มาตามแนวทางการยึดอำนาจก็แตกต่าง
สภาปฏิรูปที่เกิดจากแนวทางที่ยึดโยงประชาชน กับสภาปฏิรูปที่เกิดจากคณะผู้ยึดอำนาจก็
ต้องแตกต่างกัน
กฎกติกาในสังคมที่ยึดโยงกับประชาชน กับกฎกติกาในสังคมที่ยึดโยงกับคณะบุคคลก็ย่อม
แตกต่างกัน
ดังนั้น ในขณะที่รัฐบาลรักษาการกำลังพบกับมรสุมรอบทิศ ทั้งจากกลุ่มผู้ประท้วงในนาม กปปส.
ทั้งจากการรุกคืบขององค์กรอิสระที่โหมตัดสินความผิดของฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายนิติบัญญัติ อย่าง
ต่อเนื่อง รวมไปถึงความพยายามของกลุ่มผู้มีอำนาจเพื่อขัดขวางมิให้แนวทางประชาธิปไตยเดิน
ไปได้ จึงเป็นวิธีคิดและวิธีทำที่น่าสะพรึงกลัว
กลัวว่าสังคมไทยจะผละผลักไส "ประชาธิปไตย" ทิ้งไป แล้วช่วยกันเปิดทางให้ "เผด็จการ"
เข้ามาครอบงำประเทศ
เกรงว่า "ชัตดาวน์กรุงเทพฯ" จะเป็นประตูนำไปสู่ระบบใหม่ที่ล้าสมัย
เกรงว่า หากปล่อยให้ประเทศเดินสู่หุบเหว จะกลายเป็นข้ออ้างที่ทำให้ "อำนาจ" ในมือประชาชน
ต้องระเห็จออกไปอยู่ในมือของ "คณะบุคคล"
ดังนั้น หลายคนจึงเริ่มออกมาเคลื่อนไหว ประกาศแต่เนิ่นๆ ว่าต้อง "เลือกตั้ง" ต้อง "ประชาธิปไตย"
นักวิชาการผู้ตื่นรู้ก็ออกมารวมตัว ประกาศว่า ประเทศไทยไม่เอา "ปฏิวัติ" ไม่ต้องการ "รัฐประหาร"
และไม่ต้องการให้ "ชัตดาวน์กรุงเทพฯ" นำไปสู่การปิดประตูใส่หน้า "ประชาธิปไตย"
http://www.matichon.co.th/daily/view_newsonline.php?newsid=1389497888§ionid=0116
"อำนาจในมือใคร" ถามกันจัง คงเป็นคำถามที่ บิ๊กบัง เคยตอบแล้วว่า "ตายไป ยังตอบไม่ได้"
แต่เขาบอกว่า เป็น "มือที่มองไม่เห็น" หรือไม่ก็ "คนที่คุณก็รู้ว่าเป็นใคร" ที่ปิดกันให้ "แซ่ด"
ข่าวสารแบบนี้ สื่อต่างประเทศ ให้ข้อมูลได้ดีกว่า สื่อไทย เพราะ "กล้า" กว่า "อิสระกว่า"
คนไทยในต่างประเทศ ก็เลยเข้าถึงข้อมูล ข่าวสาร ได้มากกว่าคนไทย ที่อยู่ในประเทศ
แต่ความลับ ไม่มีในโลก วันนึง ก็ต้องเปิดเผยจนได้ แล้วเมื่อคุณรู้ความจริง ว่า เรื่องแบบนี้
มันเกิดได้ยังไง คุณคง "อึ้ง" แบบ "ไม่น่าเชื่อ" เหมือนอย่างหลายๆ คนเป็นแล้ว วันนี้