บรรยากาศการเลือกตั้ง 2 ก.พ. 2557 ดูจะดำดิ่งลงเหว สวนทางกับกระแสการชุมนุมใหญ่ 13 ม.ค. 2557 “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” ปิดกรุงเทพฯ ไล่ยิ่งลักษณ์
1) บรรยากาศการรับสมัครเลือกตั้ง สส. การติดป้ายหาเสียง การหาเสียง ฯลฯ ซบเซา ปลุกไม่ขึ้น
ตรงกันข้ามกับบรรยากาศการเดินสายรณรงค์ให้คนออกมาช่วยกันชุมนุมใหญ่ 13 ม.ค. ของขบวนการมวลมหาประชาชน นำโดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เต็มไปด้วยความคึกคัก ตื่นตัว มีคนรุมมอบเงินบริจาคอุตลุดตลอดเส้นทาง ขอจับมือ ถ่ายรูป เป่านกหวีด คนแสดงตัวสนับสนุนมาจากทุกสาขาอาชีพ ข้าราชการ แม่ค้า ลูกจ้าง นักศึกษา คนหนุ่มสาว ฯลฯ
แม้แต่เด็กนักเรียนวัยรุ่นก็ยังกรี๊ดกร๊าด – ลุงกำนันสู้ๆ - ยิ่งลักษณ์ออกไป – ทักษิณติดคุก
2) การเลือกตั้ง 2 ก.พ.2557 ปรากฏว่า ขณะนี้ สส.ระบบเขต จำนวน 28 เขต ในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคใต้ ไม่มีผู้สมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งจะทำให้ขาด สส.ระบบเขตไปอย่างน้อย 28 คน จาก สส.ทั้งหมด 500 ที่นั่ง
เลือกให้ตายอย่างไร ก็ได้ สส.ไม่เกิน 472 คน
ในความเป็นจริง อาจจะไม่สามารถนับคะแนนเลือกตั้งในพื้นที่หลายจังหวัด กระทบต่อการได้มาซึ่ง สส.ระบบบัญชีรายชื่อ เพราะต้องคิดคะแนนทั้งประเทศ
เมื่อมี สส.ไม่ถึง 95% หรือ 475 คน ของจำนวน สส.ทั้งหมดตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 93 ก็ไม่สามารถจัดตั้งสภาผู้แทนราษฎรได้ ไม่สามารถเปิดประชุมสภาได้ ถือว่าไม่ครบองค์ประกอบ
ฝืนเดินหน้าเลือกตั้งไป ก็เหมือนกระโดดลงเหว ลอยละล่องในภาวะไร้น้ำหนัก
ดื้อด้าน ข่มขืนจิตใจประชาชนไปเท่านั้นเอง
3) ล่าสุด สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ออกโรงแสดงจุดยืนปกป้องรักษาผลประโยชน์ต่อเงินงบประมาณแผ่นดินที่จะถูกใช้จ่ายในการจัดการเลือกตั้ง 2 ก.พ. 2557 โดยมีหนังสือ “ด่วนที่สุด” ลงวันที่ 8 มกราคม 2557 เรื่อง การตรวจสอบการใช้จ่ายเงินในการดำเนินการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปครั้งที่ 25 ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ถึงนายศุภชัย สมเจริญ ประธาน กกต. เพื่อขอให้พิจารณาทบทวนการจัดการเลือกตั้ง 2 ก.พ. 2557
เนื้อความบางตอนระบุว่า “มีความกังวล และห่วงใยต่อการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินจำนวน 3,885 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปเลือกตั้งของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ทั้งในและต่างประเทศ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดความสูญเปล่า ไม่ประหยัด ไม่เกิดประโยชน์คุ้มค่า”
สืบเนื่องจากการติดตามตรวจสอบของ สตง. พบว่า การดำเนินการจัดการเลือกตั้งของ กกต. มีแนวโน้มไม่บรรลุวัตถุประสงค์เป้าหมายของการเลือกตั้ง และอาจจะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปหลายครั้งในระยะเวลาใกล้เคียงกัน พิจารณาจาก
(1) กกต.ประสบปัญหา อุปสรรค จากสถานการณ์ทางการเมืองที่ปัจจุบันยังมิได้เกิดการคลี่คลายในทางที่ดีขึ้น แต่กลับมีแนวโน้มทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น เห็นได้จากเหตุการณ์การปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้ชุมนุมจนเกิดการบาดเจ็บและเสียชีวิตของทั้งสองฝ่าย
ทั้งที่ขั้นตอนการรับสมัคร สส.ระบบบัญชีรายชื่อ เป็นเพียงกระบวนการขั้นต้นของการเลือกตั้ง ขั้นตอนต่อไปยังมีการรับสมัครรับเลือกตั้ง สส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง การหาเสียง การเลือกตั้ง การนับคะแนนและการประกาศผลซึ่งหากสถานการณ์ดังกล่าวยังคงอยู่และจัดการเลือกตั้งต่อไป คาดว่าจะไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ด้วยความสงบเรียบร้อย และยากที่จะเกิดความสุจริตและเที่ยงธรรม
(2) แถลงการณ์ของ กกต. เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2556 ขอให้รัฐบาลมีการพิจารณาเลื่อนการเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ออกไปจนกว่าจะได้มีการทำความเข้าใจและสร้างข้อตกลงร่วมกันเพื่อความสงบสุขในสังคมระหว่างฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงระดับความพร้อมในการจัดการเลือกตั้งของ กกต.
(3) แถลงการณ์ของรัฐบาล เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2556 เรื่องการจัดตั้งสภาปฏิรูปประเทศเพื่อทำหน้าที่ศึกษาและจัดทำข้อเสนอการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ฯลฯ ซึ่งหากดำเนินการแล้วเสร็จมีแนวโน้มที่ชัดเจนว่าจะต้องมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร และกกต.ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปใหม่
4) ตรงกันข้ามกับบรรยากาศความคึกคัก กระตือรือร้นของประชาชนที่จะออกมาใช้สิทธิชุมนุมใหญ่ 9 โมงเช้า วันจันทร์ที่ 13 ม.ค.2557 นี้
กปปส. ยืนยันว่า จะมีการตั้งเวที 7 แห่ง ได้แก่ 1.เวทีแจ้งวัฒนะ 2.เวทีห้าแยกลาดพร้าว 3.เวทีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ 4.เวทีแยกปทุมวัน 5.เวทีสวนลุมพินี 6.เวทีอโศก และ 7.เวทีแยกราชประสงค์
เวทีหลักจะอยู่ที่สี่แยกปทุมวัน ซึ่งจะมี “ลุงกำนัน” นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และโฆษกอย่าง “เจ๊ปอง” นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก เป็นจุดขาย มีผู้ใหญ่บ้านสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ดูแลจัดการ
จึงเป็นโจทย์ที่น่าสนใจติดตามว่า เวทีอื่นๆ จะสร้าง “จุดขาย” หรือจุดดึงดูดความน่าสนใจ สร้างเอกลักษณ์และความหมายให้ประชาชนเข้ามาร่วมด้วยความคึกคัก มีความต่อเนื่อง สม่ำเสมอ อย่างไร
เวทีที่ดูจะมีเสน่ห์พอตัว อาทิ เวทีราชประสงค์ ที่มีอาจารย์เสรี วงษ์มณฑา มีเหล่าคนดัง ดารานักร้องนักแสดง เป็นจุดขาย หรือแม้แต่เวทีห้าแยกลาดพร้าวนายอิสสระ สมชัย ดูแล เห็นว่าจะมีนายพงศา ชูแนม ร่วมกับประชาคม ม.เกษตรศาสตร์ ม.รังสิต ตลอดจนมวลชนจากหลายจังหวัดภาคอีสานเข้าร่วม
อันที่จริง อยากเห็นเวทีหลักนี้ จัดการเวทีให้โดดเด่นด้วยแนวคิดท้องถิ่นไปเสียเลย ไม่ว่าจะอีสาน-เหนือ นำมาเป็นจุดขาย ไม่ว่าจะดนตรี-การแสดง การปราศรัยภาษาอีสาน-ภาษาเหนือ สะท้อนเสียงจากต่างจังหวัดต่อการปฏิรูปประเทศ แต่ก็ยังมีกิจกรรมปราศรัยประเด็นการเมืองตามมาตรฐานเวทีราชดำเนินเช่นเดิม อุปมาเหมือนร้านขึ้นป้าย “ไก่ย่างรสเด็ด” แต่ก็มีอาหารอื่นๆ เสิร์ฟอยู่เช่นกัน
ส่วนเวทีอื่นๆ ก็ควรจะหาจุดขาย จุดเด่น ที่แตกต่างจากเวทีหลักปทุมวันด้วยเช่นกัน มิฉะนั้น ก็จะทำให้คนที่กระจายไปเวทีอื่นๆ ขาดเสน่ห์ดึงดูดของตัวเอง และจะไม่มีความเหนียวแน่น ต่อเนื่อง
ยังอยากจะเห็นเวทีที่เน้นคนหนุ่มสาว คนรุ่นใหม่ เด็กแนว ความคิดสร้างสรรค์ เป็นจุดขาย, เวทีที่เน้นต่างประเทศ การสื่อสารกับสังคมโลกเป็นจุดขาย, เวทีที่มุ่งประเด็นธุรกิจ-เศรษฐกิจ เป็นจุดขาย ฯลฯ
ย้ำ! คำว่าจุดขาย เปรียบเสมือน “เมนูเด็ดประจำร้าน” ซึ่งยังต้องมีเมนูมาตรฐานอื่นๆ ด้วย
ถ้า กปปส.ทำได้แบบนี้ รับรองว่ายืนระยะได้สบาย มวลชนเหนียวแน่นต่อเนื่องทุกเวที ยิ่งลักษณ์ไม่รอดแน่!
ที่มา:
http://www.naewna.com/politic/columnist/10461
ปล.อย่าลืมนะครับ....13 มค.2557. ร่วมกันไล่รัฐบาลทรราช...เอิ๊ก ๆ ๆ
ใช้สิทธิเลือกตั้ง 2 ก.พ. เหี่ยวแห้ง ใช้สิทธิชุมนุม 13 ม.ค. คึกคักกว่า......
1) บรรยากาศการรับสมัครเลือกตั้ง สส. การติดป้ายหาเสียง การหาเสียง ฯลฯ ซบเซา ปลุกไม่ขึ้น
ตรงกันข้ามกับบรรยากาศการเดินสายรณรงค์ให้คนออกมาช่วยกันชุมนุมใหญ่ 13 ม.ค. ของขบวนการมวลมหาประชาชน นำโดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เต็มไปด้วยความคึกคัก ตื่นตัว มีคนรุมมอบเงินบริจาคอุตลุดตลอดเส้นทาง ขอจับมือ ถ่ายรูป เป่านกหวีด คนแสดงตัวสนับสนุนมาจากทุกสาขาอาชีพ ข้าราชการ แม่ค้า ลูกจ้าง นักศึกษา คนหนุ่มสาว ฯลฯ
แม้แต่เด็กนักเรียนวัยรุ่นก็ยังกรี๊ดกร๊าด – ลุงกำนันสู้ๆ - ยิ่งลักษณ์ออกไป – ทักษิณติดคุก
2) การเลือกตั้ง 2 ก.พ.2557 ปรากฏว่า ขณะนี้ สส.ระบบเขต จำนวน 28 เขต ในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคใต้ ไม่มีผู้สมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งจะทำให้ขาด สส.ระบบเขตไปอย่างน้อย 28 คน จาก สส.ทั้งหมด 500 ที่นั่ง
เลือกให้ตายอย่างไร ก็ได้ สส.ไม่เกิน 472 คน
ในความเป็นจริง อาจจะไม่สามารถนับคะแนนเลือกตั้งในพื้นที่หลายจังหวัด กระทบต่อการได้มาซึ่ง สส.ระบบบัญชีรายชื่อ เพราะต้องคิดคะแนนทั้งประเทศ
เมื่อมี สส.ไม่ถึง 95% หรือ 475 คน ของจำนวน สส.ทั้งหมดตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 93 ก็ไม่สามารถจัดตั้งสภาผู้แทนราษฎรได้ ไม่สามารถเปิดประชุมสภาได้ ถือว่าไม่ครบองค์ประกอบ
ฝืนเดินหน้าเลือกตั้งไป ก็เหมือนกระโดดลงเหว ลอยละล่องในภาวะไร้น้ำหนัก
ดื้อด้าน ข่มขืนจิตใจประชาชนไปเท่านั้นเอง
3) ล่าสุด สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ออกโรงแสดงจุดยืนปกป้องรักษาผลประโยชน์ต่อเงินงบประมาณแผ่นดินที่จะถูกใช้จ่ายในการจัดการเลือกตั้ง 2 ก.พ. 2557 โดยมีหนังสือ “ด่วนที่สุด” ลงวันที่ 8 มกราคม 2557 เรื่อง การตรวจสอบการใช้จ่ายเงินในการดำเนินการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปครั้งที่ 25 ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ถึงนายศุภชัย สมเจริญ ประธาน กกต. เพื่อขอให้พิจารณาทบทวนการจัดการเลือกตั้ง 2 ก.พ. 2557
เนื้อความบางตอนระบุว่า “มีความกังวล และห่วงใยต่อการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินจำนวน 3,885 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปเลือกตั้งของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ทั้งในและต่างประเทศ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดความสูญเปล่า ไม่ประหยัด ไม่เกิดประโยชน์คุ้มค่า”
สืบเนื่องจากการติดตามตรวจสอบของ สตง. พบว่า การดำเนินการจัดการเลือกตั้งของ กกต. มีแนวโน้มไม่บรรลุวัตถุประสงค์เป้าหมายของการเลือกตั้ง และอาจจะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปหลายครั้งในระยะเวลาใกล้เคียงกัน พิจารณาจาก
(1) กกต.ประสบปัญหา อุปสรรค จากสถานการณ์ทางการเมืองที่ปัจจุบันยังมิได้เกิดการคลี่คลายในทางที่ดีขึ้น แต่กลับมีแนวโน้มทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น เห็นได้จากเหตุการณ์การปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้ชุมนุมจนเกิดการบาดเจ็บและเสียชีวิตของทั้งสองฝ่าย
ทั้งที่ขั้นตอนการรับสมัคร สส.ระบบบัญชีรายชื่อ เป็นเพียงกระบวนการขั้นต้นของการเลือกตั้ง ขั้นตอนต่อไปยังมีการรับสมัครรับเลือกตั้ง สส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง การหาเสียง การเลือกตั้ง การนับคะแนนและการประกาศผลซึ่งหากสถานการณ์ดังกล่าวยังคงอยู่และจัดการเลือกตั้งต่อไป คาดว่าจะไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ด้วยความสงบเรียบร้อย และยากที่จะเกิดความสุจริตและเที่ยงธรรม
(2) แถลงการณ์ของ กกต. เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2556 ขอให้รัฐบาลมีการพิจารณาเลื่อนการเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ออกไปจนกว่าจะได้มีการทำความเข้าใจและสร้างข้อตกลงร่วมกันเพื่อความสงบสุขในสังคมระหว่างฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงระดับความพร้อมในการจัดการเลือกตั้งของ กกต.
(3) แถลงการณ์ของรัฐบาล เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2556 เรื่องการจัดตั้งสภาปฏิรูปประเทศเพื่อทำหน้าที่ศึกษาและจัดทำข้อเสนอการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ฯลฯ ซึ่งหากดำเนินการแล้วเสร็จมีแนวโน้มที่ชัดเจนว่าจะต้องมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร และกกต.ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปใหม่
4) ตรงกันข้ามกับบรรยากาศความคึกคัก กระตือรือร้นของประชาชนที่จะออกมาใช้สิทธิชุมนุมใหญ่ 9 โมงเช้า วันจันทร์ที่ 13 ม.ค.2557 นี้
กปปส. ยืนยันว่า จะมีการตั้งเวที 7 แห่ง ได้แก่ 1.เวทีแจ้งวัฒนะ 2.เวทีห้าแยกลาดพร้าว 3.เวทีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ 4.เวทีแยกปทุมวัน 5.เวทีสวนลุมพินี 6.เวทีอโศก และ 7.เวทีแยกราชประสงค์
เวทีหลักจะอยู่ที่สี่แยกปทุมวัน ซึ่งจะมี “ลุงกำนัน” นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และโฆษกอย่าง “เจ๊ปอง” นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก เป็นจุดขาย มีผู้ใหญ่บ้านสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ดูแลจัดการ
จึงเป็นโจทย์ที่น่าสนใจติดตามว่า เวทีอื่นๆ จะสร้าง “จุดขาย” หรือจุดดึงดูดความน่าสนใจ สร้างเอกลักษณ์และความหมายให้ประชาชนเข้ามาร่วมด้วยความคึกคัก มีความต่อเนื่อง สม่ำเสมอ อย่างไร
เวทีที่ดูจะมีเสน่ห์พอตัว อาทิ เวทีราชประสงค์ ที่มีอาจารย์เสรี วงษ์มณฑา มีเหล่าคนดัง ดารานักร้องนักแสดง เป็นจุดขาย หรือแม้แต่เวทีห้าแยกลาดพร้าวนายอิสสระ สมชัย ดูแล เห็นว่าจะมีนายพงศา ชูแนม ร่วมกับประชาคม ม.เกษตรศาสตร์ ม.รังสิต ตลอดจนมวลชนจากหลายจังหวัดภาคอีสานเข้าร่วม
อันที่จริง อยากเห็นเวทีหลักนี้ จัดการเวทีให้โดดเด่นด้วยแนวคิดท้องถิ่นไปเสียเลย ไม่ว่าจะอีสาน-เหนือ นำมาเป็นจุดขาย ไม่ว่าจะดนตรี-การแสดง การปราศรัยภาษาอีสาน-ภาษาเหนือ สะท้อนเสียงจากต่างจังหวัดต่อการปฏิรูปประเทศ แต่ก็ยังมีกิจกรรมปราศรัยประเด็นการเมืองตามมาตรฐานเวทีราชดำเนินเช่นเดิม อุปมาเหมือนร้านขึ้นป้าย “ไก่ย่างรสเด็ด” แต่ก็มีอาหารอื่นๆ เสิร์ฟอยู่เช่นกัน
ส่วนเวทีอื่นๆ ก็ควรจะหาจุดขาย จุดเด่น ที่แตกต่างจากเวทีหลักปทุมวันด้วยเช่นกัน มิฉะนั้น ก็จะทำให้คนที่กระจายไปเวทีอื่นๆ ขาดเสน่ห์ดึงดูดของตัวเอง และจะไม่มีความเหนียวแน่น ต่อเนื่อง
ยังอยากจะเห็นเวทีที่เน้นคนหนุ่มสาว คนรุ่นใหม่ เด็กแนว ความคิดสร้างสรรค์ เป็นจุดขาย, เวทีที่เน้นต่างประเทศ การสื่อสารกับสังคมโลกเป็นจุดขาย, เวทีที่มุ่งประเด็นธุรกิจ-เศรษฐกิจ เป็นจุดขาย ฯลฯ
ย้ำ! คำว่าจุดขาย เปรียบเสมือน “เมนูเด็ดประจำร้าน” ซึ่งยังต้องมีเมนูมาตรฐานอื่นๆ ด้วย
ถ้า กปปส.ทำได้แบบนี้ รับรองว่ายืนระยะได้สบาย มวลชนเหนียวแน่นต่อเนื่องทุกเวที ยิ่งลักษณ์ไม่รอดแน่!
ที่มา:http://www.naewna.com/politic/columnist/10461
ปล.อย่าลืมนะครับ....13 มค.2557. ร่วมกันไล่รัฐบาลทรราช...เอิ๊ก ๆ ๆ