ไอ้รัฐบาล...สุดโสโครก!
วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
เมื่อวันอังคารสัปดาห์ที่แล้ว (28 ก.ค.2552) เวลาเย็นๆ ได้ฟังรายการคุยข่าวของ พิสิทธิ์ “หว่อง” กีรติการกุล กับคู่หูชื่อ รัฐกร อัสดรธีรยุทธ์ ซึ่งเป็นนักข่าวอาวุโสทั้งสองคน มีเหตุที่ผมต้องนำมาเรียนกับแฟน เพราะถ้าหากไม่กล่าวถึง ตัวคนเขียนเองคงอึดอัดใจแย่ เรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ
ผู้ดำเนินรายการเปิดโอกาสให้นายวัชระ กรรณิการ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รองโฆษกรัฐบาล ซึ่งเป็นคนของพรรคชาติไทยฯ ได้พูดถึงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อีตาคนนี้แกเล่า ว่า
ที่ประชุม ครม.อนุมัติหลักการเช่าซื้อรถประจำตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอให้ ครม.พิจารณาอนุมัติวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ เช่ารถยนต์ 76 คัน เพื่อใช้เป็นรถประจำตำแหน่ง ในอัตราเช่าคันละ 39,200 บาท โดยงบประมาณผูกพันระหว่างปี 2553-2557 ซึ่งก็ตกวันละพันกว่าบาท ซึ่งเป็นอัตราที่ยังพอรับกันได้ ถ้าหากว่าเช่ากันวันสองวัน หรือเป็นสัปดาห์ แต่ ครม.เขาตีกลับเพราะไอ้สัญญาเช่าที่จะทำกันนั้น เขาจะให้ลากยาวกันไปจนถึง 5 ปี ซึ่งรถที่เช่ามาคงจะโทรมแล้ว ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
ข่าวเล็กๆอย่างนี้ แต่ผมต้องพูดถึง เพราะนายวัชระ กรรณิการ์ ดันไปบอกว่า ค่าเช่ารถต่อคัน ตกเดือนละ 3,920 บาท (สามพันเก้าร้อยยี่สิบบาทถ้วน) ซึ่งแกแถลงผิดไป เพราะคงจดตัวเลขมาผิด แต่ผู้ดำเนินรายการสูงวัยและคร่ำหวอดทั้งคู่ ได้พยายามทักท้วงว่า “สามพันเก้าหรือสามหมื่นเก้า?” กันแน่ นายวัชระฯกลับไม่ฉุกใจคิด ยังดันยืนยันซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า
“สามพัน...เก้าร้อยยี่สิบบาทครับ!”
นี่ขนาดผู้ดำเนินรายการ เขาอุตส่าห์รักษาหน้า ด้วยการทักท้วงให้ฉุกคิดแล้ว แต่นายรองโฆษกคนนี้ดันไม่คลิก ซึ่งผมว่าเป็นเรื่องแปลก เพราะปกติแล้วการคัดเลือกคนมาเป็นโฆษก ต้องมีไหวพริบพอสมควร จนสามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะออกว่า ข้อมูลที่ตนถืออยู่น่าจะถูกต้องหรือผิด และนี่ขนาดเขาบอกว่า ทำไมมันถูกอย่างนั้น “เช่ารถตุ๊กๆยังไม่ได้เลย!” ไอ้เจ้ารองโฆษกขี้เท่อยังไม่เก็ท...โถ!
น่าเป็นห่วงนะครับ ที่พรรคชาติไทยพัฒนาดันส่งคนพรรค์นี้มาเป็นรองโฆษก เพราะแถลงผิดแถลงถูกอย่างนี้ ต่อไปอาจก่อให้เกิดความเสียหายกับรัฐบาลได้ไม่ยากเลย
นายคนนี้ตอนที่แกมารับตำแหน่งใหม่ ก็พยายามออกมุกว่าต้องท่องคาถาชินบัญชรก่อนจะออกไปแถลงข่าว ซึ่งฟังแล้วก็ไม่เห็นตลกอะไรเลย แถมน่าสมเพชเสียด้วยซ้ำ เพราะกะอีแค่ออกมาแถลงข่าว ยังต้องท่องคาถา แล้วไอ้วันแถลงผิดๆถูกๆ ไม่รู้ว่าดันไปคว้าคาถาบทอะไรมาท่อง ผู้คนที่เขาฟังแล้ว คงได้แต่พูดว่า
“ทุเรศว่ะ!”
วันรุ่งขึ้น คือพุธที่ 29 ก.ค.2552 ตอบเก้าโมงเช้า ผมฟังคลื่นเดียวกันคือ Fm 101 คุณรัชชพล เหล่าวาณิชย์ คุยกับนายสุรนันท์ เวชชาชีวะ ในรายการทั้งสองคนช่วยกันบอกกับสังคมไทยว่า
รัฐบาลของนายมาร์ค มุกควาย ได้ละเลงงบประชาสัมพันธ์อย่างมหาศาล ซื้อพื้นที่ข่าวแพงๆอย่างไม่จำเป็น บางหน่วยงานซื้อพื้นที่ข่าวสองวันติดๆกัน แต่รูปแบบการโฆษณาต่างกัน ซึ่งนั่นหมายความว่า ค่าใช่จ่ายในการดำเนินการจ้างบริษัทครีเอทีฟให้เขาคิดมุกโฆษณาให้ ก็เพิ่มเป็นเงาตามตัวไปด้วย
ทั้งคุณรัชชพลและคุณสุรนันท์ ต่างแสดงความไม่เห็นด้วย กับการใช้งบประมาณที่อีลุ่ยฉุยแฉกแบบนั้น ยามที่ประเทศไทย ยังต้องวิ่งไปกู้เงินเขามาใช้อย่างนี้!
ท่านผู้อ่านครับ
นี่ขนาดคุณรัชชพล เหล่าวาณิชย์ แกเป็นสามีของพันธมิตรหญิงคนดังหนูแอ้ม สโรชา พรอุดมศักดิ์ และนายสุรนันท์ เวชชาชีวะ เอง แกก็เป็นญาติสนิทของนายมาร์ค มุกควาย ด้วยซ้ำไป แต่ทั้งสองก็ยังดาหน้าออกมาถล่ม การใช้จ่ายเงินแบบละเลงอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน ของรัฐบาลมิสเตอร์มุกควาย
หรือไอ้พวกนี้คงเห็นว่า ไม่ได้เป็นเงินของโคตรพ่อโคตรแม่พวกมัน?
ผมฟังแล้ว...ให้สะท้อนใจนัก!
การใช้งบเพื่อการโฆษณาอย่างมหาศาล ล้วนแต่เป็นภาษีของประชาชน รวมทั้งเงินที่กู้มาจากต่างประเทศ เพื่อโปะในงบประมาณที่แหว่งหายไปสองแสนล้าน เพราะไทยเรานั้น “ขลุกขลัก” เรื่องงบประมาณ ที่มันขาดเงินอยู่เป็นแสนๆล้าน และรัฐบาลนายมุกควาย ก็ไม่มีปัญญาหามาติดมยังต้องบากหน้าไปกู้เขา...
แล้วอย่างนี้ มันยังมีหน้ามาอ้างกับเราๆท่านๆว่า จะทำให้ไทย “เข้มแข็ง” ทั้งๆที่ความจริงเราติดขัดขลุกขลักเรื่องเงินแท้ๆแล้วมันจะมีหน้ามาบอกว่า “ไทยเข้มแข็ง” ได้อย่างไรกัน คิดกันแบบบัดซบหรือเปล่า ว่าความจริงมันต้องเป็นโครงการ
“ไทยขลุกขลัก” ...จริงหรือเปล่าล่ะ!?
เงินที่กู้เขามาเหล่านี้ ล้วนแต่คนไทยมีภาระที่จะต้องชดใช้ทั้งนั้น ขนาดตอนนี้ประชาชนก็ไม่ค่อยจะมีเงิน รัฐบาลมันก็ก็ตั้งหน้ารีดภาษีแหลกลาญ มันมาทำกันอย่างนี้ สมควรหรือไม่อย่างไร นั้น
content/picdata/163/data/photo_coruption.jpg
อยากให้ประชาชนคนไทยเรา ช่วยกันจับตามองกันอย่างใกล้ชิด เพราะการโกงโดยนักการเมือง และพรรคพวกของมันนั้น ประชาชนทุกคนในชาติมีภาระร่วมกัน ในการต้องชดใช้ด้วยการเสียภาษีไปจ่ายหนี้ อย่างที่ฝรั่งเขาบอกว่า
With Corruption Everyone Pays
ต้องจำใส่ใจกันไว้!
เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว ผมเขียนบทความชื่อ พวกมัน “หิวโหย” กันแค่ไหน!? มีพรรคพวกทักท้วงว่า มองโลกในแง่ร้ายหรือเปล่า เพราะผมเขียนเอาไว้ว่า...
ชาวบ้านที่ซื้อพันธบัตร “ไทยเข้มแข็ง” นั้น ต้องเผื่อใจเอาไว้ด้วย เพราะแม้แต่ประเทศที่ใหญ่กว่าเรา อย่างรัสเซีย อาเยนติน่า เมื่อพันธบัตรครบกำหนดไถ่ถอน รัฐบาลก็ไม่มีเงินไปถ่ายถอนตามกำหนด
ผมได้บอกเพื่อนที่ทักท้วงไปว่า ใครจะว่าอย่างไรไม่ว่ากัน แต่ในฐานะคนเขียนคอลัมน์ จำเป็นต้องสื่อออกไปบอกกล่าวให้ประชาชนคนอ่านรู้ถึงผลร้ายด้วย ไม่เอาแต่เรื่องดีมาพูดกันเท่านั้น เพราะมันมีตัวอย่างมาแล้วในอดีต ไม่ได้เป็นการมองโลกในแง่ร้ายแต่ประการใด
มาถึงวันนี้ อยากจะบอกกับท่านผู้อ่านว่า ไม่ใช่ผมคนเดียวที่มีความเห็นในทำนองนี้ แม้แต่นายโฆษิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหารธนาคารกรุงเทพฯ ก็มีความเห็นคล้ายๆกับผม เพราะบุคคลผู้นี้ ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "ทิศทางรอดเศรษฐกิจไทยในยุคเศรษฐกิจโลกวิกฤต" เมื่อ 28 ก.ค.2552 ว่า
...เศรษฐกิจของไทยในปีหน้ามีโอกาสที่จะขยายตัวร้อยละ 2-3 หรืออาจเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยอีกครั้ง หากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลก จากอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น และอาจทำให้ประเทศเข้าสู่ภาวะเงินเฟ้อสูง แต่เศรษฐกิจไม่ขยายตัว ซึ่งอาจทำให้
รัฐบาลนี้ไม่มีความสามารถในการผ่อนชำระหนี้ ที่กู้มาในโครงการลงทุนต่างๆ ได้...
ไม่ได้แตกต่างจากที่ “วาทตะวัน” เขียนไว้เลย...คราวนี้เห็นกันหรือยังล่ะ!?
ผมได้เขียนเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังว่า เวลานี้มีการเรียกเงินจากบริษัทที่รับจัด Event ต่างๆ ในอัตราที่สูงมาก คือ 30-50 % ของงบประมาณ ซึ่งบริษัทเหล่านั้นต้องยินยอมจ่ายให้ เพราะหากไม่ยอม โอกาสธุรกิจก็เสียหายไป ตอนนี้มีสื่อที่เริ่มเขียนเรื่องนี้แล้วครับ อยากจะขอเล่าให้ฟังดังนี้
วันเดียวกับที่ฟังวิทยุรายการด่ารัฐบาล เรื่องการใช้เงินอย่างมือเติบ ทั้งๆที่เป็นเงินของประชาชน ผมยังได้อ่านหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ คอลัมน์ “อาศัยช่วงมั่วเป่าเค้ก” โดยทีมข่าวการเมือง เขาเล่าว่า การที่พรรคดักดานของนายมาร์ค ออกมาปั่นกระแสเรื่องงานวันเกิดของนายกทักษิณ แต่ระหว่างนั้นพรรคของนายมาร์ค มุกควาย ก็อาศัยช่วงเป่าเค้กฉลอง โดยมีจุดมุ่งหมายที่ซ่อนเร้นอยู่ ซึ่งทีมข่าวการเมืองไทยรัฐ ระบุว่า
...เพื่อกลบกระแส ปิดบังการทุจริตอย่างมโหฬารในโครงการต่างๆตามแผนกู้เงิน 8 แสนล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจ...
ฮู้ยย์...ถูกใจมากจ้ะ เท่านั้นยังไม่พอ ไทยรัฐยังแจ้งเพิ่มอีกว่า
...ทั้งโครงการชุมชนพอเพียงที่ใช้งบประมาณ 5.4 หมื่นล้านบาท บางโครงการมีการชักหัวคิว 30-40 เปอร์เซ็นต์ โดยมีญาติของรัฐมนตรีเข้าไปเอี่ยวล็อบบี้จัดซื้อจัดหา
กลายเป็นโครงการชุมชน "แพงเพียบ"...
ผมว่ามันไม่ใช่แค่ “แพงเพียบ” อย่างไทยรัฐเขาว่า แต่น่าจะเป็น “แพงไม่เคยพอเพียง” เสียมากกว่า จนผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง พูดกับผมว่า
น่าเสียใจจริงๆ ที่รัฐบาลโลซก มันนำคำว่า “เศรษฐกิจพอเพียง” ที่เจ้านายท่านพระราชทานให้เป็นแนวทางสำหรับคนไทย แต่นักการเมืองพรรคดักดาน กลับฉกฉวยวลีอันทรงคุณค่านี้ ไปใช้เป็น “ฉากกำบัง” ในการทุจริตทำมาหา-กันแบบ...
“ไม่เคยพอเพียง!”
มันกล้าทำกันเอิกเกริกไกร โดยหมู่เหลือบหางแดง ที่นั่งป๋อหลอรุมแทะโครงการอย่างเอนจอยปาก ทำกันในทำเนียบวรนุส ใต้จมูกมิสเตอร์มุกควายด้วยซ้ำไป เพราะห้องหับก็ห่างกันไม่กี่เมตร จนสื่อเขานำเสนอเป็นข่าวออกมาอย่างนี้!!
เอ...ผมก็ชักจะเห็นคล้อย ตามท่านด้วยแล้วซี่!!
ใช่แต่แค่นั้น นะครับท่าน
ในวันเดียวกันนั้น คอลัมน์ “สำนักข่าวหัวเขียว” ของ “แม่ลูกจันทร์” ยังช่วยไล่กระทืบรัฐบาลเข้าไปอีก โดยเขียนชื่อคอลัมน์ประจำวันของแกว่า “ไม่พอเพียง” โดยสาธยายเรื่องความเป็นมาของโครงการ คล้ายๆกับที่ผมเคยเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว ในคอลัมน์ตัวเองชื่อ พวกมัน “หิวโหย” กันแค่ไหน!? ซึ่งตอนหนึ่ง ‘แม่ลูกจันทร์’ ได้เล่าถึงเล่ห์เพทุบายในการดำเนินการตามโครงการนี้ ว่า
...หน้าม้าจะเป็นผู้เขียนโครงการเสนอรัฐบาลแทนประชาชน เข้าตำราชงเองกินเอง โดยใช้ชาวบ้านเป็นเครื่องมือ ผลก็คือชาวบ้านถูกบังคับให้ซื้อสินค้าที่ชุมชนก็ไม่ต้องการ...
ที่น่าสนใจ อยู่ตรงที่ ‘แม่ลูกจันทร์’ ย้ำหนักแน่นว่า
...แถมสินค้าที่ซื้อจากหน้าม้าในเครือข่ายนักการเมือง ยังบวกราคาแพงกว่าตลาด 30-40 เปอร์เซ็นต์ บางอย่างก็ฟาดกำไรกว่าเท่าตัว...
แหม...ไอ้พวกนี้มันช่าง “” ได้สมบูรณ์แบบเหลือเกิน! เหมือนอย่างที่ผมบอกกันไว้ ในข้อเขียนของตัวเองว่า
ไอ้พวกที่ไม่ได้เป็นบริหารบ้านเมืองมานานๆ มันหิวโหยกันจริงๆ!!
จึงขอทำนายทายทัก ไว้ก่อนเลยว่า
การแถลงผลงานรัฐบาล ที่ดันไปแถลงในวันครบรอบวันเกิดของนายมาร์ค มุกควาย ก็คงจะฟุ้งไปด้วยโครงการที่ลอกของทักษิณมาเป็นตัวนำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียนฟรี ที่ต่อจาก 12 ปี เป็น 15 ปี เบี้ยคนแก่ หรือโครงการเปลี่ยนชื่อต่างๆ และทำของเดิมเขาเสียหาย อย่างโครงการ SME ที่กลายเป็นโครงการ -กันไม่เคยเพียงพอ จนต้องให้สื่อมวลชนร่วมขุดกันขึ้นมา
เอาหวายชุบเยี่ยว...ฟาดหลังเข้าให้!
ตัวนา่ยกโลซกเองนั้น จะเอาอะไรมาพูดว่าเป็นงานเด่น ผู้คนก็ยังมองไม่เห็น เพราะสื่อเขาตั้งข้อสังเกตว่า วันๆเอาแต่เดินสายฝอยฟุ้ง ในรูปปาฐกถา แต่ตอนหลังก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า “เฝือ” เหลือกำลังลากแล้ว เพราะบางวันแกดันขึ้นเกาะโพเดียม พูดซ้ำๆซากๆหลายรอบ จนผู้คนส่ายหัวบอกว่า
มากกว่า ‘รอบฉายหนัง’ เสียอีก!
อยากจะบอกนายมุกควาย เรื่องชาวบ้านเขาพูดกันขรมไป
ว่า
วันๆไม่ทำงานเป็นเรื่องเป็นราว เอาแต่ตะบี้ตะบันพูดอยู่นั่นแหละ แถมหลังๆก็ไม่ได้คิดมุกการพูดเอง หากแต่มีคนเขียนบทพูดให้ ซึ่งก็ไม่พ้นข้าราชการนั่นแหละ จนมีเขานินทาเพิ่มอีกว่า
ที่บ้านเมืองที่เดินไปได้ทุกวันนี้ เพราะข้าราชการเขาช่วยกันทำงาน ตัวนายกฯเองมันเป็นแค่ “ปลัดประเทศ” เท่านั้น นับเป็น “ปลัดประเทศคนที่ 2” ของพรรคดักดาน ต่อจากนายชวนหัว ปี่แปก๊อ คนที่ปลุกปั้นนายมุกควายขึ้นมานั่นเอง
รัฐบาลที่ผู้นำดีแต่พูด ดังที่สาธกให้ท่านผู้อ่านฟัง มันเป็น
การสร้างวิมานให้ชาวบ้านด้วยน้ำลาย แต่ผู้คนไม่เชื่อ เพราะเขารู้ดีว่าไอ้พวกนี้คิดอะไรไม่เป็น แต่ชอบอวดอ้างว่า โครงการโน้นโครงการนี้เป็นของตัว หรือพวกตัวคิดมาก่อนทักษิณเสียอีก แต่ดูกันเถอะครับแล้วจะเห็นว่า
ถ้าไม่ลอกเขา มันก็แค่เอาโครงการเก่ามาปัดฝุ่น ต่อหัวต่อท้าย หรือเปลี่ยนชื่อโครงการยุคทักษิณเสียใหม่ อย่างที่เราๆท่านๆได้เห็นกัน...มันทำแค่นั้นจริงๆ
มินำซ้ำโครงการดีๆ อย่าง “โอทอป” ที่ชาวบ้านเขาอุตส่าห์ทำกันมา จนเป็นเสาเศรษฐก
บังเอิญไปเจอบทความเก่า ผลงานรัฐบาลมาร์ค เลยเอามาฝากเพื่อนสลิ่ม
วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
เมื่อวันอังคารสัปดาห์ที่แล้ว (28 ก.ค.2552) เวลาเย็นๆ ได้ฟังรายการคุยข่าวของ พิสิทธิ์ “หว่อง” กีรติการกุล กับคู่หูชื่อ รัฐกร อัสดรธีรยุทธ์ ซึ่งเป็นนักข่าวอาวุโสทั้งสองคน มีเหตุที่ผมต้องนำมาเรียนกับแฟน เพราะถ้าหากไม่กล่าวถึง ตัวคนเขียนเองคงอึดอัดใจแย่ เรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ
ผู้ดำเนินรายการเปิดโอกาสให้นายวัชระ กรรณิการ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รองโฆษกรัฐบาล ซึ่งเป็นคนของพรรคชาติไทยฯ ได้พูดถึงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อีตาคนนี้แกเล่า ว่า
ที่ประชุม ครม.อนุมัติหลักการเช่าซื้อรถประจำตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอให้ ครม.พิจารณาอนุมัติวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ เช่ารถยนต์ 76 คัน เพื่อใช้เป็นรถประจำตำแหน่ง ในอัตราเช่าคันละ 39,200 บาท โดยงบประมาณผูกพันระหว่างปี 2553-2557 ซึ่งก็ตกวันละพันกว่าบาท ซึ่งเป็นอัตราที่ยังพอรับกันได้ ถ้าหากว่าเช่ากันวันสองวัน หรือเป็นสัปดาห์ แต่ ครม.เขาตีกลับเพราะไอ้สัญญาเช่าที่จะทำกันนั้น เขาจะให้ลากยาวกันไปจนถึง 5 ปี ซึ่งรถที่เช่ามาคงจะโทรมแล้ว ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
ข่าวเล็กๆอย่างนี้ แต่ผมต้องพูดถึง เพราะนายวัชระ กรรณิการ์ ดันไปบอกว่า ค่าเช่ารถต่อคัน ตกเดือนละ 3,920 บาท (สามพันเก้าร้อยยี่สิบบาทถ้วน) ซึ่งแกแถลงผิดไป เพราะคงจดตัวเลขมาผิด แต่ผู้ดำเนินรายการสูงวัยและคร่ำหวอดทั้งคู่ ได้พยายามทักท้วงว่า “สามพันเก้าหรือสามหมื่นเก้า?” กันแน่ นายวัชระฯกลับไม่ฉุกใจคิด ยังดันยืนยันซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า
“สามพัน...เก้าร้อยยี่สิบบาทครับ!”
นี่ขนาดผู้ดำเนินรายการ เขาอุตส่าห์รักษาหน้า ด้วยการทักท้วงให้ฉุกคิดแล้ว แต่นายรองโฆษกคนนี้ดันไม่คลิก ซึ่งผมว่าเป็นเรื่องแปลก เพราะปกติแล้วการคัดเลือกคนมาเป็นโฆษก ต้องมีไหวพริบพอสมควร จนสามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะออกว่า ข้อมูลที่ตนถืออยู่น่าจะถูกต้องหรือผิด และนี่ขนาดเขาบอกว่า ทำไมมันถูกอย่างนั้น “เช่ารถตุ๊กๆยังไม่ได้เลย!” ไอ้เจ้ารองโฆษกขี้เท่อยังไม่เก็ท...โถ!
น่าเป็นห่วงนะครับ ที่พรรคชาติไทยพัฒนาดันส่งคนพรรค์นี้มาเป็นรองโฆษก เพราะแถลงผิดแถลงถูกอย่างนี้ ต่อไปอาจก่อให้เกิดความเสียหายกับรัฐบาลได้ไม่ยากเลย
นายคนนี้ตอนที่แกมารับตำแหน่งใหม่ ก็พยายามออกมุกว่าต้องท่องคาถาชินบัญชรก่อนจะออกไปแถลงข่าว ซึ่งฟังแล้วก็ไม่เห็นตลกอะไรเลย แถมน่าสมเพชเสียด้วยซ้ำ เพราะกะอีแค่ออกมาแถลงข่าว ยังต้องท่องคาถา แล้วไอ้วันแถลงผิดๆถูกๆ ไม่รู้ว่าดันไปคว้าคาถาบทอะไรมาท่อง ผู้คนที่เขาฟังแล้ว คงได้แต่พูดว่า
“ทุเรศว่ะ!”
วันรุ่งขึ้น คือพุธที่ 29 ก.ค.2552 ตอบเก้าโมงเช้า ผมฟังคลื่นเดียวกันคือ Fm 101 คุณรัชชพล เหล่าวาณิชย์ คุยกับนายสุรนันท์ เวชชาชีวะ ในรายการทั้งสองคนช่วยกันบอกกับสังคมไทยว่า
รัฐบาลของนายมาร์ค มุกควาย ได้ละเลงงบประชาสัมพันธ์อย่างมหาศาล ซื้อพื้นที่ข่าวแพงๆอย่างไม่จำเป็น บางหน่วยงานซื้อพื้นที่ข่าวสองวันติดๆกัน แต่รูปแบบการโฆษณาต่างกัน ซึ่งนั่นหมายความว่า ค่าใช่จ่ายในการดำเนินการจ้างบริษัทครีเอทีฟให้เขาคิดมุกโฆษณาให้ ก็เพิ่มเป็นเงาตามตัวไปด้วย
ทั้งคุณรัชชพลและคุณสุรนันท์ ต่างแสดงความไม่เห็นด้วย กับการใช้งบประมาณที่อีลุ่ยฉุยแฉกแบบนั้น ยามที่ประเทศไทย ยังต้องวิ่งไปกู้เงินเขามาใช้อย่างนี้!
ท่านผู้อ่านครับ
นี่ขนาดคุณรัชชพล เหล่าวาณิชย์ แกเป็นสามีของพันธมิตรหญิงคนดังหนูแอ้ม สโรชา พรอุดมศักดิ์ และนายสุรนันท์ เวชชาชีวะ เอง แกก็เป็นญาติสนิทของนายมาร์ค มุกควาย ด้วยซ้ำไป แต่ทั้งสองก็ยังดาหน้าออกมาถล่ม การใช้จ่ายเงินแบบละเลงอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน ของรัฐบาลมิสเตอร์มุกควาย
หรือไอ้พวกนี้คงเห็นว่า ไม่ได้เป็นเงินของโคตรพ่อโคตรแม่พวกมัน?
ผมฟังแล้ว...ให้สะท้อนใจนัก!
การใช้งบเพื่อการโฆษณาอย่างมหาศาล ล้วนแต่เป็นภาษีของประชาชน รวมทั้งเงินที่กู้มาจากต่างประเทศ เพื่อโปะในงบประมาณที่แหว่งหายไปสองแสนล้าน เพราะไทยเรานั้น “ขลุกขลัก” เรื่องงบประมาณ ที่มันขาดเงินอยู่เป็นแสนๆล้าน และรัฐบาลนายมุกควาย ก็ไม่มีปัญญาหามาติดมยังต้องบากหน้าไปกู้เขา...
แล้วอย่างนี้ มันยังมีหน้ามาอ้างกับเราๆท่านๆว่า จะทำให้ไทย “เข้มแข็ง” ทั้งๆที่ความจริงเราติดขัดขลุกขลักเรื่องเงินแท้ๆแล้วมันจะมีหน้ามาบอกว่า “ไทยเข้มแข็ง” ได้อย่างไรกัน คิดกันแบบบัดซบหรือเปล่า ว่าความจริงมันต้องเป็นโครงการ
“ไทยขลุกขลัก” ...จริงหรือเปล่าล่ะ!?
เงินที่กู้เขามาเหล่านี้ ล้วนแต่คนไทยมีภาระที่จะต้องชดใช้ทั้งนั้น ขนาดตอนนี้ประชาชนก็ไม่ค่อยจะมีเงิน รัฐบาลมันก็ก็ตั้งหน้ารีดภาษีแหลกลาญ มันมาทำกันอย่างนี้ สมควรหรือไม่อย่างไร นั้น
content/picdata/163/data/photo_coruption.jpg
อยากให้ประชาชนคนไทยเรา ช่วยกันจับตามองกันอย่างใกล้ชิด เพราะการโกงโดยนักการเมือง และพรรคพวกของมันนั้น ประชาชนทุกคนในชาติมีภาระร่วมกัน ในการต้องชดใช้ด้วยการเสียภาษีไปจ่ายหนี้ อย่างที่ฝรั่งเขาบอกว่า
With Corruption Everyone Pays
ต้องจำใส่ใจกันไว้!
เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว ผมเขียนบทความชื่อ พวกมัน “หิวโหย” กันแค่ไหน!? มีพรรคพวกทักท้วงว่า มองโลกในแง่ร้ายหรือเปล่า เพราะผมเขียนเอาไว้ว่า...
ชาวบ้านที่ซื้อพันธบัตร “ไทยเข้มแข็ง” นั้น ต้องเผื่อใจเอาไว้ด้วย เพราะแม้แต่ประเทศที่ใหญ่กว่าเรา อย่างรัสเซีย อาเยนติน่า เมื่อพันธบัตรครบกำหนดไถ่ถอน รัฐบาลก็ไม่มีเงินไปถ่ายถอนตามกำหนด
ผมได้บอกเพื่อนที่ทักท้วงไปว่า ใครจะว่าอย่างไรไม่ว่ากัน แต่ในฐานะคนเขียนคอลัมน์ จำเป็นต้องสื่อออกไปบอกกล่าวให้ประชาชนคนอ่านรู้ถึงผลร้ายด้วย ไม่เอาแต่เรื่องดีมาพูดกันเท่านั้น เพราะมันมีตัวอย่างมาแล้วในอดีต ไม่ได้เป็นการมองโลกในแง่ร้ายแต่ประการใด
มาถึงวันนี้ อยากจะบอกกับท่านผู้อ่านว่า ไม่ใช่ผมคนเดียวที่มีความเห็นในทำนองนี้ แม้แต่นายโฆษิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหารธนาคารกรุงเทพฯ ก็มีความเห็นคล้ายๆกับผม เพราะบุคคลผู้นี้ ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "ทิศทางรอดเศรษฐกิจไทยในยุคเศรษฐกิจโลกวิกฤต" เมื่อ 28 ก.ค.2552 ว่า
...เศรษฐกิจของไทยในปีหน้ามีโอกาสที่จะขยายตัวร้อยละ 2-3 หรืออาจเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยอีกครั้ง หากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลก จากอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น และอาจทำให้ประเทศเข้าสู่ภาวะเงินเฟ้อสูง แต่เศรษฐกิจไม่ขยายตัว ซึ่งอาจทำให้
รัฐบาลนี้ไม่มีความสามารถในการผ่อนชำระหนี้ ที่กู้มาในโครงการลงทุนต่างๆ ได้...
ไม่ได้แตกต่างจากที่ “วาทตะวัน” เขียนไว้เลย...คราวนี้เห็นกันหรือยังล่ะ!?
ผมได้เขียนเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังว่า เวลานี้มีการเรียกเงินจากบริษัทที่รับจัด Event ต่างๆ ในอัตราที่สูงมาก คือ 30-50 % ของงบประมาณ ซึ่งบริษัทเหล่านั้นต้องยินยอมจ่ายให้ เพราะหากไม่ยอม โอกาสธุรกิจก็เสียหายไป ตอนนี้มีสื่อที่เริ่มเขียนเรื่องนี้แล้วครับ อยากจะขอเล่าให้ฟังดังนี้
วันเดียวกับที่ฟังวิทยุรายการด่ารัฐบาล เรื่องการใช้เงินอย่างมือเติบ ทั้งๆที่เป็นเงินของประชาชน ผมยังได้อ่านหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ คอลัมน์ “อาศัยช่วงมั่วเป่าเค้ก” โดยทีมข่าวการเมือง เขาเล่าว่า การที่พรรคดักดานของนายมาร์ค ออกมาปั่นกระแสเรื่องงานวันเกิดของนายกทักษิณ แต่ระหว่างนั้นพรรคของนายมาร์ค มุกควาย ก็อาศัยช่วงเป่าเค้กฉลอง โดยมีจุดมุ่งหมายที่ซ่อนเร้นอยู่ ซึ่งทีมข่าวการเมืองไทยรัฐ ระบุว่า
...เพื่อกลบกระแส ปิดบังการทุจริตอย่างมโหฬารในโครงการต่างๆตามแผนกู้เงิน 8 แสนล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจ...
ฮู้ยย์...ถูกใจมากจ้ะ เท่านั้นยังไม่พอ ไทยรัฐยังแจ้งเพิ่มอีกว่า
...ทั้งโครงการชุมชนพอเพียงที่ใช้งบประมาณ 5.4 หมื่นล้านบาท บางโครงการมีการชักหัวคิว 30-40 เปอร์เซ็นต์ โดยมีญาติของรัฐมนตรีเข้าไปเอี่ยวล็อบบี้จัดซื้อจัดหา
กลายเป็นโครงการชุมชน "แพงเพียบ"...
ผมว่ามันไม่ใช่แค่ “แพงเพียบ” อย่างไทยรัฐเขาว่า แต่น่าจะเป็น “แพงไม่เคยพอเพียง” เสียมากกว่า จนผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง พูดกับผมว่า
น่าเสียใจจริงๆ ที่รัฐบาลโลซก มันนำคำว่า “เศรษฐกิจพอเพียง” ที่เจ้านายท่านพระราชทานให้เป็นแนวทางสำหรับคนไทย แต่นักการเมืองพรรคดักดาน กลับฉกฉวยวลีอันทรงคุณค่านี้ ไปใช้เป็น “ฉากกำบัง” ในการทุจริตทำมาหา-กันแบบ...
“ไม่เคยพอเพียง!”
มันกล้าทำกันเอิกเกริกไกร โดยหมู่เหลือบหางแดง ที่นั่งป๋อหลอรุมแทะโครงการอย่างเอนจอยปาก ทำกันในทำเนียบวรนุส ใต้จมูกมิสเตอร์มุกควายด้วยซ้ำไป เพราะห้องหับก็ห่างกันไม่กี่เมตร จนสื่อเขานำเสนอเป็นข่าวออกมาอย่างนี้!!
เอ...ผมก็ชักจะเห็นคล้อย ตามท่านด้วยแล้วซี่!!
ใช่แต่แค่นั้น นะครับท่าน
ในวันเดียวกันนั้น คอลัมน์ “สำนักข่าวหัวเขียว” ของ “แม่ลูกจันทร์” ยังช่วยไล่กระทืบรัฐบาลเข้าไปอีก โดยเขียนชื่อคอลัมน์ประจำวันของแกว่า “ไม่พอเพียง” โดยสาธยายเรื่องความเป็นมาของโครงการ คล้ายๆกับที่ผมเคยเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว ในคอลัมน์ตัวเองชื่อ พวกมัน “หิวโหย” กันแค่ไหน!? ซึ่งตอนหนึ่ง ‘แม่ลูกจันทร์’ ได้เล่าถึงเล่ห์เพทุบายในการดำเนินการตามโครงการนี้ ว่า
...หน้าม้าจะเป็นผู้เขียนโครงการเสนอรัฐบาลแทนประชาชน เข้าตำราชงเองกินเอง โดยใช้ชาวบ้านเป็นเครื่องมือ ผลก็คือชาวบ้านถูกบังคับให้ซื้อสินค้าที่ชุมชนก็ไม่ต้องการ...
ที่น่าสนใจ อยู่ตรงที่ ‘แม่ลูกจันทร์’ ย้ำหนักแน่นว่า
...แถมสินค้าที่ซื้อจากหน้าม้าในเครือข่ายนักการเมือง ยังบวกราคาแพงกว่าตลาด 30-40 เปอร์เซ็นต์ บางอย่างก็ฟาดกำไรกว่าเท่าตัว...
แหม...ไอ้พวกนี้มันช่าง “” ได้สมบูรณ์แบบเหลือเกิน! เหมือนอย่างที่ผมบอกกันไว้ ในข้อเขียนของตัวเองว่า
ไอ้พวกที่ไม่ได้เป็นบริหารบ้านเมืองมานานๆ มันหิวโหยกันจริงๆ!!
จึงขอทำนายทายทัก ไว้ก่อนเลยว่า
การแถลงผลงานรัฐบาล ที่ดันไปแถลงในวันครบรอบวันเกิดของนายมาร์ค มุกควาย ก็คงจะฟุ้งไปด้วยโครงการที่ลอกของทักษิณมาเป็นตัวนำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียนฟรี ที่ต่อจาก 12 ปี เป็น 15 ปี เบี้ยคนแก่ หรือโครงการเปลี่ยนชื่อต่างๆ และทำของเดิมเขาเสียหาย อย่างโครงการ SME ที่กลายเป็นโครงการ -กันไม่เคยเพียงพอ จนต้องให้สื่อมวลชนร่วมขุดกันขึ้นมา
เอาหวายชุบเยี่ยว...ฟาดหลังเข้าให้!
ตัวนา่ยกโลซกเองนั้น จะเอาอะไรมาพูดว่าเป็นงานเด่น ผู้คนก็ยังมองไม่เห็น เพราะสื่อเขาตั้งข้อสังเกตว่า วันๆเอาแต่เดินสายฝอยฟุ้ง ในรูปปาฐกถา แต่ตอนหลังก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า “เฝือ” เหลือกำลังลากแล้ว เพราะบางวันแกดันขึ้นเกาะโพเดียม พูดซ้ำๆซากๆหลายรอบ จนผู้คนส่ายหัวบอกว่า
มากกว่า ‘รอบฉายหนัง’ เสียอีก!
อยากจะบอกนายมุกควาย เรื่องชาวบ้านเขาพูดกันขรมไป
ว่า
วันๆไม่ทำงานเป็นเรื่องเป็นราว เอาแต่ตะบี้ตะบันพูดอยู่นั่นแหละ แถมหลังๆก็ไม่ได้คิดมุกการพูดเอง หากแต่มีคนเขียนบทพูดให้ ซึ่งก็ไม่พ้นข้าราชการนั่นแหละ จนมีเขานินทาเพิ่มอีกว่า
ที่บ้านเมืองที่เดินไปได้ทุกวันนี้ เพราะข้าราชการเขาช่วยกันทำงาน ตัวนายกฯเองมันเป็นแค่ “ปลัดประเทศ” เท่านั้น นับเป็น “ปลัดประเทศคนที่ 2” ของพรรคดักดาน ต่อจากนายชวนหัว ปี่แปก๊อ คนที่ปลุกปั้นนายมุกควายขึ้นมานั่นเอง
รัฐบาลที่ผู้นำดีแต่พูด ดังที่สาธกให้ท่านผู้อ่านฟัง มันเป็น
การสร้างวิมานให้ชาวบ้านด้วยน้ำลาย แต่ผู้คนไม่เชื่อ เพราะเขารู้ดีว่าไอ้พวกนี้คิดอะไรไม่เป็น แต่ชอบอวดอ้างว่า โครงการโน้นโครงการนี้เป็นของตัว หรือพวกตัวคิดมาก่อนทักษิณเสียอีก แต่ดูกันเถอะครับแล้วจะเห็นว่า
ถ้าไม่ลอกเขา มันก็แค่เอาโครงการเก่ามาปัดฝุ่น ต่อหัวต่อท้าย หรือเปลี่ยนชื่อโครงการยุคทักษิณเสียใหม่ อย่างที่เราๆท่านๆได้เห็นกัน...มันทำแค่นั้นจริงๆ
มินำซ้ำโครงการดีๆ อย่าง “โอทอป” ที่ชาวบ้านเขาอุตส่าห์ทำกันมา จนเป็นเสาเศรษฐก