นายสนธิวิเคราะห์ให้ฟังว่า การประเมินในเวลานี้ต้องคิดว่าถ้าเป็นคนอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้ต้องขังหนีคำพิพากษาศาลฎีกาจะคิดอย่างไร เราก็จะสามารถวิเคราะห์ต่อได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
1. ภายหลังความล้มเหลวในเรื่อง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม พ.ร.บ.ทักษิณ ไม่สามารถกลับบ้านได้
2. ความคาดหวังในการกระชับอำนาจทั้งในส่วนของวุฒิสภา เพื่อยึดองค์กรอิสระผ่านการการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มาของ ส.ว.ล้มเหลวไปเรียบร้อยโดยคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
3. พ.ต.ท.ทักษิณ คิดแก้เกมด้วยการเลือกตั้งเพื่อสร้างความชอบธรรมทั้งในประเทศและต่างประเทศโดยหวังกลับเข้าสู่อำนาจล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เพราะในเวลานี้ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งให้ได้ ส.ส.25 เขตขึ้นไปซึ่งทำให้ไม่สามารถมีสภาผู้แทนราษฎรและคณะรัฐบาลชุดใหม่ได้ ซึ่งรัฐธรรมนูญกำหนดให้ สภาผู้แทนราษฎรต้องมี ส.ส.95% ขึ้นไปจึงจะถือเป็นสภาผู้แทนราษฎรได้ และเปิดประชุมสภาได้ เมื่อ 28 เขตไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ ผนวกกับ 22 เขตมีผู้สมัครเพียงคนเดียวต้องให้ได้คะแนนเสียงเกินกว่าร้อยละ 20 ขึ้นไป หากการเลือกตั้งไม่สามารถนับคะแนนระบบบัญชีรายชื่อได้ครบทุกหน่วยก็จะไม่สามารถประกาศ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่ออีก 100 คน หมายความว่าถ้าประชาชนยืดหยัดได้เช่นนี้ ฝ่ายระบอบทักษิณก็จะไม่สามารถกลับเข้าสู่อำนาจได้ในระบบนี้แล้ว
4. การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ที่จะไปเจรจาความตกลงและทำสัญญาระหว่างประเทศโดยปิดหูปิดตาประชาชน ไม่สามารถทำได้จากคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวานนี้ (8 ม.ค.) ส่งผลทำให้ข้อตกลงให้ต่างชาติเป็นแนวร่วมหนุนรัฐบาลยิ่งลักษณ์อ่อนแอลง ไม่สามารถขายทรัพย์สมบัติของชาติหรือทรัพยากรให้ต่างชาติได้โดยอิสระเสรี ไม่สามารถแสวงหาประโยชน์ได้อย่างที่วางแผนเอาไว้ได้
5.โครงการเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ที่คาดหวังเอาไว้ว่าจะมีผลประโยชน์อย่างมหาศาลต้องยุติลง การคอร์รัปชันที่หลายกลุ่มคาดหวังเอาไว้ก็สิ้นสุดไปด้วย โดยเฉพาะเมื่อยุบสภาไปแล้วก็เดินหน้าไม่ได้โดยรัฐบาลรักษาการ แม้จะเลือกตั้งกลับเข้าสู่อำนาจก็ไม่ได้อีกเพราะการเลือกตั้งไม่สำเร็จอีกเช่นกัน
6. ป.ป.ช.ยังต้องมีการชี้มูลอีกหลายคดี ในส่วนของรัฐบาล เช่น การทุจริตจำนำข้าว โครงการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ฯลฯ ยังไม่นับบางคดีในส่วนของสมาชิกรัฐสภาต้องมีการชี้มูลและถูกดำเนินคดีความต่อในชั้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นความผิดในการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มาของ ส.ว. และการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ล้วนแล้วแต่เป็นความผิดที่มีโทษร้ายแรง หากยิ่งปล่อยเอาไว้นานวันก็มีแต่ความเสี่ยงรอวันถูกเชือดอย่างเดียว
“เมื่อทักษิณล้างความผิดในอดีตของตัวเองไม่ได้ กลับบ้านไม่ได้ เจรจาตกลงขายทรัพย์สมบัติของชาติไม่ได้ ไม่สามารถแสวงหาผลประโยชน์จากการกู้เงินมหาศาล 2 ล้านล้านบาทได้ ไม่สามารถให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์กลับเข้าสู่อำนาจได้ และยังต้องรอวันถูกเชือดจากองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญอีก จึงถือว่าทักษิณได้เข้าสู่การพ่ายแพ้ทุกทิศทางในระบบนี้แล้ว” นายปานเทพระบุ
คำถามคือ คนอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อพบสถานการณ์เช่นนี้จะคิดอย่างไร คำตอบนี้ ก็ให้ดูกรณี พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่หักหลังทรยศมวลชนคนเสื้อแดงได้โดยการล้างความผิดให้กับคนที่ตัวเองปลุกระดมว่าฆ่าคนเสื้อแดงเพื่อเป็นเหตุอ้างในการล้างความผิดให้กับทักษิณเองได้ และในยามที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่สามารถได้รับการล้างความผิดผ่าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ก็ไม่เคยคิดจะสานต่อล้างความผิดให้กับมวลชนตัวเองอีกแต่กลับล้มทั้งกระดาน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมทุกฉบับโดยยอมทรยศหักหลังคำสัญญาที่ให้ไว้กับมวลชนคนเสื้อแดงที่เคยสนับสนุนตัวเอง
“คุณสนธิวิเคราะห์ว่า คนอย่างทักษิณ “ถ้ากูไม่ได้ พวกก็ต้องไม่ได้ด้วย” เมื่อทักษิณพ่ายแพ้ทุกทิศทาง จึงเต็มเปี่ยมไปด้วยความแค้นที่เจ็บปวด ทุกข์ทรมานใจอย่างแสนสาหัส สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปถ้าคิดแบบทักษิณจึงเหลือหนทางเดียวเท่านั้นคือ “ล้มกระดาน” และการล้มกระดานจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องมีชนวนจาก “ความรุนแรง” เท่านั้น”
อดีตโฆษกพันธมิตรฯ ระบุทิ้งท้ายว่า นายสนธิวิเคราะห์ว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะจากไปโดยทิ้งซากความเสียหายให้แก่ประเทศนี้อย่างยับเยิน โดยไม่สนใจอะไรเพราะถือว่าตัวเองอยู่ต่างประเทศไม่มีใครทำอะไรได้ รวมถึงอาจจะฝากความเสียหายบางอย่างให้เป็นสัญลักษณ์ที่ประชาชนรักและเทิดทูน เพื่อแสดงการข่มขู่และอาฆาตมาดร้ายเอาไว้ให้เป็นบาดแผล สงครามที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้กำลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9570000002915
สนธิ ประเมินสถานการณ์บ้านเมืองในเวลานี้ และการดำเนินการต่อไปของทัก.. 6 ประการ
1. ภายหลังความล้มเหลวในเรื่อง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม พ.ร.บ.ทักษิณ ไม่สามารถกลับบ้านได้
2. ความคาดหวังในการกระชับอำนาจทั้งในส่วนของวุฒิสภา เพื่อยึดองค์กรอิสระผ่านการการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มาของ ส.ว.ล้มเหลวไปเรียบร้อยโดยคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
3. พ.ต.ท.ทักษิณ คิดแก้เกมด้วยการเลือกตั้งเพื่อสร้างความชอบธรรมทั้งในประเทศและต่างประเทศโดยหวังกลับเข้าสู่อำนาจล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เพราะในเวลานี้ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งให้ได้ ส.ส.25 เขตขึ้นไปซึ่งทำให้ไม่สามารถมีสภาผู้แทนราษฎรและคณะรัฐบาลชุดใหม่ได้ ซึ่งรัฐธรรมนูญกำหนดให้ สภาผู้แทนราษฎรต้องมี ส.ส.95% ขึ้นไปจึงจะถือเป็นสภาผู้แทนราษฎรได้ และเปิดประชุมสภาได้ เมื่อ 28 เขตไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ ผนวกกับ 22 เขตมีผู้สมัครเพียงคนเดียวต้องให้ได้คะแนนเสียงเกินกว่าร้อยละ 20 ขึ้นไป หากการเลือกตั้งไม่สามารถนับคะแนนระบบบัญชีรายชื่อได้ครบทุกหน่วยก็จะไม่สามารถประกาศ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่ออีก 100 คน หมายความว่าถ้าประชาชนยืดหยัดได้เช่นนี้ ฝ่ายระบอบทักษิณก็จะไม่สามารถกลับเข้าสู่อำนาจได้ในระบบนี้แล้ว
4. การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ที่จะไปเจรจาความตกลงและทำสัญญาระหว่างประเทศโดยปิดหูปิดตาประชาชน ไม่สามารถทำได้จากคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวานนี้ (8 ม.ค.) ส่งผลทำให้ข้อตกลงให้ต่างชาติเป็นแนวร่วมหนุนรัฐบาลยิ่งลักษณ์อ่อนแอลง ไม่สามารถขายทรัพย์สมบัติของชาติหรือทรัพยากรให้ต่างชาติได้โดยอิสระเสรี ไม่สามารถแสวงหาประโยชน์ได้อย่างที่วางแผนเอาไว้ได้
5.โครงการเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ที่คาดหวังเอาไว้ว่าจะมีผลประโยชน์อย่างมหาศาลต้องยุติลง การคอร์รัปชันที่หลายกลุ่มคาดหวังเอาไว้ก็สิ้นสุดไปด้วย โดยเฉพาะเมื่อยุบสภาไปแล้วก็เดินหน้าไม่ได้โดยรัฐบาลรักษาการ แม้จะเลือกตั้งกลับเข้าสู่อำนาจก็ไม่ได้อีกเพราะการเลือกตั้งไม่สำเร็จอีกเช่นกัน
6. ป.ป.ช.ยังต้องมีการชี้มูลอีกหลายคดี ในส่วนของรัฐบาล เช่น การทุจริตจำนำข้าว โครงการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ฯลฯ ยังไม่นับบางคดีในส่วนของสมาชิกรัฐสภาต้องมีการชี้มูลและถูกดำเนินคดีความต่อในชั้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นความผิดในการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มาของ ส.ว. และการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ล้วนแล้วแต่เป็นความผิดที่มีโทษร้ายแรง หากยิ่งปล่อยเอาไว้นานวันก็มีแต่ความเสี่ยงรอวันถูกเชือดอย่างเดียว
“เมื่อทักษิณล้างความผิดในอดีตของตัวเองไม่ได้ กลับบ้านไม่ได้ เจรจาตกลงขายทรัพย์สมบัติของชาติไม่ได้ ไม่สามารถแสวงหาผลประโยชน์จากการกู้เงินมหาศาล 2 ล้านล้านบาทได้ ไม่สามารถให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์กลับเข้าสู่อำนาจได้ และยังต้องรอวันถูกเชือดจากองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญอีก จึงถือว่าทักษิณได้เข้าสู่การพ่ายแพ้ทุกทิศทางในระบบนี้แล้ว” นายปานเทพระบุ
คำถามคือ คนอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อพบสถานการณ์เช่นนี้จะคิดอย่างไร คำตอบนี้ ก็ให้ดูกรณี พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่หักหลังทรยศมวลชนคนเสื้อแดงได้โดยการล้างความผิดให้กับคนที่ตัวเองปลุกระดมว่าฆ่าคนเสื้อแดงเพื่อเป็นเหตุอ้างในการล้างความผิดให้กับทักษิณเองได้ และในยามที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่สามารถได้รับการล้างความผิดผ่าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ก็ไม่เคยคิดจะสานต่อล้างความผิดให้กับมวลชนตัวเองอีกแต่กลับล้มทั้งกระดาน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมทุกฉบับโดยยอมทรยศหักหลังคำสัญญาที่ให้ไว้กับมวลชนคนเสื้อแดงที่เคยสนับสนุนตัวเอง
“คุณสนธิวิเคราะห์ว่า คนอย่างทักษิณ “ถ้ากูไม่ได้ พวกก็ต้องไม่ได้ด้วย” เมื่อทักษิณพ่ายแพ้ทุกทิศทาง จึงเต็มเปี่ยมไปด้วยความแค้นที่เจ็บปวด ทุกข์ทรมานใจอย่างแสนสาหัส สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปถ้าคิดแบบทักษิณจึงเหลือหนทางเดียวเท่านั้นคือ “ล้มกระดาน” และการล้มกระดานจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องมีชนวนจาก “ความรุนแรง” เท่านั้น”
อดีตโฆษกพันธมิตรฯ ระบุทิ้งท้ายว่า นายสนธิวิเคราะห์ว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะจากไปโดยทิ้งซากความเสียหายให้แก่ประเทศนี้อย่างยับเยิน โดยไม่สนใจอะไรเพราะถือว่าตัวเองอยู่ต่างประเทศไม่มีใครทำอะไรได้ รวมถึงอาจจะฝากความเสียหายบางอย่างให้เป็นสัญลักษณ์ที่ประชาชนรักและเทิดทูน เพื่อแสดงการข่มขู่และอาฆาตมาดร้ายเอาไว้ให้เป็นบาดแผล สงครามที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้กำลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9570000002915