โค้ชสอนภาษาอังกฤษ การเรียนภาษาอังกฤษแนวใหม่ คนมีปัญหาลองเข้ามาอ่านดูครับ

- อะไรคือโค้ชสอนภาษา
จะตอบคำถามนี้ ผมขอเกริ่นก่อน ปกติถ้าเราอยากเก่งภาษาอังกฤษ เราก็รู้แค่ว่าต้องไปลงเรียนคอร์สภาษาอังกฤษ เพื่อให้เก่งขึ้น แต่ทำไมหลายคน (โดยเฉพาะ คนส่วนใหญ่) เรียนแล้วลืม เรียนแล้วไม่เก่งขึ้น เรียนแล้วเสียเงินฟรี? ยกตัวอย่าง ผมเคยเรียนกับครูสมศ... ตอน ม.5 เพื่อเตรียมเอนท์ทรานซ์ ผมต้องเรียน+ท่องศัพท์จำนวนมาก วันหลายหลายสิบ ต้องวิเคราะห์ประโยค เก็งข้อสอบ หา Main Idea ของบทความ เรียนอยู่ครึ่งปี พอถึงตอนเอนทรานซ์ ผลคือผมต้องมั่วข้อสอบส่วน Eng ทุกข้อ (ผมไม่ได้ว่าครูเขาไม่ดีนะ แต่ผมคิดว่าการเรียนแบบนั้นมันผิดวิธีไปหน่อย หรือบางคนอาจจะว่า จขกท มะรึงโง่เอง มีคนเค้ารู้เรื่อง อันนั้นเดี๋ยวผมอธิบายทีหลัง อ่านไปก่อน) อีกตัวอย่าง น้องผมเรียนภาษา Eng เป็นปีๆ ตอนมัธยม ตอนนี้มหาลัย ยังอ่านการ์ตูนพวก มังกะญี่ปุ่นแปล Eng ไม่ออกเลย และเชื่อว่ามีอีกหลายๆคนที่เป็นแบบนี้ ถ้าอยากเก่งภาษา แล้วเรียนภาษาแบบปกติ ทำไมถึงไม่ได้ผล?

คำตอบมันค่อนข้างยาว คือ ภาษามันคือทักษะ มันต้องการการฝึก การไปเรียนกับอาจารย์ มันเหมาะสำหรับความรู้แบบวิชาการที่ไม่ต้องการการฝึกใดๆ (เช่น ประวัติศาสตร์, สังคมศาสตร์, กฏหมาย) แน่นอนว่ามันคือการเรียนแบบจำ แต่กับภาษา เราเีรียนแบบจำได้แค่เบื้องต้น (เช่น ได้แค่ ท่อง ABC, วิธีสะกดคำออกเสียง, แกรมม่านิดๆหน่อยๆพอที่สมองจะจำไหว ฯลฯ) แต่จะอ่านออก ฟังออก พูดได้เขียนได้มันต้องมีการฝึก ลองคิดดูนะครับ ว่าถ้าเราอยากเล่นดนตรีเก่ง เราแค่ไปเรียนดนตรีอาทิตย์ละครั้ง แต่กลับบ้านมา ไม่มีการซ้อมเลย จะเก่งได้ไหม (น่าจะได้ แต่ไม่ใช่ชาติปัจจุบัน) โอเค เืรื่องดนตรีเรารู้ว่าต้องซ้อม แต่กับภาษา เรากลับไม่ซ้อม แปลกจุงเบย เพราะเหตุผลนี้ การเรียนภาษาที่ดี มันต้องมีโค้ชดีจะเหมาะกว่าการไปเรียนกับอาจารย์ (ถ้าสงสัย ลองนึกว่าทำไม คนขับรถตุ๊กๆแถววัดพระแก้วที่แทบไม่ได้เรียนภาษา ทำไมพูดภาษาอังกฤษได้ฟะ เพราะเขามีโอกาสฝึกไงครับ)

ผมจะอธิบายกระบวนการเรียนรู้ของมนุษย์คร่าวๆให้ฟัง การเรียนรู้มี 3 โซน
1. comfort zone โซนสบายของเรา การฝึกซ้อมของเรานะจุดนี้ จะทำำได้ง่ายมาก แต่ไม่เกิดประโยชน์และความก้าวหน้าใดๆ (เช่น สำหรับคนไม่เก่ง โซนนี้คือการจำตัวอักษรได้ อ่านออกเสียงได้ รู้คำศัพท์ง่ายๆ ประโยคง่ายๆ I graduated from ... university. )

2. learning zone โซนเรียนรู้ จะเขยิบออกมานอก comfort zone เราจะเริ่มทำได้มั่งไม่ได้มั่ง แต่เราจะเกิดการเรียนรู้ และก้าวหน้าเร็วที่สุด (สำหรับมือใหม่ การหัดอ่านหนังสือภาษาอังกฤษนอกเวลาของเด็กนักเรียน อาจจะอยู่ในโซนนี้ อ่านได้สักสองสามประโยค เอ๊ติดหน่อยนึง เปิดดิกแปล อ้า อ่านต่อได้)

3. panic zone เป็นโซนที่ยากจนทำไม่ได้เลย ยิ่งทำยิ่งเบื่อ เซ็ง เลิกดีกว่า (เช่น การดูหนังฝรั่งแบบไม่มีซับ หรือการดูแบบมีซับแต่เป็นซับ Eng สำหรับผมการดูแบบไม่มีซับ เป็น learning zone ของผม)

ประโยชน์ของโค้ชคือตรงนี้แหละครับ รู้ว่า learning zone ของนักเรียนอยู่ตรงไหน แล้วจัดโปรแกรมฝึกให้เหมาะสม แบบเขยิบความยากไปทีละนิด การฝึกซ้ำๆที่จุด learning zone จะเร่งสปีดการเรียนรู้ได้เร็วที่สุด (ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำไมตอนนั้นผมเรียนกับครูสมศ.. ไม่รู้เรื่องเลย เพราะความรู้ ณ ตอนนั้นมันอยู่ที่ panic zone ของผม และอีกเหตุผลหนึ่งคือมันไม่ได้มีการฝึกซ้อม - แต่จะซ้อมก็ไม่ได้ เพราะความรู้เราไม่ถึง และไม่มีคนบอกว่าจะซ้อมยังไง)

การเรียนแบบดูวิดีโอ ตามโรงเรียนนั้น ผมว่ามันไม่ดี เพราะ learning zone แต่ละคนไม่เท่ากัน ถ้าความสามารถเรายังไม่ถึงจุดนั้น การเรียนรู้ก็ไม่เกิด (เหมือนนักปิงปองหัดใหม่ ตีโฟร์แฮนด์ยังไม่ค่อยเป็น ดันต้องไปเรียนแบ็กสปิน)

- ถ้ารู้ว่าต้องฝึก แบบนี้ฝึกเองก็ได้น่ะสิ?
ได้ แต่ส่วนน้อย จะมีสักกี่คนที่มีพลังใจแข็งกล้า ฝึกเองวันแล้ววันเล่าจนเก่งเทพขึ้นมา (อย่างดีก็อ่านเรื่องราวของคนที่เคยทำได้ตามเน็ต แล้วก็ฮึดขึ้นมาหน่อย ฝึกอยู่ำไม่กี่วันก็เหนื่อย) และสำหรับมือใหม่ ซึ่งมักจะไม่รู้ว่า learning zone ของตัวเองอยู่ตรงไหน อ่านเรื่องราวของคนอื่น แล้วมาทำตาม แต่ก็ไ่ม่ได้ผล เพราะบางทีมันเกิน learning zone ของเรา โค้ชจะมีประโยชน์ในจุดนี้มาก จะคอยกำหนด learning zone ติดตามผล และประเมินผลนักเรียน ที่สำคัญยังเป็นคนคอยกระตุ้นอีกด้วย (เพราะทำอะไรคนเดียว มักจะได้ไม่นาน)

- จะได้อะไรจากการเีรียนกับผม ?
ผมจะอธิบายคอนเซปท์การฝึกภาษาด้วยตัวเองให้ทั้งหมดผ่าน สไกป์ (โปรแกรม skype ใครไม่มีก็สมัคร แ้ล้วซื้อไมค์มาคุย ไมค์ราคาประมาณ 200) หรือโปรแกรมไลน์ ผมจะออกแบบโปรแกรมการฝึกให้ ว่าแบบไหนจะก้าวหน้าเร็วสุด ผมจะคอยประเมินวัดผลคุณเรื่อยๆ คุณสามารถปรึกษาผมได้ภายในเวลาที่กำหนด (คิดว่าใช้เวลาสัก 3-6 เดือนคุณก็น่าจะเห็นผลชัดอยู่)

- ทำไมต้องเรียนกับผม?
อย่างที่บอกไว้ข้างต้น การเรียนกับผม เป็นการมองภาษาในมุมใหม่ (ที่จริงมันก็ไม่ได้ใหม่นัก เมื่อเทียบกับสาขาอื่น อย่างการซ้อมกีฬา เพียงแต่คนส่วนใหญ่ปฏิบัติกับมันไม่ถูกต้อง) เรามองภาษาเป็นทักษะที่ต้องฝึก และจะก้าวหน้าเร็วก็ต้องมีโค้ช (ที่คอยวาง learning zone ให้คุณ) ที่สำคัญมันถูกและสะดวกกว่าการไปเรียนตามโรงเรียน (ซึ่งไม่รู้ว่าจะได้ผลไหม) คอร์สนึงก็แพง หรือบางทีต้องเรียนคอร์สถุกๆ แต่รวมๆแล้วหลายสิบคอร์ส ก็แพงอยู่ดี ต้องนั่งรถไปเรียน (เรียนกับผม คุยกันผ่านสไกป์ หรือไลน์ ผมบอกวิธีให้คุณไปฝึกเอง มีปัญหามาถามผม เดี๋ยวผมวัดผลให้เรื่อยๆ) ถ้าคุณมีปัญหาด้านภาษาอังกฤษ หรือคุณเรียนที่อื่นมาแล้วไม่ได้ผล ทำไมไม่ลองเปลี่ยนวิธีใหม่ละครับ (“Insanity: doing the same thing over and over again and expecting different results.” ไอน์สไตน์)

- ทำไมผมถึงมั่นใจ ว่าเรียนกับผมแล้วจะดี?
ผมมั่นใจ เพราะผมทำมาแล้วไง ผมเปลี่ยนตัวเองจากเด็กมัธยมสอบตกวิชา Eng มั่วข้อสอบ Eng ตอนเอนท์ทุกข้อ มาตอนนี้ผ่านมา 4 ปี ผมสอบโทอิคได้ 880 ปี 2013ที่ผ่านมานี้ ผมอ่าน pocket book ฝรั่งเป็นสิบเล่ม ผมหาคอร์สเรียนฟรีตามเนตของมาฝรั่งมานั่งเรียนสบายใจเฉิบ (พวก coursera.org, คอร์สจาก youtube.com, khanacademy) ที่สำคัญ ผมสอนเพื่อนผมมาแล้วหลายคนด้วยวิธีเดียวกันนี้ บางคนมันก็ขุนไม่ขึ้นอะนะ (มันอยากเก่ง แต่พอผมบอก มันไม่ฟังผมเลย ก็ช่างหัวมัน) แต่สำหรับคนที่ฟังผม หลายคนเก่งขึ้น ฮึดขึ้น มีคนนึงจบมา สอบโทอิคได้ 400 แทบร้อง ผมเลยนั่งเทศน์มันพักนึง มันเกิดไฟติด ฟิตใหญ่เลย ไปฝึกเองแล้วผมคอยแนนำให้ ผ่านไป 2 เดือน คะแนนโทอิคเพิ่มมาก 500 กว่าละ (ถ้าบอกว่าน้อยชิบ เดี๋ยวผมคุยต่อด้านล่าง)
ตัวอย่างความสำเร็จของผม คะแนนโทอิค



หนังสือภาษาอังกฤษจำนวนมากที่อ่านจบในปี 2013 และยังมีอีกเยอะที่อ่านไปแค่ครึ่งเล่ม แต่ไม่ได้เขียน




บางท่านอาจจะคันปาก อยากจะให้คำแนะนำว่า อู๊ยยย โทอิค 880 ยังไม่เก่งนะครับ/นะจ๊ะ ผมขอเบรคไว้ก่อน (ผมเจอมาเยอะละ ผมมาตั้งกระทู้แนะนำวิธีการเรียนภาษาสไตล์ผม และผลลัพธ์กับโทอิค 880 แหม่ พวกเซียนเข้ามาเพียบ ต้องโทเฟล ไอเอลนะจ๊ะ ถึงเ่ก่งจริง) ผมถือว่าโทอิค
เป็นตัววัดความสามารถทางภาษาที่ดีพอสมควร เพราะมันวัดได้ว่า เราอ่าน Text อ่านเอกสารได้ไหม ฟังคนพูด เจ้านายพูด รู้เรื่องไหม มันเพียงพอกับการทำงาน และการใช้ในชีวิตประจำวัน ส่วน โทเฟล ไอเอลท์ มันสำหรับนักเรียนอยากไปเรียนนอก นั่นเขาต้องเป๊ะ ต้องอ่านเปเปอร์เยอะตอนเรียน ต้องเขียนเปเปอร์ได้ (ผมเคยเปิดหนังสือเตรียมสอบโทเฟล เจอศัพท์หลายๆคำ เข้ ตูอ่าน pocket books ฝรั่งมาเพียบ บางคำยังไม่ค่อยเคยเห็นเลย) มันคนละจุดประสงค์กัน นั่นมันแอดวานซ์เกินชีวิตของเราคนไทยทั่วไป ผมจะสอนคุณแค่วิธีการ แล้วให้คุณไปฝึกต่อเอาเอง จะเอาโทอิค โทเฟลเท่าไหร่ก็อยู่ที่คุณอีก 70% ละ (แต่เรื่องโทอิคอะ เอาอยู่แน่ๆ)

- ใช้ระยะเวลาแค่ไหน? จะได้ผลแค่ไหน?
อันนี้ก็อยู่ที่ตัวนักเรียน ผมถือว่าผมมีส่วนในการออกแบบวิธีฝึก ติดตามผล ให้คำแนะนำ ทั้งหมดนี้น่าจะมีผลประมาณ 30% ส่วนอีก 70% อยู่ที่ความขยันและการฝึกของนักเรียน ผมคิดว่าการฝึก 1-3 ชม ต่อวันเป็นเวลา 3-6 เดือนก็น่าจะให้ผลที่น่าพอใจแล้ว (แล้วแต่ความขยัน) เพราะตอนผมเริ่มต้นจากที่อ่านหนังสือเด็กไม่ออก ฟังครูสอนภาษาคนไทยพูด Eng ยังไม่ออก อ่านประโยคง่ายๆก็ไม่รู้เรื่อง ศัพท์ง่ายๆหลายคำก็ไม่รู้ (อย่าง wonder ตอนนั้นผมนึกว่าแปลว่ามหัศจรรย์ คล้ายๆ wonderful ฟายไหมล่ะ 55) ผ่านไป 3-4 เดือนที่ผมฝึกตัวเอง ผมได้เกรด B+ ในคอร์สภาษาอังกฤษมหาลัยระดับ 3 แบบไม่ยากเย็นเลย (จากคอร์สก่อนหน้าที่เป็นระดับสอง ผมตะเกียกตะกายแทบตายให้ได้ C กลัวเอฟมากๆ) ระยะเวลา 3-6 เดือนผมคิดว่าโอเค มองโลกตามจริง พวก speedo english, เก่งอังกฤษใน 7 วัน ผมพูดตรงๆว่ามันคือขยะ ถ้าเก่งจริง ทำไมคนไทยไม่เก่งภาษาทั้งประเทศแล้วหละ? เพราะคนชอบอะไรไวๆ ถึงมีไอ้พวกนี้ออกมา แล้วยังไง ก็โดนหลอกไปสิ (เหมือนกันตลาดหุ้น มีไอ้พวกโรงเรียนพ่อมดออกมาสอนปั่นเงินเป็น 5พันเท่ามั่งไรมั่ง)

ค่าใช้จ่าย
3 พันบาท/3 เดือน  ไม่มีอุปกรณ์เพิ่มเติมใดๆ เน้นเรียนด้วยตัวเองให้ประหยัดที่สุด (ถ้าจะมี ก็พวก หนังสืออ่านนอกเวลา, แผ่นหนัง DVD, หูฟังดีๆหน่อย คุณไปซื้อเอาเองก็ได้ เดี๋ยวบอกให้ว่าต้องซื้ออะไรมั่ง) คุยผ่านสไกป์ หรือไลน์ได้ตลอดเวลา

ต้องเรียนไปถึงเมื่อไหร่?
ต้องบอกก่อนว่า การเรียนกับผม ก็เพื่อเรียนรู้วิธีเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองได้ในระดับนึง เพราะฉะนั้นถ้าให้ผมโค้ชจนจบไป 3 เดือน (หรืออย่างนาน 6 เดือน = 2 คอร์ส) ภาษาคุณก็จะพัฒนาเห็นผลระดับนึงแล้ว แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ คุณจะรู้จักการเรียนภาษาด้วยตัวเอง เพื่อไปต่อยอดได้ (อารมณ์เหมือนไปจ้างโค้ชฟิตเนส สักครึ่งปี อ๋อ เรารู้วิธีเล่นกล้ามละ งั้นเลิกจ้างว้อย 55) พอถึงตอนนั้น จะเลิกเรียนกับผมต่อก็ได้ เพราะถือว่าคุณไปพัฒนาเองเป็นแล้ว หรือถ้าไปต่อยอดเองแล้วติดปัญหา ก็มาปรึกษากันได้ (ถ้าเรียนเองเป็นแล้ว ก็ไม่คิดเงิน ช่วยๆกันจ้ะ)

สุดท้ายแล้ว ถ้าคุณมีความตั้งใจอยากจะแก้ไขจุดอ่อนด้านภาษาจริงๆ ผมคิดว่าด้วยวิธีนี้ น่าจะสำเร็จได้ไม่ยาก (ถ้าล้มเหลวมาแล้วหลายครั้ง ลองเปลี่ยนวิธีดูใหม่อีกสักตั้ง จะเป็นไรไป) สำหรับคนที่ไม่ต้องการเรียนกับผม ผมก็หวังว่าการมองภาษาด้วยมุมใหม่นี้ และความรู้เรื่อง learning zone (ได้มาจากหนังสือ The Talent Code และ Talent is Overated) จะพอมีประโยชน์กับคุณบ้าง ทั้งในด้านการเรียนภาษา และด้านการเรียนรู้สิ่งอื่นๆครับ

อัพเดท อันนี้คือรีวิวของนักเรียนคนนึงครับ อายุ 32 ทำงานสายไอที หลังจากให้ผมโค้ชให้ไปประมาณเกือบ 1 เดือน
ตอนนี้อ่านนิยายเด็กระดับง่ายสุดได้แล้ว กำลังจะเลื่อนระดับ (พัฒนาเร็วมากครับ เพราะพี่แกมีความขยันเป็นทุนเดิม)




รายละเอียดการโอนเงิน หลังไมค์ครับ
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมกับคอร์สผมได้โดยแอดสไกป์มาที่ guimanjat
หรือทางเพจเฟสบุค
https://www.facebook.com/pages/โค้ชสอนภาษาอังกฤษ/727647233920761

หรือทางไลน์
แก้ไขข้อความเมื่อ

สินค้าอื่นๆ ของ Guiman


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่