คนไม่สมประกอบ

กระทู้สนทนา
ผมไม่รู้ว่า ชาวบ้านร้านช่อง เรียกชื่อชายคนนี้ว่าอะไร แต่ผมเรียกน้าคนนี้ว่า น้าแบน มาตั้งแต่ผมยังเล็ก ๆ เมื่อครั้งยังขึ้นรถสองแถวไปเรียนชั้นมัธยมในเมือง น้าแบนเป็นคนสติไม่ดีครับ พูดไม่เป็นคำ กิริยาท่าทางทั่วไปต่างจากคนปกติ สูงราว 160 เซนติเมตร ไม่อ้วนไม่ผอมผมตัดสั้นเกรียน แต่งตัวเรียบร้อย นุ่งแสล็คสูงเลยสะดือ ผูกเนคไทด์ลายดอกไม้ เสื้อเชิ้ตแขนยาว รองเท้าคัชชูเก่า ๆ หิ้วกระเป๋าใบหนึ่งไปเดินตลาดผ้าในเมืองแทบทุกวัน

ชื่อน้าแบนที่ผมเรียกแต่ตัวผมคนเดียวนั้นมาจาก ลักษณะของใบหน้าของแกที่ไม่มีสันจมูกมันแบนบี้ไปแทบจะระนาบเดียวกับโหนกแก้ม ที่คล้ำหมองไปหนึ่งข้าง หูก็แนบแบนทั้งสองข้าง ศีรษะของแกมองด้านไหนก็ไม่แตกต่างกันนัก แม่ผมเคยเล่าให้ฟังว่า น้าแบนนั้นไม่มีพิษมีภัยกับใคร มีแต่สร้างรอยยิ้มสร้างเสียงหัวเราะแก่ผู้พบเห็น ประหนึ่งเทพบุตร ซุบเปอร์โมเดล สุดยอดนายแบบของตลาดผ้าแห่งนี้ ไปตรอกไหน ซอยไหน ก็มีคนหยิบยื่น ข้าวปลา  ขนม เงิน ให้ไม่ขาด แต่ในทุกที่ก็มีทั้งคนดีที่บ้า คนบ้าที่ดี คนปกติที่ชั่วช้า คนใจร้ายที่แกล้งคนบ้า คนฟั่นเฟือนนั้น ได้แก่เด็กแก๊งค์ข้างถนนกลุ่มหนึ่ง ชอบจับแกแก้ผ้าแล้วล้อแกเล่นให้ได้อายให้ร้องไห้ บางทีก็ไถเงินขโมยรองเท้าแกบ้าง อะไรบ้าง วันไหนน้าแบนเงินหมดกระเป๋าเพราะถูกไถ แกจะไม่ขึ้นรถสองแถว แต่แกจะเดินกลับบ้านระยะทางกว่า 8 กิโลเมตรเพราะไม่มีเงินจ่ายค่ารถ 5 บาท



เย็นวันหนึ่งผมซ้อมกีฬาเสร็จ กำลังจะขึ้นรถสองแถวที่จอดหน้าโรงเรียนกลับบ้านเช่นเคย ก็เห็นน้าแบนเดินหิ้วกระเป๋าด้วยเสื่อผ้าขาดวิ่น หน้าตาฟกช้ำเดินผ่านมา ด้วยสภาพที่ผมเห็นประกอบกับการได้ยินเรื่องราวที่แม่เคยเล่าให้ฟัง ผมเข้าใจว่า ผู้ชายไม่สมประกอบคนนี้ คงผ่านเรื่องราวที่แย่ ๆ ในวันนี้มาอย่างแน่นอน อาจโดนแกล้ง โดนชิงทรัพย์ โดนข่มขืน โดนชกต่อย แต่อะไรก็ช่างเถอะ บาดแผลบนใบหน้าและตามร่างกายส่งผลให้น้าแบนเดินสะท้อนอาการเจ็บปวด ผิดปกติกว่าที่เดินท่าแปลกๆ เหมือนคนเท้าสองข้างยาวไม่เท่ากันอยู่ก่อนหน้าแล้วและคงต้องเดินด้วยสภาพที่น่าเวทนานี้ไปอีกกว่า 6 กิโลเมตร ถ้าผมไม่ทำอะไรสักอย่าง บนถนนกลับบ้านของผมและน้าแบนบางช่วงไม่มีไฟทาง ยามสลัว ๆ จวนค่ำแบบนี้ รถราจะเฉี่ยวแกได้

ผมเดินไปบอกแกว่า ไปขึ้นรถกันกลับบ้าน แกส่ายหน้าแล้วงึมงำพอมีความหมายว่า ไม่ได้หรอก ขึ้นไม่ได้ แกไม่มีเงินแล้ว ผมก็บอกว่า ผมจะออกค่ารถให้ ไม่ต้องเสียเงิน แกก็ยังส่ายหน้าอีก ผมจึงยื่นแบ๊งค์ยี่สิบให้แก 1 ใบ บอกว่า เป็นค่ารถและค่าข้าวเย็น น้าแบนยื่นมือมารับและจ้องหน้าผมนิ่ง ตลอดเวลาที่นั่งหันหน้าเข้าหากันบนรถสองแถวค่ำวันนั้น น้าแบนยกมือไหว้ผมและพึมพำ งึมงำ อะไรของแกที่ผมฟังไม่รู้เรื่องอยู่ตลอดเวลาจนกระทั่งผมกดกริ่งลงจากรถไป  

เมื่อผมเรียนจบจากนั้นกว่า 5 ปี ขณะกำลังทำธุระอยู่ที่สำนักงานที่ดินจังหวัดและมีเหตุจะต้องเข้าเมืองไปเอาเอกสารที่บ้านเพื่อนในตลาด ผมไม่อยากขยับรถขับออกมา เพราะที่จอดรถที่ทำการที่ดินนั้นหายากมาก จึงออกมาคอยเรียกรถโดยสารไปเอาเอกสารที่บ้านเพื่อนแทน รถสองแถวเข้าตลาดยามสายวันต้นเดือน แม่ค้าก็ยังเต็มคันรถ ผมขึ้นไปยืนที่ฝากระบะท้ายเหมือนตอนเรียนมัธยม ยังยืนได้ไม่ทันเต็มเท้าก็มีมือกร้าน ๆ มือหนึ่งมาดึงข้อมือผมให้เข้าไปนั่งแทนขณะที่ชายผู้นั้นค่อมตัวลุกออกมาลมพัดสวนเน็คไทด์ลายดอกไม้ปลิวเบาๆ ชายผู้นั้นเดินเขยกด้วยเท้าสองข้างที่ไม่เท่ากันลงไปจ่ายค่ารถ แล้วเดินหิ้วกระเป๋าใบที่ผมคุ้นตา ย่ำไปบนบาทวิถีไปในทางเดียวกันกับรถคันนี้เร่งแซงไป

นั่นเป็นการพบเจอกันครั้งสุดท้ายระหว่างผมกับน้าแบน ผู้ชายที่ไม่สมประกอบ แต่กลับมากน้ำใจและมีความทรงจำที่วิเศษ คนที่สร้างสมดุลเล็กๆ ให้โลกใบนี้ คนที่ทำให้ผมรู้ว่า มนุษย์ที่สมประกอบกับไม่สมประกอบนั้นแตกต่างกันตรงไหน และที่ผมเชื่ออย่างเต็มหัวใจก็คือบทสวดมนต์อำนวยพรชุดใหญ่บนรถสองแถวที่เรานั่งไปด้วยกันเมื่อห้าปีที่แล้วนั้น ยังคงคุ้มครองปกปักษ์รักษาผม มาจนถึงวันนี้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่