สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 2
ตายแล้วไปที่ชอบที่ชอบค่ะ
คือตอนเป็นคน จิตมันชอบภพไหน โดยมากตอนตายก็ไปอยู่ภพภูมินั้น เว้นแต่ตายเป็น ขณะตายมีสติระลึกถึงแต่สิ่งดีๆ กรรมดีๆ ที่ทำ
เท่าที่ทราบ
คือใจฝักใฝ่กุศล ตอนตายคิดแต่เรื่องดีๆ ที่ทำ หรือคิดถึงพระ ตายอย่างสงบสุข ไปเกิดทันทีเป็นเทวดา
ถ้าใจไม่สงบ เศร้าหมอง หรือคิดแต่เรื่องไม่ดีที่ทำ หากมันหนักหนา ก็เกิดทันที ในแดนอบายมี 4 แบบ
ถ้าตายด้วยโมหะ ไม่รู้สึกตัว หรือบุญกรรมยังไม่แน่ชัด ก็จะเป็นวิญญาณที่ค้างอยู่ก่อนรอน้ำหนักของกรรมส่งอีกที
อย่างนี้ภาษาบ้านๆ บอกเป็นผีไปก่อน กว่าจะรู้ตัวว่าตายแน่ๆ กว่าจะระลึกได้ว่าทำอะไรดีไม่ดีมา ก็ใช้เวลาระยะนึง
ดวงวิญญาณมีจริง จิตของเรานี่ล่ะ เอาแค่ในช่วงเวลาสั้นๆ จิตเราเกิดความรู้สึกมากมาย นั่นเป็นตัวอย่างที่อธิบายรูปธรรมว่า
"ตายแล้วเกิดเลย"
ขณะหนึ่งจิตกำลังมีความสุขเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ ขณะถัดมาเราได้รับข่าวร้าย จิตดวงที่มีความสุขดับไปแล้ว กลายเป็นจิตที่มีความทุกข์แทน
เราได้รับข่าวร้าย จิตเสวยความทุกข์เสียใจ อาจจะเสียใจหนักๆ ไปครึ่งวัน นั่นก็เหมือนตกนรกไปครึ่งวันไง
ถ้าบังเอิญเราตายขณะที่จิตมีความสุข จิตก็จะอยู่ในภพความสุขนั่นแหละ คือเสวยอารมณ์สุข
และกลับกัน ถ้าบังเอิญตายตอนทุกข์ จิตก็ติดอยู่ในภพของความทุกข์เสียใจ
ดวงวิญญาณรู้สึกหิวได้ แต่ทานข้าวจริงๆ ไม่ได้
ที่ว่าหิว เพราะดวงวิญญาณก็เหมือนคนปกติ คือมีความรู้สึกนึกคิดได้
ถ้าเขาตายขณะทุกข์ จิตมันห่วงอะไร ก็มีความรู้สึกอย่างนั้นตลอดเวลา บางวิญญาณเลยหิวโหย
เวลาญาติทำบุญให้ เขารับรู้ได้ ก็ "รู้สึกเหมือนได้กิน" รู้สึกอิ่ม ทั้งๆ ที่มันเป็นแค่ความรู้สึกเท่านั้น ไม่ได้กินจริงๆ
เพราะจริงๆ ไม่มีกระเพาะลำใส้ให้อิ่มแล้ว
แต่มีความรู้สึกว่าได้กิน ได้รับบุญกุศล(คือความอิ่มใจ) จิตสังขารก็ปรุงแต่งให้ว่ามีอาหารมีเสื้อผ้าใส่
การจะทำบุญให้ผู้รับซึ่งเป็นวิญญาณอยู่อีกภพนึง จะได้รับหรือไม่ ก็อีกประเด็นเลย อันนี้มีตัวแปร ผู้รับ ผู้สื่อ และผู้ให้
1) ผู้รับ เขาจะต้องอยู่ในภพที่รับรู้ได้ ถ้าจิตมันอยู่ในภวังค์ที่เป็นอกุศลมาก ก็รับรู้ไม่ได้ ส่งยังไงก็ไม่ได้รับ
2) ผู้ให้ คือ เราต้องตั้งใจทำ มีสมาธิสติตอนอุทิศกุศล
3) ผู้ที่เป็นสื่อกลาง คือพระ ต้องมีศีลมีธรรมพอสมควร จึงจะมีพลังที่จะช่วยสื่อกระแสใจของเราไปให้ผู้รับได้
จริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องของใจกับใจ ถ้าเขาเกิดอยู่ใกล้ๆ ไม่ได้ไปไหนไกล แล้วก็ไม่จมห้วงทุกข์มากจนเกินไป เราทำบุญอุทิศเองก็ถึง
สวดมนต์นั่งสมาธิอุทิศให้ก็ถึง
แต่ถ้ามันลึกสักหน่อย ก็มีคติว่าให้กรวดน้ำ ฝากแม่ธรณีบอกเขา หรือช่วยบอกให้เขาอนุโมทนา
แหม.. คำถามง่ายๆ ที่มักมีผู้ถามบ่อย เอาจริงๆ ตอบยากชะมัด
คือตอนเป็นคน จิตมันชอบภพไหน โดยมากตอนตายก็ไปอยู่ภพภูมินั้น เว้นแต่ตายเป็น ขณะตายมีสติระลึกถึงแต่สิ่งดีๆ กรรมดีๆ ที่ทำ
เท่าที่ทราบ
คือใจฝักใฝ่กุศล ตอนตายคิดแต่เรื่องดีๆ ที่ทำ หรือคิดถึงพระ ตายอย่างสงบสุข ไปเกิดทันทีเป็นเทวดา
ถ้าใจไม่สงบ เศร้าหมอง หรือคิดแต่เรื่องไม่ดีที่ทำ หากมันหนักหนา ก็เกิดทันที ในแดนอบายมี 4 แบบ
ถ้าตายด้วยโมหะ ไม่รู้สึกตัว หรือบุญกรรมยังไม่แน่ชัด ก็จะเป็นวิญญาณที่ค้างอยู่ก่อนรอน้ำหนักของกรรมส่งอีกที
อย่างนี้ภาษาบ้านๆ บอกเป็นผีไปก่อน กว่าจะรู้ตัวว่าตายแน่ๆ กว่าจะระลึกได้ว่าทำอะไรดีไม่ดีมา ก็ใช้เวลาระยะนึง
ดวงวิญญาณมีจริง จิตของเรานี่ล่ะ เอาแค่ในช่วงเวลาสั้นๆ จิตเราเกิดความรู้สึกมากมาย นั่นเป็นตัวอย่างที่อธิบายรูปธรรมว่า
"ตายแล้วเกิดเลย"
ขณะหนึ่งจิตกำลังมีความสุขเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ ขณะถัดมาเราได้รับข่าวร้าย จิตดวงที่มีความสุขดับไปแล้ว กลายเป็นจิตที่มีความทุกข์แทน
เราได้รับข่าวร้าย จิตเสวยความทุกข์เสียใจ อาจจะเสียใจหนักๆ ไปครึ่งวัน นั่นก็เหมือนตกนรกไปครึ่งวันไง
ถ้าบังเอิญเราตายขณะที่จิตมีความสุข จิตก็จะอยู่ในภพความสุขนั่นแหละ คือเสวยอารมณ์สุข
และกลับกัน ถ้าบังเอิญตายตอนทุกข์ จิตก็ติดอยู่ในภพของความทุกข์เสียใจ
ดวงวิญญาณรู้สึกหิวได้ แต่ทานข้าวจริงๆ ไม่ได้
ที่ว่าหิว เพราะดวงวิญญาณก็เหมือนคนปกติ คือมีความรู้สึกนึกคิดได้
ถ้าเขาตายขณะทุกข์ จิตมันห่วงอะไร ก็มีความรู้สึกอย่างนั้นตลอดเวลา บางวิญญาณเลยหิวโหย
เวลาญาติทำบุญให้ เขารับรู้ได้ ก็ "รู้สึกเหมือนได้กิน" รู้สึกอิ่ม ทั้งๆ ที่มันเป็นแค่ความรู้สึกเท่านั้น ไม่ได้กินจริงๆ
เพราะจริงๆ ไม่มีกระเพาะลำใส้ให้อิ่มแล้ว
แต่มีความรู้สึกว่าได้กิน ได้รับบุญกุศล(คือความอิ่มใจ) จิตสังขารก็ปรุงแต่งให้ว่ามีอาหารมีเสื้อผ้าใส่
การจะทำบุญให้ผู้รับซึ่งเป็นวิญญาณอยู่อีกภพนึง จะได้รับหรือไม่ ก็อีกประเด็นเลย อันนี้มีตัวแปร ผู้รับ ผู้สื่อ และผู้ให้
1) ผู้รับ เขาจะต้องอยู่ในภพที่รับรู้ได้ ถ้าจิตมันอยู่ในภวังค์ที่เป็นอกุศลมาก ก็รับรู้ไม่ได้ ส่งยังไงก็ไม่ได้รับ
2) ผู้ให้ คือ เราต้องตั้งใจทำ มีสมาธิสติตอนอุทิศกุศล
3) ผู้ที่เป็นสื่อกลาง คือพระ ต้องมีศีลมีธรรมพอสมควร จึงจะมีพลังที่จะช่วยสื่อกระแสใจของเราไปให้ผู้รับได้
จริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องของใจกับใจ ถ้าเขาเกิดอยู่ใกล้ๆ ไม่ได้ไปไหนไกล แล้วก็ไม่จมห้วงทุกข์มากจนเกินไป เราทำบุญอุทิศเองก็ถึง
สวดมนต์นั่งสมาธิอุทิศให้ก็ถึง
แต่ถ้ามันลึกสักหน่อย ก็มีคติว่าให้กรวดน้ำ ฝากแม่ธรณีบอกเขา หรือช่วยบอกให้เขาอนุโมทนา
แหม.. คำถามง่ายๆ ที่มักมีผู้ถามบ่อย เอาจริงๆ ตอบยากชะมัด
แสดงความคิดเห็น
คนเราพอตายแล้วไปไหนค่ะ จะไปเกิดทันทีหรือไม่ และดวงวิญญานมีจริงหรือเปล่า ถ้ามีดวงวิญญานจะหิวและทานข้าวได้อย่างไร